21 ม.ค. 2021 เวลา 02:04 • หนังสือ
#34 เล่ม 1 บทที่ 8 หน้า 187 ~ 194
N : เมื่อไหร่ผมถึงจะเรียนรู้เรื่องความสัมพันธ์มากพอที่จะทำให้มันราบรื่นเสียที?
มีทางไหนที่จะมีความสุขในความสัมพันธ์ได้บ้าง?
มันต้องเป็นเรื่องท้าทายเราอยู่อย่างนี้ไปตลอดเลยหรือครับ?
G : ไม่มีอะไรต้องเรียนรู้เกี่ยวกับความสัมพันธ์
เธอเพียงต้องแสดงสิ่งที่เธอรู้อยู่แล้วออกมาเท่านั้น
มีหนทางที่จะมีความสุขในความสัมพันธ์ นั่นคือเธอต้องใช้ความสัมพันธ์ตามจุดประสงค์ที่มันถูกสร้างขึ้นมา ไม่ใช่เพื่อจุดประสงค์ที่เธอ "อยากให้เป็น"
1
ความสัมพันธ์ทั้งหลายเป็นความท้าทายเสมอ มันจะเรียกร้องต่อเนื่องให้เธอสร้างสรรค์ แสดงออก และมีประสบการณ์ถึง "คุณสมบัติที่สูงส่งยิ่งขึ้น" "วิสัยทัศน์ต่อตัวเองที่งามสง่าขึ้น" รวมทั้ง "มิติที่ล้ำเลิศขึ้นของตัวเธอ"
1
ไม่มีที่ไหนอีกแล้วที่เธอจะทำสิ่งนี้ได้อย่างฉับพลัน บังเกิดผล และ หมดจดเช่นในความสัมพันธ์ ที่จริงหาก`ปราศจาก`ความสัมพันธ์แล้ว "เธอจะไม่อาจทำอย่างนั้นได้เลย"
1
มีเพียงการสัมพันธ์กับ `ผู้คน` `สถานที่` และ `เหตุการณ์ต่างๆ` เท่านั้น ที่จะทำให้เธอสามารถ "มีอยู่" (ในฐานะจำนวนรู้ได้ หรือ "บางสิ่ง" ซึ่งระบุได้) ในจักรวาล
1
จงจำไว้ว่า...
✴️หากปราศจากสิ่งอื่นก็ไม่มีตัวเธอด้วย✴️
นี่เองคือสิ่งที่ "โลกสัมพัทธ์"
ต่างกับ "โลกปรมัตถ์" ที่ฉันดำรงอยู่
เมื่อเข้าใจสิ่งนี้แล้ว เมื่อซึมซาบอย่างลึกซึ้ง เธอจะ "ขอบคุณทุกประสบการณ์" โดยปริยาย "ขอบคุณทุกปฏิสัมพันธ์ของมนุษย์" โดยเฉพาะความสัมพันธ์ส่วนตัว
1
เธอจะมองมันอย่างสร้างสรรค์และด้วยความหมาย "สูงสุด" เธอจะเห็นว่าความสัมพันธ์จะถูก `นำมาใช้` `ต้องถูกใช้` และ `กำลังถูกใช้` (ไม่ว่าเธอจะต้องการให้เป็นอย่างนั้นหรือไม่) เพื่อ "สร้างตัวตนที่แท้จริงของเธอ"
การสร้างนี้อาจเป็นการสร้างอันเยี่ยมยอดตามที่ `เธอต้องการให้เป็น` หรืออาจเป็น `การสร้างโดยบังเอิญ` ก็ได้
เธอเลือกได้ว่าจะให้ตัวเองเป็นเพียง 🔹ผลลัพธ์ของสิ่งที่เกิดขึ้น🔹
หรือจะเป็น 🔹ผลลัพธ์ของสิ่งที่เธอเลือกที่จะเป็นและกระทำต่อสิ่งที่เกิดขึ้นแทน🔹
อย่างหลังคือ :
🔆การสร้างสรรค์ตัวตนอย่าง `ตื่นรู้`
🔆คือประสบการณ์ `การรู้แจ้งในตน`
ดังนั้น ★จงอวยพรทุกความสัมพันธ์★
พึงโอบรับไว้ในฐานะสิ่งพิเศษ
และสิ่งที่จะสร้างสรรค์ตัวตนของเธอ
และตัวตนที่เธอเลือกจะเป็นต่อไป
ทีนี้ คำถามของเธอเกี่ยวกับความสัมพันธ์แบบโรแมนติกของมนุษย์ และฉันก็เข้าใจดี ฉะนั้นฉันจะพูดอย่างเจาะจงและเต็มที่ถึงสัมพันธ์รักทั้งหลายของมนุษย์ ซึ่งทำให้เธอมีปัญหาสืบมาเช่นนี้!
เมื่อสัมพันธ์รักของมนุษย์ล้มเหลว (ความสัมพันธ์ไม่เคยล้มเหลวจริงๆหรอก ยกเว้นในความหมายจำกัดของมนุษย์นั่นคือ เมื่อมัน "ไม่อาจให้สิ่งที่เธอต้องการได้")
มันล้มเหลวเพราะพวกเขา
✴️เข้าสู่ความสัมพันธ์ด้วยเหตุผลผิดๆ✴️
("ผิด" แน่ล่ะ เป็นคำสัมพัทธ์ หมายความถึงสิ่งซึ่งได้รับการให้ค่าว่าตรงข้ามกับสิ่ง ”ถูก” ไม่ว่าจะเป็นอะไรก็ตาม! อาจถูกต้องกว่าถ้าจะพูดด้วยภาษาของเธอว่า ส่วนมากความสัมพันธ์ล้มเหลวหรือเปลี่ยนแปลงก็เพราะว่า🔸เหตุผลในการเข้าสู่ความสัมพันธ์ไม่เอื้อหรือทำให้ความสัมพันธ์ไปได้ตลอดรอดฝั่ง)🔸
คนส่วนใหญ่เริ่มต้นความสัมพันธ์ด้วยการคิดว่า "จะได้อะไร" มากกว่า "จะให้อะไร" ในความสัมพันธ์นั้น
"จุดประสงค์ของความสัมพันธ์" คือ ✴️เพื่อตัดสินใจว่าส่วนไหนของตัวเธอที่ต้องการจะเผยแสดงออกมา – ไม่ใช่ส่วนใดของอีกคนที่เธอจะยึดฉวยและเกาะกุม✴️
"จุดมุ่งหมายเพียงหนึ่งเดียวของทุกความสัมพันธ์และทุกชีวิต" ก็คือ ✴️เพื่อจะเป็นและตัดสินใจว่าตัวตนที่แท้จริงของเธอคือใคร✴️
การพูดว่าตัวเธอว่างเปล่าไร้ค่าจวบจนคนพิเศษก้าวเข้ามานั้นฟังดูโรแมนติกมาก ทว่า`ไม่เป็นความจริงเลย` ที่แย่ไปกว่านั้นก็คือ มันทำให้อีกฝ่าย "กดดันอย่างเหลือเชื่อ" กับการ "ต้องเป็นสิ่งที่เขาหรือเธอไม่ได้เป็น"
เพราะ `ไม่อยากให้เธอผิดหวัง` เขาจึงพยายามอย่างหนักเพื่อจะ เป็น และ ทำ สิ่งต่างๆจนไม่อาจทำได้มากกว่านั้นอีก ไม่อาจเติมเต็มภาพที่เธอคาดหวังจากตัวเขาได้อีกต่อไป ไม่อาจเล่นบทที่เธอมอบหมายได้อีกแล้ว ความขุ่นเคืองจึงก่อตัว ...ตามติดมาด้วยความโกรธ
ในที่สุดเพื่อจะให้ตัวเอง (รวมทั้งความสัมพันธ์) อยู่รอด คนพิเศษของเธอจะเริ่มเรียกตัวตนที่แท้จริงกลับคืนมา `แล้วแสดงออกตามที่เขาเป็นจริงๆ` นั่นล่ะเป็นเวลาที่เธอบอกว่า "พวกเขาเปลี่ยนไปแล้วจริงๆ"
มันแสนจะโรแมนติกที่พูดว่า “ณ ตอนนี้คนพิเศษได้ก้าวเข้ามาในชีวิตและทำให้เธอรู้สึกครบถ้วนสมบูรณ์”
แต่ "จุดมุ่งหมายของความสัมพันธ์"
✴️ไม่ใช่เพื่อให้ใครอีกคนมาเติมเต็มให้เธอสมบูรณ์✴️
✴️แต่คือการมีใครอีกคนเพื่อแบ่งปันความสมบูรณ์ของตัวเธอเอง✴️
ทีนี้ข้อสรุปที่ดูจะขัดแย้งกันเองในเรื่องความสัมพันธ์ของมนุษย์ก็คือ 🔹เธอไม่จำเป็นต้องมีคนพิเศษมาทำให้เธอมีประสบการณ์เต็มเปี่ยมถึงตัวตนที่เธอเป็น🔹🔆ทว่าหากปราศจากอีกฝ่ายเธอก็ไร้ความหมาย🔆
นี่เป็นทั้งความลี้ลับและมหัศจรรย์ ทั้งความว้าวุ่นและเบิกบานในประสบการณ์ของมนุษย์
มันเรียกร้องความเข้าใจลึกซึ้งและความเต็มใจอย่างสิ้นเชิงที่จะมีชีวิตอยู่กับ`ความขัดแย้งนี้`ด้วยวิธีที่มีความหมาย
ซึ่งฉันสังเกตว่าน้อยคนที่ทำอย่างนั้น
พวกเธอส่วนใหญ่เข้าสู่ช่วงปีแห่งการก่อร่างสร้างความสัมพันธ์อย่างเปี่ยมล้น "ด้วยความคาดหวังท่วมท้นด้วยพลังทางเพศ" "ด้วยหัวใจเปิดกว้าง" และ "ด้วยความเบิกบาน (ถ้าไม่ใช่กระตือรือร้น) ของวิญญาณ"
แล้วในระหว่างอายุ 40 - 60 ปีนั่นเอง (สำหรับคนส่วนใหญ่อาจก่อนหน้านั้น) เธอก็เลิกล้มความฝันอันสง่างามของตน ทิ้งความหวังอันสูงสุดไป เหลือไว้เพียงการคาดหวังขั้นต่ำสุดหรือไม่ก็ไม่เหลือความหวังอะไรเลย
ปัญหานั้นเป็นเรื่องง่ายๆพื้นๆ
แต่ก็ถูกเข้าใจผิดอย่างน่าเศร้า นั่นคือ :
พวกเธอไปคิดว่า...
`ความฝันบรรเจิดสุด
`มโนคติสูงสุด และ
`ความหวังที่ถนอมรักษาที่สุดของเธอ
✴️เกี่ยวข้องกับ "คนที่เธอรัก"
แทนที่จะเกี่ยวกับ "ตัวเธอเอง"✴️
บททดสอบความสัมพันธ์ของเธอจึงเป็นว่า "อีกฝ่ายทำตามความคิดของเธอได้ดีแค่ไหน" และ "เธอเห็นว่าตนทำตามความคิดของอีกฝ่ายได้ดีเพียงใด"
แต่บททดสอบที่แท้จริงเพียงหนึ่งเดียวคือ : ✴️เธอทำตามความคิดของตัวเธอเองได้ดีเพียงไรต่างหาก✴️
★ความสัมพันธ์เป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์★ ด้วยว่ามันเอื้อโอกาสยิ่งใหญ่แก่ชีวิต "เป็นโอกาสเดียว" 🔆ที่จะสร้างสรรค์และผลิตประสบการณ์ "ตามแนวคิดสูงสุดของตัวเธอ"🔆
★ความสัมพันธ์จะล้มเหลว★ ก็เมื่อเธอเห็นว่า 🔆มันคือโอกาสในการสร้างสรรค์และผลิตประสบการณ์ "ตามแนวคิดสูงสุดของอีกฝ่าย"🔆
ในความสัมพันธ์นั้น🔸จงปล่อยให้แต่ละฝ่ายสนใจแต่เรื่องของตัวเอง🔸
1
✴️อะไรที่ตัวเองกำลังเป็น กำลังทำ และกำลังมี สิ่งใดที่ตัวเองต้องการ ร้องขอ และมอบให้ อะไรที่ตัวเองเสาะหา สร้างสรรค์ และมีประสบการณ์ แล้วทุกความสัมพันธ์จะรับใช้จุดมุ่งหมายของมัน รวมทั้งผู้ที่อยู่ในความสัมพันธ์อย่างน่าอัศจรรย์✴️
ให้แต่ละคนที่อยู่ในความสัมพันธ์ "ไม่ต้องกังวลกับอีกฝ่าย" "ให้สนใจแต่เฉพาะตัวเองเท่านั้น!"
2
นี่ดูเป็นคำสอนที่แปลกประหลาด เพราะที่เธอเคยได้ยินมาก็คือ "ความสัมพันธ์สูงสุดคือการคิดถึงเฉพาะผู้อื่น คิดถึงแต่อีกฝ่ายเท่านั้น"
แต่ฉันจะบอกเธอว่า...
✴️การที่เธอเฝ้าใส่ใจและหมกมุ่นในอีกฝ่ายนั่นเองที่ทำให้ความสัมพันธ์ล้มเหลว✴️
1
อีกฝ่ายเป็นอะไร? อีกฝ่ายทำอะไร?
อีกฝ่ายมีอะไร? อีกฝ่ายพูดอะไร?
ต้องการอะไร? เรียกร้องอะไร?
คิดอะไร? คาดหวังอะไร? วางแผนอะไร?
คุรุเข้าใจดีว่า...
 
"ไม่สำคัญว่าอีกฝ่าย" จะเป็น จะทำ จะมี จะพูด จะต้องการ หรือ จะเรียกร้องอะไร
 
"ไม่สำคัญว่าอีกคน" จะคิด จะคาดหวัง หรือ จะวางแผนอะไร
แต่สิ่งสำคัญคือ :
✴️ตัวเธอเป็นอย่างไรในความสัมพันธ์ต่อสิ่งนั้นต่างหาก✴️
1
🔆ผู้ที่รักได้มากที่สุดคือผู้ที่เอาตัวเองเป็นศูนย์กลาง🔆
1
N : นี่มันคำสอนกลับขั้วชัดๆ...
G : ไม่หรอกถ้าพิจารณาดูดีๆ
✴️ถ้าเธอรักตัวเองไม่ได้เธอก็ไม่อาจรักคนอื่นได้✴️
1
🔹คนมากมายทำผิดพลาดด้วยการพยายามรักตัวเองผ่านการไปรักผู้อื่น🔹
แน่นอนพวกเขาไม่รู้ตัวหรอกว่าทำพลาด เพราะไม่ใช่สิ่งที่ทำโดยรู้ตัว แต่เกิดขึ้นในจิตใจลึกลงไปในส่วนที่เธอเรียกว่า “จิตใต้สำนึก” นั่นล่ะ
พวกเขาคิดว่า... “เพียงแค่ฉันรักคนอื่น พวกเขาก็จะรักฉัน แล้วฉันก็จะน่ารัก และฉันก็จะรักตัวเองได้”
ที่กลับกันก็คือ `มีคนมากมายเกลียดตัวเอง` เพราะ `รู้สึกว่าไม่มีใครรัก`
นี่คือความป่วยไข้
นี่คืออาการ "ป่วยด้วยโรครัก" จริงๆเลย
เพราะความจริงคือ มีคนที่รักพวกเขา แต่นั่นกลับไม่มีความหมาย ไม่ว่าจะมีคนมากแค่ไหนปฏิญาณรักให้ก็ยังไม่พออยู่ดี
🌸 ประการแรก พวกเขาจะ "ไม่เชื่อเธอ❗" เพราะคิดว่าเธอพยายามจะครอบงำ หรือต้องการอะไรบางอย่างจากเขา (เธอรักพวกเขาตามที่เป็นจริงๆได้อย่างไร? เป็นไปไม่ได้หรอก ต้องมีอะไรผิดพลาดซักอย่าง เธอต้องอยากได้อะไรบางอย่างแน่ๆ บอกมาสิว่าเธอต้องการอะไร?)
1
พวกเขาเฝ้าแต่จะหาคำตอบให้ได้ว่า จะมีใครรักเขาจริงๆได้อย่างไร ฉะนั้นจึงไม่เชื่อและเริ่มสรรหาวิธีให้เธอ`พิสูจน์` เธอต้องพิสูจน์ว่าเธอรักเขา และเพื่อจะทำอย่างนั้น เขาก็อาจขอให้ "เธอเริ่มเปลี่ยนพฤติกรรมตัวเอง"
🌸 ประการที่สอง ถ้าในที่สุดพวกเขา "เชื่อว่าเธอรักเขาจริง" เขาก็จะเริ่มกังวลขึ้นมาทันทีว่า “จะรักษาความรักของเธอไว้ได้นานแค่ไหน” ดังนั้นเพื่อจะคงความรักของเธอไว้ "เขาก็จะเริ่มเปลี่ยนพฤติกรรมตัวเอง"
2
ทั้งสองฝ่ายจึง ★สูญเสียตัวเองในความสัมพันธ์★ พวกเขาเข้าสู่ความสัมพันธ์ด้วยหวังที่จะ "ค้นพบตัวเอง" แต่กลับ "ต้องสูญเสีย" ไปแทน
✴️การ "สูญเสียตัวตน" ในความสัมพันธ์ เป็นสาเหตุของความขมขื่นส่วนใหญ่ในชีวิตคู่✴️
1
คนสองคนมาร่วมกันสานสัมพันธ์ด้วยหวังว่า เมื่อรวมเข้าเป็นหนึ่งจะเป็นอะไรได้มากกว่ายามที่ต่างฝ่ายต่างอยู่โดยลำพังเพียงเพื่อจะพบว่ามันกลับพร่องลงกว่าเดิม
"รู้สึกพร่องยิ่งกว่าตอนอยู่คนเดียวเสียอีก" ทำอะไรได้น้อยลง ความสามารถน้อยลง ตื่นเต้นน้อยลง ดึงดูดใจน้อยลง เบิกบานน้อยลง พอใจน้อยลง
ที่เป็นอย่างนี้เพราะพวกเขาพร่องลงกว่าเดิมจริงๆ ทั้งสองต่าง`ละทิ้งตัวตนของตัวเองไปเกือบหมด`เพื่อจะรักษาความสัมพันธ์ไว้
ความสัมพันธ์ไม่ได้มีไว้เพื่อให้เป็นแบบนี้เลย ทว่าคนมากมายเกินกว่าเธอจะรู้กลับมีประสบการณ์ในลักษณะนี้
N : ทำไมล่ะครับ ทำไม?
G : เพราะผู้คน "สูญเสียการเชื่อมโยง" (ถ้าหากพวกเขาเคยสัมผัสถึงนะ) กับ ★จุดมุ่งหมายของความสัมพันธ์★ น่ะสิ
✴️เมื่อเธอมองไม่เห็นว่าพวกเธอแต่ละคน "ต่างเป็นจิตวิญญาณศักดิ์สิทธิ์" ที่ร่วมอยู่ใน "การเดินทางอันศักดิ์สิทธิ์" แล้วละก็ เธอก็ไม่อาจมองเห็นจุดมุ่งหมาย และเหตุผลเบื้องหลังความสัมพันธ์ได้✴️
✴️✴️✴️วิญญาณเข้าสู่ร่างกาย และร่างกายมาสู่ชีวิต เพื่อจุดประสงค์แห่งการวิวัฒน์✴️✴️✴️
เธอกำลัง ★วิวัฒน์ตัวเองอยู่★
เธอกำลัง ★คลี่คลายไปเป็นบางสิ่ง★
และเธอก็จะ "ใช้ความสัมพันธ์ที่เธอมีต่อทุกๆสิ่ง" เพื่อตัดสินใจว่า ★เธอจะกลายเป็นอะไร★
🔆เธอมาที่นี่เพื่อทำภารกิจนี้🔆
นี่คือ ★ความเบิกบาน★
"ในการสร้างสรรค์ตัวตน"
"ในการรู้จักตัวตน"
"ในการกลายเป็นสิ่งที่เธอปรารถนาจะเป็น" 🔹อย่างตื่นรู้🔹
นี่คือความหมายของ ★การใส่ใจตัวเอง★
เธอพาตัวเองมาสู่โลกสัมพัทธ์
"เพื่อจะมีเครื่องมือในการรู้" และ
"มีประสบการณ์ถึงตัวตนที่แท้จริงของเธอ"
★ตัวตนของเธอ★ ก็คือ ✴️สิ่งที่เธอสร้างให้เป็นจากความสัมพันธ์ที่เธอมีต่อทุกสิ่งนั่นเอง✴️
"ความสัมพันธ์ส่วนตัว" 🔆เป็นองค์ประกอบสำคัญที่สุดในกระบวนการนี้🔆 ดังนั้นจึงถือเป็นพื้นที่ศักดิ์สิทธิ์
"มันแทบไม่ต้องขึ้นกับอีกฝ่ายเลย" แต่เพราะธรรมชาติของความสัมพันธ์ต้องเกี่ยวข้องกับอีกฝ่าย "มันจึงต้องขึ้นต่ออีกฝ่ายด้วย"
นี่คือ...
★เอกภาพแห่งความขัดแย้งของพระเจ้า★
มันคือวงจรปิด ฉะนั้นจึงไม่ใช่คำสอนกลับขั้วหรอกหากจะบอกว่า “พรจงมีแด่ผู้ที่ยึดตัวเองเป็นศูนย์กลาง เพราะพวกเขาจะรู้จักพระเจ้า”
1
อาจไม่ใช่จุดหมายเลวร้ายในชีวิตนักก็ได้ที่เธอจะรู้จักส่วนที่สูงส่งที่สุดของตัวเอง...แล้ว`คงมั่น`อยู่ตรงนั้น
🌟 ดังนั้นความสัมพันธ์ "แรก" ของเธอจึงต้องเป็น 🔸ความสัมพันธ์กับตัวเอง🔸
1
🌟 เธอต้องเรียนรู้ที่จะ "ให้ค่า" "ใส่ใจ" และ
🔸รักตัวเองก่อนเป็นอันดับแรก🔸
2
🌟 เธอต้องเห็นว่า 🔸ตัวเธอมีค่าก่อนจึงจะเห็นค่าของผู้อื่นได้🔸
🌟 เธอต้องเห็นตัวเองว่า 🔸เป็นพรอันน่ายินดีก่อนจึงจะเห็นผู้อื่นเป็นอย่างนั้น🔸
1
🌟 เธอต้องรู้ว่า 🔸ตัวเธอนั้นศักดิ์สิทธิ์ก่อนจึงจะเห็นความศักดิ์สิทธิ์ในตัวผู้อื่น🔸
ถ้าเธอทำสลับกัน (เหมือนที่ศาสนาส่วนใหญ่บอกให้ทำ) ด้วยการ "เห็นความประเสริฐในผู้อื่นก่อนตัวเอง"
วันหนึ่งเธอจะเกิดความขุ่นเคือง เพราะถ้าจะมีอะไรซักอย่างที่ทำให้พวกเธอ`ทนไม่ได้` นั่นก็คือ “มีใครบางคนศักดิ์สิทธิ์สูงส่งกว่าเธอนั่นเอง”
2
แต่ศาสนาทั้งหลายกลับ`บังคับให้เธอ` “เห็นผู้อื่นว่าศักดิ์สิทธิ์กว่าตัวเธอเอง” เธอจะทำตามอยู่ชั่วเวลาหนึ่ง จากนั้นก็จะตรึงกางเขนเขา
เธอได้ตรึงกางเขน (ไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง) ปัญญาจารย์ทั้งหมดของเธอไม่ใช่แค่คนเดียว และที่ทำอย่างนั้นก็ไม่ใช่เพราะพวกเขาศักดิ์สิทธิ์กว่าเธอ แต่เพราะเธอ "ไปมองว่าพวกเขาเป็นอย่างนั้น"
คุรุของฉันมาสู่โลก ★ด้วยสาส์นเดียวกัน★
⚛️ไม่ใช่เราศักดิ์สิทธิ์กว่าท่าน
แต่คือท่านศักดิ์สิทธิ์ดุจเดียวกับเรา⚛️
1
นี่คือสาส์นที่ "เธอไม่อาจได้ยิน"
คือความจริงที่ "เธอไม่สามารถน้อมรับ"
นี่เป็น`สาเหตุ`ว่าทำไมเธอถึง "ไม่อาจรักใครได้อย่างแท้จริงและบริสุทธิ์" ก็เพราะเธอ 🔹ไม่เคยรักตัวเองได้อย่างบริสุทธิ์และแท้จริงนั่นเอง🔹
1
ดังนั้น ฉันขอบอกเธอว่า... 🔸จงยึดตัวเองเป็นศูนย์กลางเสียแต่บัดนี้และตลอดไป🔸
1
คอยดูว่า `ตัวเธอ` กำลังเป็น กำลังทำ และ กำลังมีอะไรบ้างในทุกวินาทีที่ผ่านเข้ามา
 
ไม่ใช่คอยสนใจแต่สิ่งที่เกิดขึ้นกับ `อีกฝ่ายหนึ่ง`
1
🔸ไม่ใช่ในการกระทำของอีกฝ่าย🔸 แต่เป็นในการตอบสนองของตัวเธอเองต่างหากที่เธอจะพบทางรอด
1
...
...
...

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา