Blockdit Logo
Blockdit Logo (Mobile)
สำรวจ
ลงทุน
คำถาม
เข้าสู่ระบบ
มีบัญชีอยู่แล้ว?
เข้าสู่ระบบ
หรือ
ลงทะเบียน
โหราทาสเล่าเรื่อง
•
ติดตาม
16 ธ.ค. 2020 เวลา 12:36 • ประวัติศาสตร์
เล่าสู่กันฟัง (7)
โหราศาสตร์อ.สุบิน ชินพัฒน์
1
อ. สุบิน ศึกษาเลข7 ตัวด้วยตนเองตั้งแต่อายุ 13 เลยคุ้นชินกับการตั้งเรือนชะตาด้วยตัวเลขวันเดือนปีเกิด แล้วออกคำทำนายทายทักด้วยการนำความหมายของแต่ละเรือนมากระทบกัน แล้วผูกเป็นเรื่องราวต่างๆ
พอมารู้จักโหราศาสตร์เมื่ออายุ 16 ท่านก็ทราบโดยทันทีว่ากรรมวิธีการพยากรณ์ด้วยโหราศาสตร์จากการเอาเรือนชะตามาพยากรณ์นั้นไม่ถูกต้อง เพราะแทบไม่ได้ต่างกับวิธีพยากรณ์แบบเลข7 ตัว ที่ให้ความหมายแบบกว้างๆไม่เฉพาะเจาะจง ถ้าวิธีการนี้ถูกต้อง โหราศาสตร์ก็ไม่ต่างอะไรจากระบบเลข 7 ตัว และจะกลายเป็นการทำนายทายทักไป
เมื่อท่านศึกษาโหราศาสตร์มากเข้า เริ่มเข้าใจระบบธาตุในราศีที่นำมาใ้ช้ปรุง
ความหมายพระเคราะห์ เข้าใจเรื่องเกณฑ์พระเคราะห์เข้ารูปของโหราศาสตร์สมัยอยุธยา เช่นพฤทธิ-จักร-ปรัก-ไทย เข้าใจเรื่องเกณฑ์การส่งกำลังพระเคราะห์ โยคหน้าหลัง(3-11) เกณฑ์ (1-4-7-10) ตรีโกณ (5-9) โยคพิเศษที่ภารตะใช้ (อังคารเกณฑ์4 และ8, เสาร์เกณฑ์ 3 และ10 เป็นต้น)
ท่านเริ่มตั้งสมมติฐานว่า แท้จริงตำแหน่งเกษตร์และอุจจ์ มีไว้พิจารณ์ดาวเข้ารูปที่มีกำลังและอิทธิพลในดวงชะตา ไม่ใช่การพิจารณาเป็นเอกเทศหรือการใส่ความหมายแปลกๆเข้าไปเช่น อุดมสมบูรณ์ หรือสูงส่ง และตำแหน่งประเกษตร์และนิจจ์ ก็ไม่ได้เกิดจากตำแหน่งมาตรฐาน เป็นเอกเทศ แต่เป็นผลจากมีดาวจรเข้ามาทำให้เกิดภาวะเป็นประเกษตร์หรือนิจจ์ในดวงชะตา
1
เรื่องกำลังและอิทธิพลในดวงชะตานั้นก็จะเป็นในลักษณะที่สามารถมองเห็นได้ เช่นลักษณะของพระเสาร์ ที่แสดงออกโดยผิวพรรณคล้ำเศร้าหมอง ยังแสดงด้วยอาการเงียบขรึม เก็บตัว ครุ่นคิด และเจ้าคิดเจ้าแค้น เป็นต้น ท่านเรียกลักษณะที่มองเห็นได้นี้ว่าฝ่ายนาคา
ท่านจึงแทบไม่ใช้ระบบการตามเจ้าเรือนตามแบบโหราศาสตร์พื้นบ้านที่ใช้กันอยู่ โดยอุปโลกให้พระเคราะห์แทนความหมายเจ้าเรือนต่างๆ และเอาความหมายของเรือนใส่ในพระเคราะห์ ทำให้ความหมายดั้งเดิมของพระเคราะห์ถูกลืมกันไป (เช่นพระเสาร์คือพ่อ พระราหูคือแม่ พระศุกร์คือคนรัก)
1
ต่อมาเมื่อท่านได้มีโอกาสแลกเปลี่ยนความรู้เรื่องดาวกระทบดาวจากนักโหราศาสตร์สำนักวัดสามพระยา ที่มีการพยากรณ์โดยไม่ต้องอาศัยลัคนาและเวลาเกิด แต่อาศัยการถอดความหมายจากพระเคราะห์ที่้เข้ามามีความสัมพันธ์เชิงมุมต่อกัน ซึ่งใช้ในการพยากรณ์สิ่งแวดล้อมของเจ้าชะตา ว่าจะเกิดอะไรขึ้น หรือมีใครจะเอาอะไรมาให้เจ้าชะตาทั้งดีและไม่ดี และไม่ได้ขึ้นกับการตัดสินใจของเจ้าชะตา ท่านถึงเข้าใจการพยากรณ์ด้วยวิธีดูดาวบนท้องฟ้าของคนโบราณ และเรียกวิธีการนี้ว่าการพยากรณ์ฝ่ายนักษัตร
ต่อมาท่านเรียนรู้วิธีการถอดดวงทายที่นักโหราศาสตร์ร่วมสมัยนิยมใช้กัน โดยการกำหนดเรือนชะตาที่อยากรู้เรื่องราวมาตั้งเป็นลัคนาและอ่านความหมายของเรือนที่เกี่ยวข้องเช่นเรือนที่ 10 นับจากเรือนคู่ครอง(เรือน7 หรือปัตนิ) หรือเรือนที่ 4 (พันธุ) ของลัคนา จะหมายถึงกิจการงานของคู่ครองเจ้าชะตานั่นเอง ตำแหน่งวินาศน์ (อริของปัตนิ)ก็คือ ตำแหน่งคู่ครองคนที่สอง การศึกษาเรื่องการถอดดวงทายมากๆเข้าทำให้อ.สุบินได้ข้อสรุปว่าการพยากรณ์โดยอาศัยเรือนชะตานั้น จะใช้ได้ในกรณีเป็นเรื่องราวที่เจ้าชะตาจะต้องตัดสินใจด้วยตนเอง ถึงเกิดเป็นเหตุแห่งการพยากรณ์ได้
อย่างไรก็ตามท่านเห็นว่า ความหมายเรือนชะตาที่ใช้กันอยู่นั้นไม่ถูกต้อง กล่าวคือ การที่เรียกตำแหน่งแต่ละเรือนชะตาว่า ลัคนา-กดุมภะ-สหัชชะ-พันธุ-ปุตตะ-อริ-ปัตนิ-มรณะ-ศุภะ-กัมมะ-ลาภะ-วินาศ ตามแบบอย่างเลข7 ตัวนั้นเป็นเพียงการเรียกชื่อเพื่อแสดงลำดับที่เฉยๆ หาใช่เพื่อแสดงความหมายตามชื่อเรือนนั้นไม่
แต่ต่อมาท่านก็พบว่าเรือนชะตาที่มีความหมายใกล้เคียงชื่อเรียก มีแค่4เรือน
กล่าวคือลัคนา(ตัวตนของเจ้าชะตา) พันธุ(ครอบครัวหรือพ่อแม่เจ้าชะตา) ปัตนิ(คู่ครองและคนใกล้ชิดกับเจ้าชะตา) กัมมะ(กิจการงานของเจ้าชะตา) ก็คือเรือนเกณฑ์ทั้งสี่ (1-4-7-10 จากลัคนา) นั่นเอง ส่วนเรือนชะตาที่เหลือ ไม่ได้ใช้ในการอ่านความหมาย เนื่องจากความหมายหลักจะถูกกำหนดจากพระเคราะห์มิใช่กำหนดจากเรือนชะตา
1
นอกจากนี้ท่านสังเกตว่าพระเคราะห์แต่ละดวงจะส่งอิทธิพลต่อการตัดสินใจในเรื่องราวที่เกี่ยวข้องกับเรือนเกณฑ์ทั้งสี่ไม่เท่ากัน และไม่สามารถใช้ระบบการตามเจ้าเรือนพิจารณาได้
ท่านจึงเชื่อว่าเรื่องราวภพเกณฑ์ทั้งสี่ที่เกี่ยวข้องกับการตัดสินใจของเจ้าชะตานั้น เป็นเรื่องที่เป็นแก่นหรือหัวใจสำคัญของโหราศาสตร์ไทยสมัยกรุงศรีอยุธยาที่สูญหายไป
เมื่อมีประสบการณ์ในการอ่านดวงมากเข้า ทำให้ท่านนึกถึงนิทานเรื่องเทววาอสุรสงคราม ที่เกิดการสู้รบระหว่างเทวดากับอสูรที่มีพระอาทิตย์เป็นประธานฝั่งเทวดาและมีพระเสาร์เป็นประธานฝั่งอสูร โดยพระอาทิตย์ได้ชักนำพระพุธผู้เป็นลูก และพระพฤหัสผู้เป็นอาจารย์ของตนเข้ามาร่วมสู้รบด้วย ส่วนทางพระเสาร์ก็ได้ชักนำพระราหูเพื่อนของตนและพระศุกร์อาจารย์ของตนมาร่วมสู้รบด้วย ฝั่งพระอังคารนั้นเป็นเพียงเพทยาธรที่โคจรไปทั้งจักรวาลไม่ชอบคบค้าสมาคมกับใคร
1
เมื่อคิดได้ดังนี้ ท่านก็กำหนดเจ้าเรือนภพเกณฑ์ทั้งสี่ได้ กล่าวคือ
อาทิตย์-พุธ เป็นเจ้าเรือนเงาภพกัมมะ จะใช้พิจารณาเรื่องเกี่ยวข้องกับระดับดวงชะตา (ทำงานตำแหน่งเดียวกันที่เดียวกันใครจะก้าวหน้าเร็วกว่า) และเรื่องบาปบุญ ที่เจ้าชะตาต้องเข้าไปเกี่ยวข้องกับสังคมโดยรวม
1
เสาร์-ราหู เป็นเจ้าเรือนเงาภพพันธุ จะใช้พิจารณาเรื่องเกี่ยวกับการเนื้อสร้างตัว การสะสมสมบัติพัสถานเพื่อความมั่นคงในชีวิต
1
จันทร์-พฤหัสบดี เป็นเจ้าเรือนเงาภพปัตนิ จะใช้พิจารณาเรื่องเกี่ยวกับเวรกรรมที่เจ้าชะตาจะต้องเข้าไปเกี่ยวข้องกับคนใกล้ชิดเป็นรายบุคคล
1
ศุกร์เป็นเจ้าเรือนเงาภพลัคนาจะใช้พิจารณาเรื่องเกี่ยวกับความรัก คนรักและคู่ครอง ที่เป็นการใช้สิทธิของเจ้าชะตาโดยไม่ขึ้นกับบาปบุญ และเวรกรรม
1
โหราทาส
๑๖ ธันวาคม ๒๕๕๓
3 บันทึก
6
2
ดูเพิ่มเติมในซีรีส์
ประวัติโหราศาสตร์และอื่นๆ
3
6
2
โฆษณา
ดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน
© 2024 Blockdit
เกี่ยวกับ
ช่วยเหลือ
คำถามที่พบบ่อย
นโยบายการโฆษณาและบูสต์โพสต์
นโยบายความเป็นส่วนตัว
แนวทางการใช้แบรนด์ Blockdit
Blockdit เพื่อธุรกิจ
ไทย