26 ธ.ค. 2020 เวลา 08:27 • ปรัชญา
๑๘.เค้าขวัญวรรณกรรม : เค้าโครงทางจิตวิญญาณของวรรณคดีพื้นบ้านไทย
นางสันทมารเป็นสัญลักษณ์ของตัณหาความทะยานอยากซึ่งมีธิดาคือกังรีหรือเมรี อันต่างสัญลักษณ์ของความเพลิน (นันทิ) เมื่อเรามองไม่เห็นการเป็นปัจจัยซึ่งกันและกันของกระบวนการเกิดขึ้นของสรรพสิ่ง ลมหายใจก็เป็นไปในความยินดีในอารมณ์ต่างๆ (นันทิ) ในที่นี้แสดงออกในรูปสันทมารควักลูกตานางสิบสองฝากกับกระแสลมให้นำมามอบแก่กังรี
นางสิบสองทั้งตาบอดและถูกขังอยู่ในอุโมงค์มืด แทนความมืดบอดอย่างยิ่ง คืออวิชชาหรือ อันธการ และความจริงของการเผชิญทุกข์ย่อมมีแสงสว่างแห่งปัญญาบังเกิดขึ้น ดุจดังน้องคนสุดท้องที่ถูกควักลูกตาเพียงข้างเดียวจึงเห็นสิ่งต่างๆ ได้ และได้เลี้ยงรถเสนมา การกินลูกของตัวเองของนางทั้ง ๑๑ หมายถึง ความที่สิ่งต่างๆ เป็นปัจจยาการต่อกัน อิงกันเกิด เป็นอาหารแก่กัน
รถเสนเป็นสัญลักษณ์ของโพธิจิต จิตที่มีพลังความรู้ที่จะตรัสรู้ต่อมาได้ ถ้อยคำสั้นๆ ที่รถเสนกล่าวกับมารดาว่า “เราไม่เป็นสอง” บ่งชัดให้เห็นถึงสภาพธรรมอันไม่มีการแบ่งแยก ไม่เป็นหนึ่งและก็ไม่เป็นสอง เรียกว่าเป็น “อทไวตธรรม” (Non-duality)
ม้าศึกที่รถเสนเลือก เป็นสัญลักษณ์ของกรรมฐานที่เหมาะกับอุปนิสัยต่างๆ ม้า “พาชี” ก็คือ “สติปัฏฐาน ๔” ฐานของการพัฒนาสติเพื่อการตรัสรู้อริยสัจ
พระฤๅษีแปลงสาส์นของสันทมารที่มีไปถึงกังรี ก็บ่งแสดงถึงศิลปะการปฏิบัติธรรม คือไม่ต้านจนมีภาวะเสียดทานหากแต่ร่วมไปด้วยก่อน เพราะความพยายามที่จะกำจัดกิเลสนั้น ก็อาจจะเป็นกิเลสอีกอันหนึ่งซึ่งทำให้ติดกรังยึดแน่นมากยิ่งขึ้น มีแต่ต้องเห็นการลวงล่อพะนออัตตาให้ได้ ด้วยวิธีที่อาศัยศิลปของการปฏิบัติธรรมไม่ต้านและไม่แบ่งแยกนี้ ทำให้ทุกอย่างดูง่ายเข้า
การแต่งงานของรถเสนกับเมรีหรือกังรี เป็นสัญลักษณ์ของศิลปะการปฏิบัติธรรมแบบไม่แบ่งแยก เพื่อประจักษ์แจ้งสภาวธรรม ในกรณีที่ผู้ปฏิบัติธรรมตกไปในบ่วงของปีติ และมิรู้ตัวพอที่จะถอนออกมาได้ จำเป็นต้องมีความรู้ตัวเพื่อช่วยให้การปฏิบัติรุดหน้า ดุจม้า “พาชี” เตือนรถเสนถึงหน้าที่ที่มีต่อแม่และป้าๆ
ประตูอุทยานของกังรีเปิดให้รถเสนขี่ม้าเข้าไปเอง หมายถึงการเปิดเผยของมรรค
ผลของต้นพุทธคีรีบุนนาค ในมือรถเสนเปรียบประดุจสัญลักษณ์ของการบรรลุถึงอรหัตผล
การขัดขวางการติดตามของกังรีด้วยห่อผงวิเศษ ๗ ห่อ คือสัญลักษณ์ของโพชฌงค์ ๗ ประการในการตรัสรู้ ได้แก่
๑. สติ แสดงด้วยภูเขาที่กั้นจิตจากกิเลสเศร้าหมอง
๒. ธรรมวิจัย (การเลือกเฟ้นธรรม)แสดงด้วยสัญลักษณ์ต้นไม้มากมายเป็นป่ากีดขวางการติดตามของธิดามาร
๓. วิริยะ (ความเพียร) แสดงด้วยสัญลักษณ์ลมที่ไร้ร่องรอยแต่พัดอยู่ตลอด
๔. ปีติ แสดงด้วยสัญลักษณ์ไฟขวางหน้า
๕. ปัสสัทธิ (ความสงบระงับ) แสดงด้วยสัญลักษณ์ของฝนชุ่มฉ่ำ
๖. สมาธิ แสดงด้วยสัญลักษณ์ของเมฆที่ลอยอยู่ในท้องฟ้า
๗. อุเบกขา แสดงออกด้วยมหาสมุทรที่กีดขวางรถเสนกับกังรีจากกันอย่างสิ้นเชิง
เมื่อธรรมชาติรู้ (โพธิ) เป็นอิสระจากเครื่องผูกมัดรัดรึง ปราศจากการยึดถือในอารมณ์ใดๆ จิตก็ปราศจากอาสวะเครื่องเศร้าหมอง ไม่มีความเพลินในอารมณ์ซึ่งอุปมาด้วยกังรีร่ำไห้จนขาดใจตายเพราะแยกจากรถเสน
เมื่อความยินดีในอารมณ์สิ้นลง ซึ่งอุปมาด้วยการขาดใจตายของกังรี ความทะยานอยากตัณหาก็ย่อมสิ้นไปพร้อมกันด้วย ดุจอุปมาหัวใจของสันทมารแตกสลายในเวลาเดียวกัน (สิ้นความเพลินในอารมณ์ ตัณหาก็ดับไป)
การตรัสรู้อย่างสมบูรณ์เกิดขึ้นด้วยการเห็นกฎแห่งสรรพสิ่งเป็นปัจจยาการซึ่งกัน อุปมาดังดวงตาของนางสิบสองที่กลับมาเห็นอีกครั้ง
ท้ายสุดการขึ้นครองเมืองและงานเฉลิมฉลองก็เป็นอุปมาของความรื่นรมย์หลังจากเห็นแจ้งสัจจะอันยิ่งใหญ่แล้วนั่นเอง
ข้อสังเกตถึงความแตกต่างและเอกลักษณ์ร่วมของวรรณกรรมพื้นบ้านไทยทั้ง ๓ เรื่องนี้
วรรณกรรมพื้นบ้านทั้ง ๓ เรื่องที่เลือกขึ้นมาศึกษาเฉพาะกรณีก็เพราะมีความแตกต่างในวรรณกรรมแต่ละเรื่อง ทั้งโครงสร้างการเสนอโดยใช้สัญลักษณ์และการเกี่ยวโยงขององค์ประกอบต่างๆ
เรื่อง พระสุธน-มโนห์รา มีโครงสร้างการอุปมาอุปไมยและองค์ประกอบคล้ายคลึงกับ รามายณะ มาก อาทิเช่น เขาไกรลาสก็คล้ายกับกรุงลงกา รถเสนคล้ายกับราม มโนห์ราคล้ายกับสีดา การเดินทางสังหารยักษ์มาร นกยักษ์ เป็นไปได้ว่าอาจจะได้รับอิทธิพลจากมหากาพย์รามายณะ
องค์ประกอบและสัญลักษณ์ที่ใช้หนักไปข้างทางมหายาน ทั้งนี้มีหลักฐานทางโบราณคดีเรื่องพระสุธน-มโนห์ราที่แกะสลักไว้ที่ผนังของสถูปบรมพุทโธเป็นเครื่องยืนยัน
ส่วนสังข์ทองนั้นเป็นวรรณกรรมทางเถรวาท การอุปมาอุปไมยแสดงถึงคติทางพุทธศาสนาชัดกว่าเรื่องพระสุธน-มโนห์รา ซึ่งอิงรามายณะ ในขณะที่บรรยากาศของเรื่องสังข์ทองเป็นบรรยากาศของเมือง ทะเล เกาะ และป่า แต่เรื่องพระสุธน-มโนห์ราเป็นบรรยากาศของป่า เมืองและเขาสูง
เรื่องพระรถ-เมรี จัดว่าเป็นบรรยากาศพุทธแบบไทยมากที่สุดในบรรดาทั้ง ๓ เรื่องนี้ เพราะมโนห์ราจากเรื่องพระสุธน-มโนห์ราและคันธาหรือรจนาจากเรื่องสังข์ทองยังมีสภาพอิงแอบ “ศักติ” หรือ “ตาราวสุนทรา”
ภาคศักติของพระโพธิสัตว์อวโลกิเตศวร ตามคติมหายานอยู่ ทว่าเมรีหรือกังรีจากเรื่องพระรถ-เมรีนั้นเป็นสัญลักษณ์ของนันทิ-ความเพลินในอารมณ์ ซึ่งพุทธฝ่ายเถรวาทเน้นว่าเป็นอุปสรรคที่ต้องละ เพื่อความดับสิ้นของตัณหา ในขณะที่พุทธฝ่ายมหายานโดยเฉพาะวัชรยานหรือตันตระถือเอาประโยชน์จากอุปสรรคนั้น โดยถือว่าเป็นพลังส่งเสริมปัญญาและกรุณา
การจะเข้าถึงความลึกซึ้งทางด้านจิตวิญญาณของวรรณกรรมพื้นบ้านของไทยได้นั้น ผู้มองจำเป็นต้องเข้าใจพุทธศาสนาอันปลูกฝังสำนึกคนไทยและสังคมไทยมาช้านานนับแต่โบราณกาลจนถึงปัจจุบันนี้
วรรณกรรมพื้นบ้านของไทยไม่ว่าเป็นบันทึกลายลักษณ์อักษรหรือเล่าจากปากก็ล้วนแต่สะท้อนถึงวิถีชีวิตของคนไทยในรูปสัญลักษณ์ทางจิตใจ
วรรณกรรมพื้นบ้านของไทยก็เช่นเดียวกับของชาติอื่น มีจุดหมายปลายทางจิตวิญญาณพอๆ กับเป็นเครื่องบันเทิงอารมณ์ ประกอบทั้งโวหาร คำคม หลักศีลธรรมของตัวเอกในเรื่อง แสดงออกซึ่งจินตนาการสูงส่งทางนาฏลักษณ์และอารมณ์สุนทรีย์ โดยไม่ละเลยที่จะเน้นการใช้รูปลักษณ์แสดงความสูงส่งทางความลึกซึ้งด้านในของจิตวิญญาณด้วย ซึ่งถ้ารหัสยนัยแง่นี้สูญหายไป วรรณกรรมไทยเหล่านี้ก็จะดูด้อยค่าไปถนัดทีเดียว
บทความนี้มุ่งหวังจะมองเพียงเค้าโครงคร่าวๆ ทางด้านจิตวิญญาณเป็นสำคัญ จึงจำเป็นต้องตัดรายละเอียดของวรรณกรรมที่เพิ่มเข้ามาตามสภาพสังคมเมื่อกาลเวลาผ่านไปออกมาก เพราะลักษณะนิสัยคนไทยที่อะลุ้มอล่วยเต็มใจรับศิลปะหรือพฤติกรรมอื่นได้ง่าย ทำให้เพิ่มเติมรายละเอียดลงในวรรณกรรมพื้นบ้านมากมาย
การมองเค้าโครงทางจิตใจเช่นนี้ทำได้เพียงเท่าที่เป็นไปได้ และสิ่งที่ได้มาอาจเป็นเพียงความน่าจะเป็นเช่นนั้นเท่านั้น แต่ทั้งหมดนี้ก็โดยอาศัยเหตุผลในตัวเรื่องราวนั้นเองส่อให้เห็นเค้าเงื่อนของการเดินทางใจ
การที่จะซาบซึ้งเข้าใจถึงจิตวิญญาณของวรรณกรรมพื้นบ้านได้นั้น เป็นสิ่งที่แน่นอนว่าจะต้องทำความรู้แจ้งต่อชีวิตจิตใจด้วยการเจริญภาวนาขึ้นในตนเองเท่านั้น
เสนอต่อที่ประชุมนานาชาติในโครงการคดีศึก ๒๒-๒๔ สิงหาคม ๒๕๒๗ กรุงเทพฯ

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา