Blockdit Logo
Blockdit Logo (Mobile)
สำรวจ
ลงทุน
คำถาม
เข้าสู่ระบบ
มีบัญชีอยู่แล้ว?
เข้าสู่ระบบ
หรือ
ลงทะเบียน
Are you for real ?
•
ติดตาม
10 ม.ค. 2021 เวลา 15:54 • หนังสือ
“1 ปีกับชีวิตที่ผมอยู่ในอเมริกา Season 1: Homecoming” – ชี้ดาบ
💌 ** ตอนนี้เป็นตอนพิเศษ เป็นการรีวิวหนังสือ + การเล่าชีวิตเราให้อ่านไปพร้อมๆกัน ยาวแน่นอน สามารถข้ามไปอ่านตรงสรุปได้ค่ะ…เพราะเรื่องนี้มันมีอิมแพคต่อเรามากพอดู ขอบคุณนะคะ
“นี่ๆ ทำไมเธอถึงมาเป็นนักเรียนแลกเปลี่ยนที่ประเทศไทยเหรอ เธอรู้จักประเทศไทยมาก่อนสินะ”
“ไม่ใช่หรอก โครงการจับให้มาโดยที่ฉันไม่รู้ด้วยซ้ำว่าประเทศไทยมีอะไร อยู่ตรงส่วนไหนของโลก รู้แค่ว่าอยู่ในเอเชีย นอกจากนี้แล้วฉันก็ไม่รู้อะไรเลย”
ภาพการสนทนาของเรากับนักเรียนแลกเปลี่ยนคนหนึ่งแวบเข้ามาในความคิดเมื่อคราวที่เคยได้พูดคุยกันนานมาแล้ว
“งั้นเหรอ…ถ้าเธอย้อนเวลาไปได้ เธอยังอยากมาเป็นนักเรียนแลกเปลี่ยนอยู่ไหม”
“ไม่”
เราทั้งสองจบการสนทนาไว้เพียงเท่านั้น และนั่งละเลียดไอศกรีมตรงหน้าต่อไป…
…นักเรียนแลกเปลี่ยน…งั้นหรือ
เดิมที เราไม่เคยคิดฝันว่าการได้เป็นนักเรียนแลกเปลี่ยน (Exchange Student) มันจะหวนกลับมามีอิทธิพลต่อตัวเองได้อีกครั้งหลังจากความฝันเล็กๆของเรามันถูกมอดดับไปด้วยไฟแห่งช่วงเวลามาร่วมสิบกว่าปี
แน่นอนว่าในวัยมัธยม ครั้งหนึ่งเราอยากไปเป็นเด็กนักเรียนแลกเปลี่ยนที่ต่างประเทศ สักครั้งหนึ่งในชีวิต มันคงจะดีไม่น้อย ส่วนหนึ่งเพราะฉันรักภาษาอังกฤษ
แต่ทว่า…มีความฝัน มีแพชชั่น หากแต่มันไม่สามารถจะดำเนินต่อไปหากไร้เงินทุน ครอบครัวเราไม่สามารถที่จะสนับสนุนเงินจำนวนหนึ่งจ่ายให้กับทางโครงการเพื่อให้เราไปได้ แน่นอนว่าพ่อแม่ที่มีลูกสาวคนเดียวก็ย่อมไม่อยากให้ไปมากยิ่งขึ้น
แต่ฟ้าก็ยังปราณีเราอยู่หน่อยนึง เมื่อมีทุนจากโครงการนึงให้ไปเป็นนักเรียนแลกเปลี่ยนที่นิวซีแลนด์ 6 เดือน…6 เดือนเอง ฟังดูไม่เลวมากๆเลยแฮะ พ่อแม่น่าจะให้ไปได้นะ…อย่างน้อยก็ไม่ถึงปี
แต่สุดท้ายสิ่งที่เราทำคือ ในระหว่างการสอบคัดเลือกรอบสอง (รอบข้อเขียน) เราจำเป็นต้องกาคำตอบให้ผิดเพื่อที่จะได้ไม่ผ่านไปยังรอบสาม แน่นอนว่า เราน้อยใจกับโชคชะตาตัวเองยิ่งนัก น้ำตาไหลลงข้อสอบเป็นภาพที่เรายังจำตัวเองได้
และแล้ว…นั่นก็จบความฝันการเป็นนักเรียนแลกเปลี่ยนของเราไปโดยปริยาย เมื่อเราเรียนต่อสายวิทย์คณิตท่ามกลางค่านิยมสังคมที่ว่าเรียนแล้วดี อาจได้เข้าคณะพวกสายวิทย์สุขภาพ ได้เป็นหมอ ทันตะ เภสัช พยาบาล หรือพวกวิศวะ ซึ่งเราในวัย 16 ปีก็ไหลไปตามกระแสสังคมที่ว่านั่นไป
ใช่ เราละทิ้งความรักด้านภาษาของเราไปด้วย…แล้วต้องทำใจร่ำเรียนกับวิชาสายวิทย์คณิต ซึ่งฉันเกลียด
จวบจนเข้ามหาลัย เราก็ไม่ได้ไปในทางที่รัก เพราะเรายังคงหลงทาง เราไม่รู้จักตัวเอง จนกระทั่งตอนนี้ เราก็ยังหามันไม่พบ
…จนกระทั่งวันหนึ่ง มีอะไรบางอย่างสะกิดให้เราอยากย้อนไปขุดตัวเองในวัย 16 กลับมาอีกครั้ง
ขุดเอาแพชชั่นอยากเก่งภาษาอังกฤษ อยากใช้ชีวิตเมืองนอก อยากเอาธรรมชาติของตัวเองกลับมา
หลังจากชีวิตการทำงานมันช่างดุเดือดจนทำให้เรากลายเป็นคนบ้างาน ชีวิตนี้คือไม่มีอะไรนอกจากตื่นมา ทำงาน กลับบ้าน นอน
ทำงานหนัก เราเลยเที่ยวหนัก ใช้เงินหนัก ปรนเปรอตัวเองหนักมาก จนรู้ตัวอีกทีคือผ่านไป 5 ปีแล้วยังไม่ได้ทำตามความฝันที่เหลือของตัวเองเลย
การหวนกลับมาฟังความต้องการของตัวเองอีกครั้งมันช่วยเราตรงนี้ เราเชื่อว่ามันมาจากสิ่งที่ค้างคาในใจมานาน เราอยากเหลือเกินที่จะกลับไปแก้ไข ทั้งชีวิตวนเวียนอยู่แต่กับ if – clause ถ้าฉันได้ทำ…ฉันคงได้ทำ…ไปแล้ว
เราว่าโอกาสมันมักจะมาเป็นลูกโซ่ คล้ายกับ Butterfly Effect ที่เขาว่า การกระพือปีกของผีเสื้อ สะเทือนถึงดวงดาว…บางทีจักรวาลนี้อาจกำลังส่งมอบบทเรียนให้เราบทนึง เพื่อให้เราทำสิ่งๆนึงที่มันจะต่อยอดไปได้อีกในอนาคตก็ได้ ใครจะรู้…
🔆🔆….เข้าสู่กระบวนการรีวิวหนังสือจริงจัง
จำได้ว่าเคยอ่านหนังสือเพียงไม่กี่เล่มหรอกนะในชีวิตนี้ที่ทำให้เราหัวเราะท้องแข็ง และเพราะความน่าติดตามจนวางไม่ลง
มีไม่กี่เรื่องจริงๆที่ทำแบบนี้ได้…และหนึ่งในนั้นคือเรื่องนี้
(นึกออกอยู่ 3 เล่ม: นิวยอร์กหอกหัก ของมังกรกินหมู, นิวยอร์ก 1st Time ของพี่เบนซ์ ธนชาติ, เพียงชายคนนี้เป็นอาจารย์พิเศษ ของพี่ต่อ คันฉัตร)
คืองี้ ช่วงหลังๆมาเราว่าสไตล์การอ่านของเรามันเปลี่ยนไป จากที่เมื่อก่อนอาจจะติดอ่านแนวพรรณนาโวหารซะเยอะเพราะต้องใช้จินตนาการมาก
ถ้าช่วงไหนที่อกหักหรือฟีลจะเฮิร์ทๆหน่อยก็จะอ่านพวกเรื่องสั้นแนวชอกช้ำใจ แนวมุราคามิอะไรงี้
แต่ช่วงอารมณ์ที่มันหน่วงๆ จะเศร้าก็ไม่ใช่ จะเหงาก็ไม่เชิง มันอึนๆมึนๆ ถ้าเป็นอารมณ์นี้จะให้ไปอ่านอะไรที่จินตนาการหนักหน่วงมันก็ไม่ไหว จะให้ไปอ่านแนวรักใคร่ก็ไม่เอา
มันอยากได้เรื่องจริง อยากได้ชีวิตจริง เล่าให้มันส์ๆ เหมือนมานั่งเล่าให้ฟังตรงหน้า
และมันก็ตอบโจทย์จริงๆ
อีกอย่างคือ เรามีอเมริกาเป็นแพชชั่น จึงไม่เบื่อเลยที่จะได้รู้เรื่องราวผ่านมุมมองของผู้ใช้ชีวิตจริง
พี่เจม (ผู้เขียน) ได้เข้าไปเป็นนักเรียนแลกเปลี่ยนที่ อีเฟรต้า (Ephrata High School) รัฐวอชิงตัน อเมริกา
มันคนละเมืองกับวอชิงตัน ดีซี ที่ประธานาธิบดีอยู่เด้อออ
นึกไม่ออกเดี๋ยวเอา map มาแปะ
เราชอบคำว่า Homecoming บนปกหนังสือจริงๆ
ยิ่งแปลไทยว่า งานคืนสู่เหย้า ยิ่งชอบ ไม่รู้ทำไม
จากบทสนทนาด้านบนที่เราได้คุยกับนักเรียนแลกเปลี่ยนชาวอเมริกัน
ช่วงเริ่มแรกเขาเล่าให้เราฟังว่าตอนที่เขามาอยู่โรงเรียนไทย เขาก็มี culture shock
ไหนจะความหัวเกรียนของนักเรียนชายไทย จนทำให้เขาต้องไปตัดผมที่ยาวออกเพราะครูบอกว่ามันรุงรัง
ไหนจะความยูนิฟอร์มเสื้อขาวกางเกงน้ำตาลนั่นหนา เขาบอกว่าเกิดมาไม่เคยไม่อยากใส่เสื้อผ้าขนาดนี้เลย
ไหนจะตารางสอนแน่นปึ๊กที่ตรูเลือกเองไม่ได้ด้วยอีก นี่มันโรงเรียนมัธยมหรืออนุบาลวะคะ !?
แต่…มันก็คงไม่ใช่เขาคนเดียวหรอกที่จะ shock ไปกับความไทยสไตล์ เพราะเด็กไทยเราเองก็ตกใจกับการเรียนสไตล์อเมริกันไม่แพ้กัน
———— ตัดภาพมาที่เรื่องของพี่เจมในหนังสือ ————–
เล่มนี้ บอกกล่าวเล่าเรื่องมาตั้งแต่วันที่พี่เจมถูกส่งออกนอกประเทศจากสนามบินมาทรานซิทจนมาลงที่อเมริกา
จวบจนวันที่เจอโฮสต์ อยู่กับโฮสต์ ทะเลาะกับโฮสต์ ด่าโฮสต์ (ในใจ) รู้สึกผิดกับโฮสต์ และอื่นๆกับโฮสต์อีกมากมาย
Culture shock ที่บ้านยังไม่พอ มาเจอที่โรงเรียนอี๊กกกก
ความช็อคไม่ได้อยู่แค่ที่คนบ้านเขามาบ้านเรา แต่คนบ้านเราไปบ้านเขานี่ก็หนักหนาเอาการ
ถ้าเปรียบระบบการศึกษาของอเมริกาและไทย
อเมริกาจะเหมือนกับบุฟเฟ่ต์ อยากกินอะไรก็ตักมาเองแล้วต้องรับผิดชอบตัวเองให้ได้ด้วย
ต่างกับเด็กไทยที่ติดนิสัยรออ้าปากให้ครูป้อนให้กิน วันนี้มีอันนี้ๆก็กินไปตามครูบอก ไม่มีสิทธิ๋เถียง
แม้แต่จะเปรียบเป็นอาหารตามสั่ง ก็ยังใช้ไม่ได้กับการศึกษาไทย เพราะเราไม่มีสิทธิ์เลือก
เพราะฉะนั้นพาร์ทโรงเรียน จึงเป็นพาร์ทที่เราชอบที่สุดในหนังสือ
ระหว่างที่อ่านก็ลุ้นไปกับพี่เจมในเรื่องการดึงความกล้าออกมาขอวิกกี้ไปงานโฮมคัมมิ่ง
แต่จนแล้วจนรอด ลุ้นยังไง๊ก็ลุ้นไม่ขึ้นนะ 5555
แต่จะว่าไป เล่มแรก ประทับใจในความใหม่ของ Culture ที่เด็กเกรียนไทยคนนึงต้องเผชิญ
ในทุกๆวันที่มาโรงเรียนเหมือนพี่แกต้อง challenge กับอะไรบางอย่าง
กลับมาถึงบ้านก็ยังต้องทำ mission เป็นเด็กดีของโฮสต์อีก (โฮสต์พี่ความอดทนสูงมากค่ะ 555)
อ่านตั้งแต่ต้นจนจบ เราสรุปออกมาได้ 1 ข้อว่า…อเมริกา ปลุกความกล้า บ้า เกรียนให้กับคุณได้จริงๆ!
…พออ่านเล่ม 1 จบ รู้สึกได้อย่างนึงคือ แพชชั่นของเราได้กลับมาคืนสู่เหย้าอีกครั้ง…
ปล. ตอนนี้พี่เจม หรือ ชี้ดาบ มีช่อง Podcast ของตัวเองแล้ว เผื่อใครสนใจอยากไปฟังพี่เจมเล่าเรื่องสนุกๆ มันส์ๆ พังๆ แบบนี้ ได้โปรดกดเข้าไปฟังตาม Spotify หรือ Youtube ก็ย่อมได้นะคะ สนุกจริง คอนเฟิร์ม !
1 บันทึก
1
ดูเพิ่มเติมในซีรีส์
My Bookish Side
1
1
โฆษณา
ดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน
© 2024 Blockdit
เกี่ยวกับ
ช่วยเหลือ
คำถามที่พบบ่อย
นโยบายการโฆษณาและบูสต์โพสต์
นโยบายความเป็นส่วนตัว
แนวทางการใช้แบรนด์ Blockdit
Blockdit เพื่อธุรกิจ
ไทย