9 ม.ค. 2021 เวลา 07:20 • ประวัติศาสตร์
“เจ.เค.โรวลิง (J. K. Rowling)” ผู้เปลี่ยนโลกวรรณกรรมด้วยพ่อมดน้อย “แฮร์รี พอตเตอร์ (Harry Potter)”
หากเอ่ยถึงชื่อของ “เจ.เค.โรวลิง (J. K. Rowling)” เชื่อว่าไม่มีนักอ่านคนไหนที่ไม่รู้จัก โดยเฉพาะกับแฟนๆ ของ “แฮร์รี พอตเตอร์ (Harry Potter)”
เธอเป็นนักเขียนผู้สรรค์สร้างพ่อมดน้อยจนโด่งดังไปทั่วโลก มีแฟรนไชส์ภาพยนตร์เกี่ยวกับพ่อมดน้อยออกมาหลายภาค และสร้างตัวจนร่ำรวยจากงานเขียน
แต่เรื่องราวในชีวิตของเธอนั้นก็น่าสนใจไม่แพ้กับเรื่องที่เธอเขียน
ชื่อจริงๆ ของเธอคือ “โจแอนน์ โรวลิง (Joanne Rowling)” หรือที่คนในครอบครัวเรียกว่า “โจ (Jo)” เกิดเมื่อวันที่ 31 กรกฎาคม ค.ศ.1965 (พ.ศ.2508) ที่กลูสเตอร์เชอร์ ประเทศอังกฤษ
โจในวัยเด็ก
โจมีน้องสาวคนหนึ่ง ชื่อ “ไดอาน่า (Diana)” หรือที่เรียกสั้นๆ ว่า “ได (Di)” โดยโจมักจะแต่งนิทาน และเล่าให้ไดอาน่าฟังเสมอๆ
ขณะมีอายุได้เก้าขวบ ครอบครัวของเธอก็ได้ย้ายไปยังหมู่บ้านเล็กๆ ที่ชื่อ “ทุตชิลล์ (Tutshill)” ซึ่งเป็นหมู่บ้านที่ล้อมรอบด้วยธรรมชาติที่สวยงาม และยังมีปราสาทซึ่งตั้งอยู่ไม่ไกลจากบ้านของโจ
การได้อาศัยอยู่ในชนบทคือฝันที่เป็นจริงของพ่อกับแม่ ซึ่งเป็นชาวลอนดอนทั้งคู่ โดยพ่อของเธอทำงานในโรงงานผลิตเครื่องยนต์สำหรับเครื่องบิน ส่วนแม่ของเธอทำงานในห้องแล็บ
พ่อและแม่ของโจ
แม่น้ำกว้างใหญ่ ผืนป่าเขียวขจี ปราสาทเก่าแก่ ล้วนแต่ทำให้โจมีไอเดียในการรังสรรค์เรื่องที่จะเขียน และในช่วงเวลานี้ เธอยังได้อ่านนิทานและเทพนิยายมากมาย
แต่สิ่งหนึ่งที่เธอไม่ชอบเกี่ยวกับบ้านใหม่ นั่นคือ “โรงเรียน”
โรงเรียนที่โจเข้าเรียนนั้น มีอาจารย์ที่ดุและเข้มงวดมาก โดยอาจารย์จะจัดลำดับการนั่งโดยวัดจากความฉลาดของเด็กแต่ละคน ใครที่ฉลาดให้นั่งทางซ้าย ใครที่ไม่ค่อยฉลาดให้นั่งทางขวา
วันเปิดเทอมวันแรก อาจารย์ได้ให้ทุกคนลองทำข้อสอบคณิตศาสตร์ ซึ่งโจก็สอบตก ทำให้โจต้องไปนั่งทางขวา
บ้านในวัยเด็กของโจที่ทุตชิลล์
โจจำได้ดีว่าวันนั้นเธอรู้สึกแย่แค่ไหน และเธอก็ไม่คิดว่าการสอบนี้ยุติธรรม ซึ่งในเวลาต่อมา เธอนำอาจารย์คนนี้มาเป็นต้นแบบในการเขียน “เซเวอรัส สเนป (Severus Snape)” หนึ่งในศาสตราจารย์คนหนึ่งในวรรณกรรมแฮร์รี พอตเตอร์
1
โจได้ย้ายโรงเรียนขณะอายุ 11 ขวบ ซึ่งที่โรงเรียนใหม่นี้ โจก็ต้องเจอการรังแกจากเด็กที่โตกว่า
ถึงแม้ว่าโจจะเป็นนักเรียนที่ดีและเงียบๆ พูดน้อย แต่เธอก็โต้ตอบ ทำให้เธอเริ่มจะโด่งดังในโรงเรียน นักเรียนคนอื่นชื่นชมที่เธอกล้าโต้ตอบพวกเด็กเกเร
1
โจนั้นไม่ได้ชื่นชอบการต่อสู้ในชีวิตจริง แต่เธอชอบที่จะจินตนาการถึงการต่อสู้ ซึ่งเธอก็มักจะแต่งเรื่องขึ้นจากจินตนาการ และเล่าให้เพื่อนๆ ฟังในเวลาพักกลางวัน
หากจะเปรียบกับตัวละครในแฮร์รี พอตเตอร์ โจอาจจะใกล้เคียงกับ “เฮอร์ไมโอนี เกรนเจอร์ (Hermione Granger)”
โจนั้นมักจะดูเป็นคนที่มั่นใจในตัวเอง หากแต่ข้างใน เธอยังคงรู้สึกหวาดกลัว นอกจากนั้น เธอยังมีผลการเรียนที่ดีอีกด้วย
ขณะอายุ 15 ปี โจก็ยังคงเพลิดเพลินกับจินตนาการ ก่อนที่บางอย่างจะเปลี่ยนไป
แม่ของโจเป็นโรคปลอกประสาทเสื่อมแข็ง (Multiple Sclerosis) หรือโรคเอ็มเอส (MS) ซึ่งเป็นโรคทางระบบประสาทและอาการก็แย่ลงเรื่อยๆ
แอนน์ โรวลิง (Anne Rowling) แม่ของโจ
โจนั้นใกล้ชิดกับแม่มาก และการที่เห็นแม่อาการแย่ลงเรื่อยๆ ก็ทำให้เธอรู้สึกเจ็บปวด
ถึงแม้ว่าโจจะรู้สึกแย่ แต่เธอก็มีเพื่อนที่ชื่อ “ฌอน แฮร์ริส (Sean Harris)” ที่คอยปลอบเธอ และเป็นต้นแบบของตัวละคร “รอน วีสลีย์ (Ron Weasley)”
นอกจากเป็นคนสนุกสนานแล้ว ฌอนยังเป็นคนที่ช่วยให้โจได้รับใบขับขี่ และในเวลาที่โจรู้สึกแย่ ฌอนก็จะพาโจขับรถเล่นในแถบชนบท
โจและฌอน
โจเล่าให้ฌอนฟังว่าเธออยากจะเป็นนักเขียน ซึ่งเป็นความลับที่เธอไม่เคยบอกใครมาก่อน และฌอนก็ตอบโจว่าเขาเชื่อว่าโจจะต้องประสบความสำเร็จ
โจเรียนจบชั้นมัธยมในปีค.ศ.1983 (พ.ศ.2526) และเข้าศึกษาระดับมหาวิทยาลัยที่มหาวิทยาลัยเอ็กเซเตอร์ (University of Exeter) โดยวิชาโปรดของเธอคือวรรณคดีอังกฤษ
ในช่วงที่เป็นนักศึกษา โจได้ไปปารีสและทำงานเป็นผู้ช่วยสอนในชั้นเรียน ซึ่งโจก็ได้ศึกษาเพิ่มเติม ทั้งภาษาฝรั่งเศส ละติน และกรีก
โจเรียนจบมหาวิทยาลัยในปีค.ศ.1987 (พ.ศ.2530) และได้ย้ายไปทำงานที่ลอนดอน โดยเธอได้งานเป็นเลขานุการในองค์การแอมเนสตี (Amnesty International) ซึ่งเป็นองค์กรที่เรียกร้องสิทธิและความเท่าเทียมให้กับผู้คนในประเทศต่างๆ ซึ่งโจเองก็รู้สึกมีส่วนในการช่วยเหลือผู้คน
ในช่วงพักกลางวัน โจจะนั่งเขียนนิยาย และเพลิดเพลินในงานเขียน
ทางด้านแม่ของโจที่รักษาตัวอยู่ที่ทุตชิลล์ ก็ไม่มีทีท่าว่าจะดีขึ้น โจจึงตัดสินใจ ย้ายจากลอนดอนไปแมนเชสเตอร์ ซึ่งถึงแม้จะอยู่ไกล แต่ก็สามารถไปเยี่ยมแม่ได้เรื่อยๆ
ในวันหยุด โจจะนั่งรถไฟจากลอนดอนไปยังแมนเชสเตอร์เพื่อหาที่พัก ซึ่งในช่วงวันหยุดในปีค.ศ.1990 (พ.ศ.2533) นี้เอง ไอเดียเรื่องแฮร์รี พอตเตอร์ก็ผุดขึ้นมาในหัวของโจ
เมื่อเรื่องราวของแฮร์รี พอตเตอร์ผุดขึ้นมาในหัว โจก็ไม่สามารถคิดเรื่องอื่นได้เลย ที่พักในแมนเชสเตอร์ของโจเต็มไปด้วยร่างโครงเรื่องแฮร์รี พอตเตอร์ โดยเรื่องราวต่างๆ นั้น มีต้นแบบมาจากคนรอบข้างและสิ่งที่โจพบเห็น
ไม่นานหลังจากโจได้ไอเดียเรื่องแฮร์รี พอตเตอร์ แม่ของโจก็เสียชีวิต
1
การเสียชีวิตของแม่ทำให้โจและได รวมทั้งพ่อ ต่างโศกเศร้าเสียใจ ถึงแม้ทุกคนจะรู้ดีว่าแม่ป่วยแค่ไหน แต่ก็ไม่มีใครอยากเชื่อว่าแม่จะเสียชีวิตจริงๆ
2
โจต้องการจะเยียวยาจิตใจตนเอง เธอจึงย้ายไปโปรตุเกส และทำงานเป็นอาจารย์สอนภาษาอังกฤษ ซึ่งบางที งานใหม่นี้อาจจะมีเวลามากพอให้เธอเขียนหนังสือได้
ขณะอยู่ในโปรตุเกส โจได้รู้จักกับนักข่าวที่ชื่อ “Jorge Arantes” และได้รักกันจนถึงขั้นแต่งงานในปีค.ศ.1992 (พ.ศ.2535)
โจและ Jorge
ในปีต่อมา โจให้กำเนิดลูกสาวชื่อ “เจสสิกา (Jessica Isabel Rowling Arantes)” หากแต่การแต่งงานนี้ก็ไม่ได้จบลงอย่างมีความสุข
โจไปจากโปรตุเกสในปีค.ศ.1993 (พ.ศ.2536) โดยเธอพาเจสสิกาไปด้วย รวมทั้งโน้ตโครงร่างของแฮร์รี พอตเตอร์ และสามบทแรกของ “แฮร์รี่ พอตเตอร์กับศิลาอาถรรพ์ (Harry Potter and the Philosopher's Stone)”
โจและเจสสิกาซึ่งอยู่ในวัยทารกได้ไปอาศัยอยู่ที่เอดินเบิร์ก สกอตแลนด์ ซึ่งเป็นที่ๆ ไดอาศัยอยู่กับสามี
เจสสิกา (Jessica Isabel Rowling Arantes)
โจต้องการจะเขียนหนังสือให้เสร็จ ดังนั้นเมื่อเจสสิกาหลับ โจจะเขียนหนังสือต่อ โดยมักจะเขียนตามร้านกาแฟและเขียนให้เร็วที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้
ด้วยความที่โจยังไม่มีงานทำ รายได้ของเธอจึงมีเพียงแค่เงินสวัสดิการที่รัฐจัดให้ทุกเดือน ซึ่งก็ไม่ค่อยจะพอนัก ซ้ำร้าย รัฐบาลอังกฤษยังได้ออกนโยบาย “Back to Basics” โดยนโยบายนี้ กล่าวว่าซิงเกิลมัมเป็นความน่าอับอายของชาติ ทำให้โจนั้นโกรธมาก และปฏิญาณว่าหากวันใดเธอร่ำรวย เธอจะใช้เงินช่วยเหลือซิงเกิลมัมที่เลี้ยงลูกเพียงลำพังเหมือนที่เธอกำลังเป็นอยู่
1
แต่โจนั้นโชคดีที่มีคนรอบข้างคอยสนับสนุน สามีของไดเป็นเจ้าของร้านอาหาร และอนุญาตให้โจนั่งเขียนหนังสือเป็นชั่วโมงๆ ได้ ส่วนฌอนก็ให้โจยืมเงินจ่ายค่าเช่าที่พัก
ด้วยความช่วยเหลือจากทุกคน ทำให้ “แฮร์รี่ พอตเตอร์กับศิลาอาถรรพ์ (Harry Potter and the Philosopher's Stone)” เสร็จสมบูรณ์
1
แฮร์รี พอตเตอร์ที่เขียนเสร็จนี้เป็นเพียงฉบับร่าง โจรู้ดีว่ายังมีหลายส่วนที่ต้องปรับก่อนนำออกตีพิมพ์ แต่โจก็ได้ให้ไดลองอ่านดู ซึ่งไดเองก็ชอบมาก
โจและได
จากนั้น โจได้งานเป็นอาจารย์สอนภาษาฝรั่งเศส ซึ่งในเวลาว่าง โจก็จะนำแบบร่างแฮร์รี พอตเตอร์มาเกลา และต้องการทำให้งานชิ้นนี้ออกมาดีที่สุด
ผ่านไปเจ็ดปีหลังจากเขียนฉบับร่างเสร็จสมบูรณ์ โจก็พร้อมจะแนะนำแฮร์รี พอตเตอร์ให้โลกได้รู้จักแล้ว
1
โจได้ปรินท์สามบทแรกของแฮร์รี พอตเตอร์ ก่อนจะนำมาห่อพลาสติกและส่งให้เอเจนซีได้ลองอ่าน ซึ่งเอเจนซีเหล่านี้ก็คือคนกลางที่ขายหนังสือให้สำนักพิมพ์ โดยเอเจนซีนั้นมีช่องทางการติดต่อสำนักพิมพ์ และได้ส่วนแบ่งจากนักเขียน
ไม่กี่วันหลังจากที่ส่งสามบทแรกให้เอเจนซีได้ลองอ่าน ต้นฉบับของเธอก็ถูกตีกลับมา เอเจนซีไม่สนใจและไม่ต้องการอ่านบทที่เหลือ
หนึ่งในต้นฉบับแฮร์รี พอตเตอร์
ถึงแม้จะถูกปฏิเสธ แต่โจก็ไม่ท้อ เธอมาไกลเกินกว่าจะถอยได้แล้ว
โจได้หาเอเจนซีรายใหม่ และก็พบกับชายที่ชื่อ “คริสโตเฟอร์ ลิตเติล (Christopher Little)”
ต้นฉบับแฮร์รี พอตเตอร์ถูกกองรวมอยู่กับต้นฉบับอื่นๆ ในสำนักงานของลิตเติล ซึ่งต้นฉบับอื่นๆ ก็มีมากเหลือเกิน และลิตเติลคงไม่มาเสียเวลาดูทั้งหมด
คริสโตเฟอร์ ลิตเติล (Christopher Little)
วันหนึ่ง ขณะที่กำลังจะออกไปทานอาหารกลางวัน ลิตเติลได้ลองหยิบต้นฉบับของวรรณกรรมที่คนในออฟฟิศชอบอ่าน ลองเอาติดมือไปอ่านขณะพักทานอาหารกลางวัน
เพื่อนของลิตเติลที่นัดทานอาหารกลางวันนั้นมาสาย ลิตเติลจึงลองหยิบต้นฉบับพ่อมดน้อยมาเปิดอ่านดู และเขาก็ถูกดูดเข้าไปในโลกของพ่อมดน้อยในทันที
เมื่อกลับถึงออฟฟิศ ลิตเติลก็ได้เขียนจดหมายหาโจ กล่าวว่าเขารู้สึกสนใจที่จะตีพิมพ์หนังสือเรื่องนี้ ซึ่งทำให้โจดีใจมาก
ในที่สุด โอกาสก็มาถึงแล้ว
ลิตเติลขายหนังสือของโจแก่สำนักพิมพ์ Bloomsbury ซึ่งส่วนแบ่งจากการขายนั้นก็มากพอที่จะทำให้โจมาเป็นนักเขียนเต็มตัว และลาออกจากงานอาจารย์
ภายหลังจากพยายามมาเป็นเวลานานหลายปี ในที่สุด ฝันของโจก็เป็นจริง เธอได้เป็นนักเขียนอย่างเต็มตัวแล้ว
ต่อมาไม่นาน ลิตเติลได้ติดต่อโจเพื่อบอกว่าหนังสือแฮร์รี พอตเตอร์ของโจกำลังถูกประมูลในสหรัฐอเมริกา
โจนั้นแปลกใจ เธอนึกว่าการประมูลจะมีแต่พวกเครื่องเพชรหรือของเก่า ราคาแพงๆ ไม่นึกว่าหนังสือของเธอก็ถูกประมูลได้
1
ลิตเติลอธิบายให้โจฟังว่าในสหรัฐอเมริกา สำนักพิมพ์ต่างๆ กำลังสนใจหนังสือของโจ สนใจมากซะจนแข่งกันว่าใครจะซื้อไปตีพิมพ์ได้
ลิตเติลบอกว่าตอนนี้ราคาประมูลพุ่งขึ้นไปถึง 10,000 ดอลลาร์ (ประมาณ 300,000 บาท) แล้ว
สองชั่วโมงต่อมา ลิตเติลโทรหาโจอีกครั้งเพื่อบอกว่าราคาพุ่งขึ้นไปถึง 100,000 ดอลลาร์ (ประมาณสามล้านบาท) แล้ว
ผู้ชนะการประมูลคือ “อาเทอร์ เอ. เลวีน (Arthur A. Levine)” แห่งสำนักพิมพ์ Scholastic
1
อาเทอร์ เอ. เลวีน (Arthur A. Levine)
ในทีแรก เลวีนก็ไม่มั่นใจและรู้สึกกังวลกับการทุ่มเงินจำนวนมากกับงานเขียนของนักเขียนหน้าใหม่ แต่เขาชอบแฮร์รี พอตเตอร์มาก และคิดว่าบางที เด็กๆ ในสหรัฐอเมริกาก็อาจจะชอบเหมือนกัน
มิถุนายน ค.ศ.1997 (พ.ศ.2540) “แฮร์รี่ พอตเตอร์กับศิลาอาถรรพ์ (Harry Potter and the Philosopher's Stone)” ได้ออกวางจำหน่ายในสหราชอาณาจักร ซึ่งสำนักพิมพ์ Bloomsbury ก็ขอให้โจใช้นามปากกา เนื่องจากสำนักพิมพ์เกรงว่าเด็กผู้ชายอาจจะไม่อยากอ่านหนังสือที่เขียนโดยผู้หญิง
1
โจจึงใช้นามปากกา “เจ.เค. โรวลิง (J. K. Rowling)” โดยนำชื่อของย่าและของเธอมารวมกัน
“แฮร์รี่ พอตเตอร์กับศิลาอาถรรพ์ (Harry Potter and the Philosopher's Stone)” ประสบความสำเร็จอย่างล้นหลาม มีแฟนๆ ตามอ่านเป็นจำนวนมาก และต่างก็เฝ้ารอเล่มต่อไปของแฮร์รี พอตเตอร์
“แฮร์รี่ พอตเตอร์กับห้องแห่งความลับ (Harry Potter and the Chamber of Secrets)” ตามออกมาในเดือนกรกฎาคม ค.ศ.1998 (พ.ศ.2541)
ไม่เพียงแค่ในสหราชอาณาจักร แต่ที่สหรัฐอเมริกา โจเองก็กลายเป็นคนดัง เด็กๆ ต่างชื่นชอบหนังสือของเธอ โดยแฮร์รี พอตเตอร์ฉบับอเมริกากับอังกฤษนั้น มีการปรับศัพท์บางตัวเพื่อให้เหมาะกับประเทศนั้นๆ
ตุลาคม ค.ศ.1998 (พ.ศ.2541) โจออกทัวร์สหรัฐอเมริกาเป็นเวลา 10 วันเพื่อโปรโมทหนังสือ ซึ่งทีแรก โจก็กังวลว่าเด็กๆ ในสหรัฐอเมริกาอาจจะไม่ชอบหนังสือของเธอเท่ากับเด็กๆ ในอังกฤษ
โจนั้นคิดผิด การออกทัวร์ครั้งนี้ประสบความสำเร็จ เด็กชาวอเมริกันต่างชื่นชอบแฮร์รี พอตเตอร์ หลายรายลงทุนสั่งซื้อแฮร์รี พอตเตอร์เล่มสองจากอังกฤษ ทั้งๆ ที่หนังสือยังไม่ได้ตีพิมพ์ในสหรัฐอเมริกา
อาจจะเรียกได้ว่าโจเป็นนักเขียนวรรณกรรมเด็กรายแรกที่มียอดขายสูงที่สุดก็ว่าได้ ที่ผ่านมา นักเขียนวรรณกรรมเด็ก ถึงแม้ว่าจะโด่งดัง แต่ก็ไม่ได้มียอดขายสูงมากนัก
เมื่อแฮร์รี พอตเตอร์เล่มสาม “แฮร์รี่ พอตเตอร์กับนักโทษแห่งอัซคาบัน (Harry Potter and the Prisoner of Azkaban)” ออกวางจำหน่าย โจก็พบว่าไม่เพียงแต่เด็ก หากแต่ผู้ใหญ่ก็ติดแฮร์รี พอตเตอร์งอมแงม
เกิดกระแสความคลั่งไคล้แฮร์รี พอตเตอร์ไปทั่ว พลิกชีวิตโจจากซิงเกิลมัมยากจน ไปสู่มหาเศรษฐินี
ในเวลานี้ โจสามารถพักในโรงแรมที่หรูที่สุด ซื้อเสื้อผ้าราคาแพงที่สุดได้แล้ว และเธอยังเป็นที่สนใจของสื่อมวลชน หากแต่ความสนใจนี้ก็นำแง่ลบมาให้เธอเช่นกัน
ปาปารัสซีมักจะตามถ่ายภาพโจและเจสสิกา แม้แต่ในวันพักผ่อน เธอก็ยังถูกปาปารัสซีตามเก็บภาพ ทำให้โจไม่พอใจนัก
ทุกคนต่างอยากรู้เรื่องราวของโจ ซึ่งในเวลานี้ โจได้มีแฟนใหม่ คือ “นีล เมอร์รีย์ (Neil Murray)”
โจและนีล
เมื่อโจและนีลเริ่มมีความสัมพันธ์กัน สื่อต่างๆ ก็จับจ้องและคอยเก็บภาพของทั้งคู่
ค.ศ.2001 (พ.ศ.2544) โจและนีลได้ซื้อแมนชันเก่าแก่สมัยศตวรรษที่ 17 ที่สกอตแลนด์
แมนชันของโจมีห้องหลายห้อง และมีที่ดินกว่า 410 ไร่
แมนชันที่สกอตแลนด์ของโจ
ภายในปีค.ศ.2001 (พ.ศ.2544) แฮร์รี พอตเตอร์ก็โด่งดังไปทั่วโลก มีหนังสือในชุดแฮร์รี พอตเตอร์ได้รับการตีพิมพ์ไปแล้วกว่าสี่ภาค
แต่ถึงหนังสือจะโด่งดังมาก บริษัทภาพยนตร์ในฮอลลีวูดก็ยังไม่แน่ใจนักว่าเรื่องนี้เหมาะจะทำเป็นภาพยนตร์หรือไม่
บริษัทภาพยนตร์ต่างๆ คิดว่าถึงแม้ว่าผู้คนจะชอบหนังสือแฮร์รี พอตเตอร์ แต่พวกเขาจะยอมซื้อตั๋วดูหนังที่นักแสดงทั้งหมดเป็นชาวอังกฤษ ไม่มีคนอเมริกันเลยหรือ?
บางคนถึงขั้นเสนอว่าควรเปลี่ยนให้แฮร์รี พอตเตอร์เป็นชาวอเมริกัน ซึ่งโจปฏิเสธ ยังไงก็ต้องเป็นคนอังกฤษเท่านั้น
นอกจากนั้น การถ่ายทอดจินตนาการของโจสู่แผ่นฟิล์มจะต้องใช้สเปเชียลเอฟเฟกมากมาย และต้องมีราคาแพงแน่นอน ทำให้บริษัทภาพยนตร์ลังเล
1
ไม่เพียงแค่นั้น ถึงแม้จะมีคนชอบแฮร์รี พอตเตอร์เป็นจำนวนมาก หากแต่ผู้คนบางส่วนก็ไม่ชอบ และเรียกร้องให้นำแฮร์รี พอตเตอร์ออกจากห้องสมุด เนื่องจากตัวเอกเป็นพ่อมด และโจอาจจะกำลังส่งเสริมมนต์ดำ ทำให้ผู้คนงมงาย
แต่ถึงจะมีผู้คนบางส่วนที่แบนแฮร์รี พอตเตอร์ หากแต่ผู้คนส่วนมากก็ชื่นชอบ และเมื่อภาพยนตร์เรื่องแรกของแฮร์รี พอตเตอร์ออกฉาย นั่นคือ “แฮร์รี่ พอตเตอร์กับศิลาอาถรรพ์ (Harry Potter and the Philosopher's Stone)” ภาพยนตร์เรื่องนี้ก็กลายเป็นภาพยนตร์ดังที่ทำเงินถล่มทลาย ตามมาด้วยตอนต่อของแฮร์รี พอตเตอร์อีกหลายภาค
โจแต่งงานกับนีลที่สกอตแลนด์ในปีค.ศ.2001 (พ.ศ.2544) ก่อนที่จะให้กำเนิดลูกชายและลูกสาว
หนังสือชุดแฮร์รี พอตเตอร์ทำให้โจกลายเป็นมหาเศรษฐี และกลายเป็นบุคคลในวงการบันเทิงที่รวยเป็นอันดับสอง (รองจากโอปราห์ วินฟรีย์) โดยนิตยสารฟอร์บส์ (Forbes) กล่าวว่าเธอมีทรัพย์สินมากกว่า 1,000 ล้านดอลลาร์ (ประมาณ 30,000 ล้านบาท) และรวยเป็นอันดับที่ 122 ในสหราชอาณาจักร รวยกว่าพระราชินีอังกฤษซะอีก
11 มกราคม ค.ศ.2007 (พ.ศ.2550) โจเขียนแฮร์รี พอตเตอร์เล่มสุดท้ายเสร็จสมบูรณ์
ในทุกวันนี้ แม้จะผ่านมานานกว่า 10 ปี หากแต่แฮร์รี พอตเตอร์ก็ยังคงเปี่ยมเสน่ห์ มีแฟนๆ ที่คลั่งไคล้จำนวนมาก
1
ใครจะไปคิดว่าซิงเกิลมัมที่ดูอับจนหนทางจะสามารถพลิกชีวิต ก้าวขึ้นมารวยกว่าพระราชินีแห่งอังกฤษได้
และทั้งหมดนี้ก็เกิดขึ้นจากพ่อมดน้อยเพียงคนเดียว
โฆษณา