24 ธ.ค. 2020 เวลา 07:30 • ประวัติศาสตร์
#6 The Brain Club : History
บริการส่งเด็กทางไปรษณีย์ในอเมริกา
ย้อนกลับไปเมื่อ 100 ปีก่อน ในช่วงศตวรรษที่ 19 เป็นยุคแรกเริ่มของบริการขนส่งพัสดุผ่านไปรษณีย์ ซึ่งประสบความสำเร็จอย่างมากในเวลาเพียงหกเดือน ทำให้วิถีชีวิตของชาวอเมริกันเปลี่ยนแปลงไป มีการส่งพัสดุหลายล้านชิ้น ช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจของประเทศให้เติบโตอย่างรวดเร็ว
ด้วยความที่ช่วงนั้นยังไม่มีกฎระเบียบในการขนส่งที่ครอบคลุม จึงมีบริการขนส่งแปลกๆ เกิดขึ้น นั้นคือการส่งเด็กทางไปรษณีย์ ซึ่งในยุคนั้นเป็นเรื่องถูกกฏหมาย สามารถทำได้อย่างอิสระ แต่ก็มีข้อถกเถียงมาตลอดว่าบริการนี้เหมาะสมหรือไม่ ?
พ่อและแม่ทั่วอเมริกาในยุคนั้นมีแนวความคิดว่า ทำไมต้องเสียเงินและเวลาในการเดินทางไปส่งลูกหาญาติพี่น้อง หรือปูย่าตายายในที่ไกลๆ ในเมื่อสามารถห่อตัวลูกน้อยพร้อมติดแสตมป์ส่งทางไปรษณีย์ไปยังจุดหมายที่ต้องการได้
ไปรษณีย์สหรัฐอเมริกา (United States Postal Service) ได้เปิดให้บริการส่งเด็กผ่านไปรษณีย์อย่างเป็นทางการ เมื่อวันที่ 1 มกราคม ค.ศ. 1913 โดยอนุญาตให้ลูกค้าจัดส่งพัสดุขนาดใหญ่รวมทั้งคนได้ แต่มีระเบียบ 2 ข้อดังนี้
1) ของที่ส่งมีน้ำหนักไม่เกิน 11 ปอนด์ (ประมาณ 5 กิโลกรัม)
2) ของทุกชิ้นต้องมีการติดแสตมป์อย่างถูกต้อง
เพียงสองสัปดาห์หลังเปิดให้บริการ ทารกน้อยวัย 8 เดือน ชื่อ " เจมส์ บีเกิล " ได้กลายเป็นเด็กคนแรกที่ถูกส่งทางไปรษณีย์ จากโอไฮโอไปให้ยายที่เมืองบาตาเวีย ซึ่งระยะทางยังไม่ไกลมาก
เจนนี ลินช์ ( Jenny Lynch ) นักประวัติศาสตร์การไปรษณีย์ของสหรัฐอเมริกา ได้บอกว่า " หนู่น้อยเจมส์ มีน้ำหนักน้อยกว่าข้อจัดเพียงแค่นิดเดียว พ่อแม่จึงต้องจ่ายเงินค่าขนส่งเพียง 15 เซนต์เท่านั้้น "
เรื่องราวของหนู้อยเจมส์ได้กลายเป็นพาดหัวข่าวในหนังสือพิมพ์หลายฉบับ ทำให้พ่อแม่คู่อื่นเริ่มทำตาม โดยรายที่ 2 มาจากรัฐเพนซิลเวเนีย พวกเขาส่งลูกสาวผ่านทางสายการบิน ในราคา 45 เซ็นต์ หลังจากนั้นทั่วอเมริกาก็มีการส่งเด็กเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ
ต่อมาเริ่มมีผู้คนไม่เห็นด้วย และเรียกร้องให้กำหนดกฏระเบียบของที่สามารถส่งผ่านไปรษณีย์ได้ โดยการเรียกร้องดังกล่าวเป็นผลมาจากการส่งเด็กคนหนึ่งที่เป็นจุดเปลี่ยนสำคัญ นั้นคือ " การส่งตัวหนูน้อยชาร์ล็อต "
เมื่อวันที่ 19 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1914 พ่อและแม่ใช้เงินจำนวน 53 เซนต์ ในการส่งหนูน้อยชาร์ล็อต วัย 4 ขวบ โดยจ้าหน้าที่ได้ส่งเธอผ่านรถไฟไปรษณีย์จากบ้านในเมืองแกรนจ์วิลล์ รัฐไอดาโฮไปยังบ้านย่าที่อยู่ไกลมากถึง 73 ไมล์ (117 กิโลเมตร)
โชคดีที่ชาร์ล็อตไม่ได้ถูกห่อใส่กระสอบผ้าพร้อมของอื่นๆ ไปคนเดียว เนื่องจากมีลูกพี่ลูกน้องของแม่เธอ ที่ทำงานเป็นเสมียนบนรถไฟคอยดูแลจนถึงที่หมาย
หลังจากที่ข่าวนี้ออกมา เริ่มมีการถกเถียงถึงความเหมาะสม และความปลอดภัย ว่าในกรณีที่ไม่มีคนคอยดูแลเด็กระหว่างเดินทางไกลจะเกิดอะไรขึ้นบ้าง
ภายหลังเหตุการณ์ดังกล่าว การส่งเด็กไม่ได้หยุดลงในทันที ยังคงมีการส่งเด็กทางไปรษณีย์มาเรื่อยๆ หนึ่งปีต่อมามีแม่ส่งลูกสาววัย 6 ขวบ จากบ้านในฟลอริดาไปยังบ้านพ่อของเธอในรัฐเวอร์จิเนีย เป็นระยะทาง 720 ไมล์ (1,159 กิโลเมตร) เป็นการข่นส่งที่ไกลที่สุดที่บันทึกไว้
ในเดือนสิงหาคม พ.ศ. 1915 ปู่และย่าส่งหนูน้อยสมิธ วัย 3 ขวบ จากรัฐเคนตักกี้เพื่อไปเยี่ยมแม่ที่ป่วยผ่านรถไฟเป็นระยะทาง 40 ไมล์
หลังจากเรื่องนี้เป็นข่าว ได้มีการสอบสวนว่าทำไมเจ้าหน้าที่ในรัฐเคนตักกี้จึงอนุญาตให้มีการขนส่งเด็กผ่านรถไฟไปรษณีย์ได้ ทั้งที่เป็นการกระทำที่ผิดกฏระเบียบ
จนในที่สุดวันที่ 14 มิถุนายน ค.ศ.1915 ไปรษณีย์สหรัฐอเมริกาสั่งห้ามไม่ให้มีการส่งคนอีกต่อไป หลังเปิดให้บริการเพียงสองปี
ตลอดช่วงที่มีการส่งเด็กทางไปรษณีย์ โชคดีที่เด็กทุกคนถูกส่งถึงที่หมายโดยที่ไม่มีบันทึกการสูญหายหรือได้รับอันตรายใดๆ

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา