3 ม.ค. 2021 เวลา 07:37 • ประวัติศาสตร์
“The Roaring Twenties” ยุค 20 (พ.ศ.2463-2472) ยุคที่สุดเหวี่ยงที่สุดในประวัติศาสตร์
1
ยุค 20 (พ.ศ.2463-2472) เป็นยุคที่ได้ชื่อว่าสุดเหวี่ยงและจัดจ้าน น่าสนใจที่สุดยุคหนึ่งในสหรัฐอเมริกา
1
ยุคนี้เป็นยุคที่แฟชั่น ความบันเทิง ปาร์ตี้ต่างๆ ได้ผุดขึ้นมากมายในสหรัฐอเมริกา ก่อนที่จะถึงจุดจบในปีค.ศ.1929 (พ.ศ.2472) เมื่อได้เกิดวิกฤตเศรษฐกิจครั้งใหญ่
ในยุคนี้ ตรงกับสมัยรัชกาลที่ 6 ถึงรัชกาลที่ 7 ซึ่งในประเทศไทยนั้น ความเจริญ ความบันเทิงต่างๆ คงยังมีไม่มากนัก แต่ในสหรัฐอเมริกา ยุคนี้เป็นยุคที่ความบันเทิงเบ่งบาน
ในยุค 20 นี้ ไม่ได้เริ่มต้นด้วยความสนุกสนาน รุ่งเรืองตั้งแต่แรก โดยในช่วงเริ่มต้นทศวรรษนี้ สหรัฐอเมริกากำลังฟื้นตัวจากเหตุการณ์สำคัญสองเหตุการณ์
2
เหตุการณ์แรกคือ “สงครามโลกครั้งที่ 1 (World War I)” ซึ่งจบลงในปีค.ศ.1918 (พ.ศ.2461) โดยมีผู้เสียชีวิตกว่า 17 ล้านคน
สหรัฐอเมริกาได้เข้าร่วมในสงครามโลกครั้งที่ 1 ในช่วงปลายสงคราม หากแต่ก็มีทหารอเมริกันเสียชีวิตกว่า 100,000 นาย บาดเจ็บกว่า 200,000 นาย
สงครามโลกครั้งที่ 1 (World War I)
เหตุการณ์ต่อมาคือ “ไข้หวัดใหญ่สเปน (Spanish flu)”
ไวรัสที่ก่อให้เกิดไข้หวัดใหญ่นี้แพร่กระจายไปทั่วโลกอย่างรวดเร็ว และคร่าชีวิตชาวอเมริกันไปกว่า 675,000 คน ซึ่งเยอะกว่าจำนวนทหารอเมริกันที่เสียชีวิตในสงครามโลกครั้งที่ 1 ซะอีก
2
ไข้หวัดใหญ่นี้ทำให้ผู้คนเสียชีวิตอย่างรวดเร็วภายในไม่กี่วันหรือไม่กี่ชั่วโมง โดยเหยื่อส่วนมากคือเด็กและคนหนุ่มสาว
1
ไข้หวัดใหญ่สเปน (Spanish flu)
ภายหลังจากเหตุการณ์ร้ายทั้งสองเหตุการณ์นี้ ผู้คนจำนวนมาก โดยเฉพาะคนหนุ่มสาวและทหารผ่านศึก ก็โหยหาช่วงเวลาที่สนุกสนาน
คนหนุ่มสาวเหล่านี้โทษว่าทั้งหมดเกิดจากคนรุ่นก่อน พวกไดโนเสาร์ทั้งหลาย และคิดว่าถึงเวลาที่จะต้องทิ้งช่วงเวลาแย่ๆ ไว้เบื้องหลัง
ภายหลังสงครามโลกครั้งที่ 1 จบลง เศรษฐกิจสหรัฐก็ทรุดหนัก โรงงานที่เคยคึกคัก ผลิตอาวุธให้กองทัพก็ต้องปิดตัวลง บริษัทต่างๆ ปิดกิจการ ผู้คนตกงาน ทหารผ่านศึกก็หางานไม่ได้
แต่รัฐบาลอเมริกันก็ไม่นิ่งดูดาย และทำทุกทางเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ และภายในปีค.ศ.1921 (พ.ศ.2464) เศรษฐกิจก็เริ่มฟื้นตัว
ตำแหน่งงานต่างๆ เริ่มเปิดรับมากขึ้น เศรษฐกิจเริ่มคึกคัก และเข้าสู่ยุคใหม่
นิวยอร์ก ค.ศ.1921 (พ.ศ.2464)
18 สิงหาคม ค.ศ.1920 (พ.ศ.2463) ได้เกิดความเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่สำหรับสตรีชาวอเมริกัน
สตรีอเมริกันมีสิทธิออกเสียงเลือกตั้งได้แล้ว ซึ่งนี่เป็นสิทธิที่พวกเธอต้องต่อสู้มานานกว่า 70 ปี และในเมื่อมีสิทธิออกเสียง สตรีก็มีอำนาจพอที่จะเปลี่ยนแปลงกฎหมายและมีส่วนร่วมในรัฐบาล
สตรีเริ่มก้าวออกมาจากเงาของพ่อแม่และสามี พวกเธอเริ่มจะเลี้ยงดูตัวเอง ไม่จำเป็นต้องพึ่งพาสามี สตรีจำนวนมากเข้าศึกษาต่อในระดับมหาวิทยาลัย
ค.ศ.1918 (พ.ศ.2461) มีสตรีชาวอเมริกันที่เรียนจบมหาวิทยาลัยเพียง 13,491 คน แต่ในปีค.ศ.1930 (พ.ศ.2473) ตัวเลขพุ่งขึ้นไปเป็น 55,266 คน
18 สิงหาคม ค.ศ.1920 (พ.ศ.2463)
ก่อนสงครามโลกครั้งที่ 1 ตำแหน่งงานที่รับสตรีเข้าทำงานนั้นมีจำกัด โดยสตรีที่มีฐานะยากจนจะได้ทำงานเป็นแม่บ้าน แต่ถ้าเป็นสตรีชนชั้นกลาง งานที่ได้ก็มักจะเป็นพยาบาลหรือครู แต่งานดีๆ อย่างแพทย์ นักกฎหมาย สตรีนั้นหมดสิทธิ
3
ในช่วงสงคราม ผู้ชายนั้นไปออกรบ ทำให้ผู้หญิงต้องมาทำงานแทนผู้ชาย ทั้งโรงงานต่างๆ และการทำงานในโรงงานผลิตอาวุธ
2
ถึงแม้ว่าเมื่อสงครามจบลง และเมื่อผู้ชายกลับมาทำงาน ผู้หญิงก็ต้องตกงาน หากแต่ผู้หญิงอีกจำนวนมากก็ได้งานอื่นทำ เนื่องจากธุรกิจต่างๆ กำลังเติบโตและจำเป็นต้องมีเลขานุการ พนักงานพิมพ์ดีด เสมียน
5
ในขณะที่ผู้หญิงส่วนมากไม่ได้ทำงานและอยู่บ้าน ดูแลครอบครัว แต่ชีวิตของพวกเธอก็เปลี่ยนไปมากในยุค 20 (พ.ศ.2463-2472)
ผู้หญิงในยุค 20
มีสิ่งประดิษฐ์ใหม่ๆ เกิดขึ้น ซึ่งช่วยอำนวยความสะดวก ทำให้ไม่ต้องทำงานบ้านเหมือนแต่ก่อน มีเวลามากขึ้นสำหรับเรื่องสนุกๆ
ไฟฟ้าได้ทำให้ถนนทั่วเมืองสว่างไสวตั้งแต่ปลายศตวรรษที่ 19 และตอนนี้ บ้านแต่ละหลังก็เริ่มมีไฟฟ้าใช้ เครื่องอำนวยความสะดวกต่างๆ เช่น เครื่องซักผ้า เตา ตู้เย็น เครื่องดูดฝุ่น จักรเย็บผ้า ก็ตามออกมาเรื่อยๆ
3
ในปีค.ศ.1924 (พ.ศ.2467) ได้มีการคิดค้นอาหารแช่แข็ง ทำให้การเตรียมอาหารนั้นง่ายขึ้น
2
การผลิตอาหารแช่แข็งในยุคแรก
แฟชั่นสตรีก็เริ่มมีการเปลี่ยนแปลง โดยที่ผ่านมานั้น เสื้อผ้าของผู้หญิงคือเสื้อผ้าชิ้นใหญ่ๆ แข็งๆ แต่ในเวลานี้ ผู้หญิงต้องการเสื้อผ้าที่มีลักษณะบาง ใส่สบาย เพื่อที่จะเต้นรำได้ง่าย และยังสะดวกในการเล่นกีฬา
แฟชั่นใหม่นี้ใส่ง่าย สบายกว่าเสื้อผ้าในยุคเก่ามาก ผู้หญิงบางคนก็หันมาใส่กางเกง
แฟชั่นทรงผมของผู้หญิงก็มีการเปลี่ยนแปลง โดยที่ผ่านมา ผู้หญิงที่ได้ชื่อว่าเป็นสุภาพสตรีจะเก็บผม โดยหนีบผมไว้ด้านบน
2
แต่ในเวลานี้ ผู้หญิงเริ่มจะอยากทำผมเหมือนดาราภาพยนตร์ นั่นคือการตัดผมสั้น ซึ่งเรียกว่า “ทรงผมบ๊อบ (Bob)” และแห่ไปตัดผมบ๊อบ
2
แฟชั่นสตรียุค 20
ผู้หญิงสมัยใหม่เหล่านี้เป็นที่รู้จักในนามของ “แฟลปเปอร์ (Flapper)” ซึ่งไม่เป็นที่ทราบถึงที่มาของชื่อนี้
1
เหล่าสตรีที่เป็นแฟลปเปอร์จะใช้ชีวิตสุดเหวี่ยง ทั้งขับรถเร็ว แต่งหน้า และออกปาร์ตี้สุดเหวี่ยง ซึ่งแต่ละอย่างนั้น ขัดกับแนวคิดความเป็นสุภาพสตรี
1
แฟลปเปอร์จะไปตามไนท์คลับเพื่อดื่มเหล้า ถึงแม้ในเวลานั้น จะเป็นช่วงเวลาแห่งการห้ามขายสุราก็ตาม
แฟลปเปอร์ในยุค 20
ในปีค.ศ.1920 (พ.ศ.2463) สหรัฐอเมริกาได้สั่งห้ามขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ทุกชนิด และก็ได้เกิดกลุ่มคนสองกลุ่ม
หนึ่งคือ “สมาคมอเมริกันละเว้นของเมา (American Temperance Society)” ส่วนอีกกลุ่มคือ “สมาคมสตรีคริสเตียน (Woman's Christian Temperance Union)”
คนทั้งสองกลุ่มนี้เชื่อว่าการดื่มแอลกอฮอล์คือสิ่งชั่วร้าย และยังทำให้ผู้ชายที่ดื่มขาดสติ เสียการเสียงาน ทำร้ายลูกเมีย ทอดทิ้งครอบครัว
สมาชิกของทั้งสองสมาคมจะไปยังร้านเหล้าและสั่งให้ร้านเหล้าปิด บางรายถึงขั้นคว้าขวานเข้าไปในร้าน และทำลายถังและขวดเหล้าที่ขวางหน้า
ภายในเวลาไม่กี่ปี กลุ่มเหล่านี้ก็มีอิทธิพลมากขึ้นเรื่อยๆ จนถึงขั้นมีสิทธิมีเสียงในการแก้ไขกฎหมาย
ยุคแห่งการห้ามขายแอลกอฮอล์
การห้ามขายแอลกอฮอล์ ทำให้ขี้เมาและคนชอบดื่มไม่พอใจนัก และเนื่องจากในกฎหมายไม่ได้ห้ามการดื่มหรือครอบครองแอลกอฮอล์ เพียงแต่ห้ามขาย ทำให้หลายคนกักตุนแอลกอฮอล์ไว้เป็นจำนวนมาก
2
หลายรายก็หันมาทำเหล้ากินเองและแอบขาย ซึ่งก็ไม่พอกับความต้องการของคอแอลกอฮอล์ และเนื่องจากประเทศอื่นไม่ได้ห้ามขายแอลกอฮอล์ จึงมีการลักลอบนำเข้าแอลกอฮอล์มาจากแคนาดา ส่งมาทางเครื่องบินหรือรถบรรทุก ก่อนจะนำลงเรือ ลักลอบเข้าประเทศ
ในเวลาต่อมา ผู้ผลิตเหล้าและนำเข้ารายเล็กๆ ต่างก็ต้องถอยให้กับแก๊งอาชญากรรมต่างๆ ซึ่งเข้ามาจับธุรกิจเหล้าผิดกฎหมาย โดยแก๊งเหล่านี้เป็นทั้งผู้ผลิตและเปิดบาร์ที่ขายเหล้าผิดกฎหมาย
1
ร้านเหล้าผิดกฎหมายเหล่านี้จะตั้งอยู่อย่างลับๆ ในตึกเก่าๆ และแขกที่จะเข้าก็ต้องมีรหัสผ่านถึงจะเข้าได้
ค.ศ.1925 (พ.ศ.2468) มีการประเมินว่าแค่นิวยอร์กเพียงที่เดียว ก็มีบาร์เหล้าผิดกฎหมายกว่า 30,000 แห่ง
1
บาร์ผิดกฎหมายในยุค 20
นอกจากบาร์เหล้าผิดกฎหมายแล้ว ก็ยังมีไนท์คลับที่หรูหราและตั้งอยู่กลางแจ้ง โดยเจ้าของไนท์คลับจะจ่ายสินบนให้ข้าราชการ ตำรวจ และนักการเมืองให้ไม่จับไนท์คลับของตน หรือช่วยเตือนหากตำรวจกำลังมา
ธุรกิจเหล้าผิดกฎหมายนี้ทำเงินได้มากซะจนแก๊งอาชญากรรมเริ่มจะฆ่ากันเอง แย่งชิงผลประโยชน์ โดยมีทั้งการยิงกันและวางระเบิด
การฆ่ากันเพื่อผลประโยชน์ของแก๊งอาชญากรรมที่โด่งดังที่สุด คือเหตุการณ์ในวันที่ 14 กุมภาพันธ์ ค.ศ.1929 (พ.ศ.2472) นั่นคือเหตุการณ์ “การสังหารหมู่ในวันวาเลนไทน์ (Saint Valentine's Day Massacre)” ซึ่งผมเคยเขียนเอาไว้แล้ว อ่านเพิ่มเติมได้ตามลิ้งค์นี้เลยครับ
1
ถึงแม้จะมีความรุนแรงจากการที่แก๊งอาชญากรรมต่างๆ ปะทะกัน แต่ผู้คนก็ยังคงไปที่บาร์และไนท์คลับของแก๊งอาชญากรรมต่างๆ ไม่ใช่แค่เพื่อดื่มเหล้า แต่เพื่อฟังเพลงแจ๊ส ซึ่งเป็นแนวดนตรีที่กำลังได้รับความนิยมในยุคนั้น
สำหรับดนตรีแจ๊สนั้น ได้ถูกสร้างขึ้นโดยนักดนตรีชาวแอฟริกัน-อเมริกันในนิวออร์ลีนส์ โดยเริ่มในปลายศตวรรษที่ 19 ต้นศตวรรษที่ 20 โดยเป็นการผสมผสานแนวดนตรีหลายๆ แบบเข้าด้วยกัน ดูแปลกใหม่และเป็นที่นิยม
1
ในไม่ช้า ดนตรีแจ๊สก็ได้แพร่หลายไปทั่ว มีการเล่นตามไนท์คลับต่างๆ มากมาย คนผิวขาวก็เริ่มจะเล่นดนตรีแจ๊ส เกิดวงดนตรีที่ออกเดินสายแสดงทั่วยุโรป และทำให้ยุค 20 (พ.ศ.2463-2472) ยังเป็นยุคของดนตรีแจ๊สอีกด้วย
วงดนตรีแจ๊สในยุค 20
ในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 1 และยุค 20 (พ.ศ.2463-2472) คนแอฟริกัน-อเมริกันนับล้านทิ้งงานในฟาร์มทางใต้ มุ่งสู่เมืองทางเหนือ
ภายในปีค.ศ.1920 (พ.ศ.2463) ก็ได้มีคนแอฟริกัน-อเมริกันระหว่าง 175,000-200,000 คนอาศัยอยู่ในย่านฮาร์เลมในนิวยอร์ก โดยคนส่วนมากมาที่นี่เพื่อหางานทำ
2
ด้วยความที่มีชาวแอฟริกัน-อเมริกันอยู่เป็นจำนวนมาก จึงทำให้ฮาร์เลมกลายเป็นเมืองขนาดย่อมๆ มีวัฒนธรรมของตนเอง
3
ชาวแอฟริกัน-อเมริกันเริ่มตั้งธุรกิจของตนเอง กินอาหารในร้านของคนแอฟริกัน-อเมริกัน อ่านหนังสือของคนแอฟริกัน-อเมริกัน ใช้ชีวิตแยกจากคนผิวขาว
ฮาร์เลมในยุค 20
ในฮาร์เลม ได้เกิดกวี นักเขียนนิยาย หนังสือพิมพ์ต่างๆ ของคนแอฟริกัน-อเมริกัน รวมทั้งศิลปินต่างๆ ทำให้คนแอฟริกัน-อเมริกันได้แสดงความสามารถให้ผู้คนในวงกว้างได้เห็น
1
ในยุค 20 (พ.ศ.2463-2472) รถยนต์ได้ถูกผลิตมาเป็นเวลานานแล้วหากแต่ยังมีราคาแพง แพงมากจนคนธรรมดาซื้อไม่ได้
3
ในปีค.ศ.1900 (พ.ศ.2443) มีรถยนต์ทั่วสหรัฐอเมริกาเพียง 8,000 คัน เนื่องจากรถยนต์แต่ละคันได้รับการผลิตทีละคันและต้องใช้เวลามาก
ด้วยข้อจำกัดนี้ ทำให้มีผู้เห็นช่องว่างและคิดจะทำสิ่งใหม่ๆ
คนผู้นั้นคือ “เฮนรี ฟอร์ด (Henry Ford)”
1
เฮนรี ฟอร์ด (Henry Ford)
ฟอร์ดต้องการที่จะผลิตรถยนต์ได้ครั้งละมากๆ และทำให้รถยนต์มีราคาถูกลง โดยรถยนต์รุ่น “ฟอร์ด โมเดลที (Ford Model T)” ของฟอร์ด ใช้เวลาการผลิตเพียง 93 นาทีเท่านั้น
ภายในปีค.ศ.1918 (พ.ศ.2461) รถยนต์ของฟอร์ดกว่า 2.5 ล้านคัน ซึ่งเท่ากับครึ่งหนึ่งของรถยนต์ทั้งประเทศ ก็ได้ถูกขาย
ราคารถยนต์ลดลง จาก 850 ดอลลาร์ (ประมาณ 25,500 บาท) เหลือเพียง 360 ดอลลาร์ (ประมาณ 10,800 บาท)
ฟอร์ด โมเดลที (Ford Model T)
คำถามคือ “ฟอร์ดทำได้อย่างไร?”
คำตอบก็คือ “สายการผลิต (Assembly Line)”
ในโรงงานของฟอร์ด การจะผลิตรถยนต์ซักคันหนึ่ง จะมีการประกอบรถยนต์จากชิ้นส่วนต่างๆ คนงานแต่ละคนจะประจำอยู่ในจุดๆ เดียวและมีหน้าที่เพียงอย่างเดียว
1
เมื่อคนงานคนหนึ่งทำหน้าที่ของตนเสร็จ รถยนต์ก็จะถูกส่งไปยังคนงานคนต่อมา เป็นขั้นๆ จนถึงจุดสุดท้ายที่เสร็จสมบูรณ์
ในช่วงปลายยุค 20 (พ.ศ.2463-2472) ทุกๆ 24 วินาที จะมีรถฟอร์ด โมเดล ทีหนึ่งคันผลิตเสร็จ ออกจากสายการผลิต
1
โรงงานรถยนต์ของฟอร์ด
นอกจากนั้น ฟอร์ดยังคิดวิธีที่ทำให้ลูกค้าสามารถซื้อรถยนต์ได้ง่ายขึ้น นั่นก็คือการ “ผ่อนชำระ”
ลูกค้าเพียงแค่วางเงินไว้ส่วนหนึ่ง ยังไม่ต้องจ่ายทั้งหมด และผ่อนชำระเป็นรายเดือน ทำให้คนที่ไม่ได้มีเงินสดเป็นจำนวนมากก็สามารถเป็นเจ้าของรถยนต์ได้
ในเมื่อรถยนต์เริ่มถูกผลิตมากขึ้น รัฐบาลอเมริกันก็ตอบรับด้วยการสร้างถนนและเส้นทางต่างๆ มากขึ้น ทำให้คนอเมริกันสามารถทำงานที่ไกลจากที่พักได้
1
ครอบครัวเริ่มย้ายจากในเมืองไปอยู่ชานเมือง ได้มีการสร้างชุมชนใหม่ๆ ตามชนบท ผู้คนเริ่มจะสามารถมีบ้านเป็นของตัวเอง ไม่ต้องไปอยู่ในอพาร์ทเม้นท์โทรมๆ ที่อัดกันเป็นปลากระป๋อง
นอกจากนั้น ยังมีการสร้างปั๊มน้ำมันและสถานีบริการจำนวนมาก ซึ่งมีทั้งร้านอาหารและโรงแรมไว้คอยบริการนักเดินทาง
สถานีบริการในยุค 20
การแพร่หลายของรถยนต์ ทำให้ชาวอเมริกันมีอิสระ เนื่องจากที่ผ่านมา ก่อนที่จะมีรถยนต์ ชาวอเมริกันหลายรายไม่เคยไปไหนไกลๆ จากบ้านของตน แต่ในเวลานี้ การเดินทางนั้นง่ายดายขึ้น ผู้คนในพื้นที่ห่างไกลสามารถเดินทางเข้าเมืองได้ง่ายๆ
นอกเหนือจากรถยนต์ ในยุค 20 (พ.ศ.2463-2472) วิถีชีวิต การพักผ่อนของชาวอเมริกันก็ได้มีการเปลี่ยนแปลง
1
นั่นคือ “ภาพยนตร์”
เดิมทีผมตั้งใจจะเขียนเรื่องนี้เป็นบทความเดียวจบในตอน แต่เนื่องจากมีความยาวพอสมควร เลยคิดว่าจะทำเป็นสองตอนดีกว่า (ยอมรับว่าขี้เกียจด้วยแหละครับ)
ตอนต่อไปซึ่งเป็นตอนจบจะมาในเร็วๆ นี้ หากอยากอ่านต่อก็ช่วยเป็นกำลังใจ ช่วยบอกด้วยนะครับ
โฆษณา