9 พ.ค. 2021 เวลา 23:55 • หนังสือ
วิญญาณมนุษย์ที่ยังเหลืออยู่
Blockdit Originals ซีรีส์บทความพิเศษ
รถยนต์แล่นตะบึงไปทางทิศตะวันตก เขากับภรรยากำลังหนีทหารโซเวียตหากหนีไม่ทันและถูกจับได้ หมายถึงมีโอกาสถูกฆ่าตายสูง เพราะคนอย่างเขาเป็นศัตรูหมายเลขหนึ่งของโซเวียต
เขาเป็นสมาชิกพรรคนาซี และยังเป็นสายลับให้ 'อับแวร์' (Abwehr) หน่วยสืบราชการลับของนาซี
พวกรัสเซียเกลียดนาซีเข้ากระดูกดำ
สงครามโลกฝั่งยุโรปเพิ่งยุติ ฮิตเลอร์ฆ่าตัวตาย ถึงเวลาคิดบัญชีพวกนาซีให้สาสม
เขารู้ว่าหากหนีไปทางที่ตั้งของกองทัพสหรัฐฯ จะมีโอกาสรอดสูงกว่า แต่ระยะทางยังอีกยาวไกล
เมื่อสุดทางรถยนต์ ทั้งสองก็ขึ้นรถไฟ และเมื่อสุดทางรถไฟ ทั้งสองก็เดินเท้าต่อไป มุ่งหน้าไปจนถึงเขตอเมริกัน แล้วเดินทางต่อไปถึงเมืองพัสเซา ในเขตบาวาเรีย เยอรมนี
ที่นั่นเขาพบกับศัตรูอีกกลุ่มหนึ่งของนาซีรอเขาอยู่ - พวกยิว!
แต่พวกยิวที่รอเขาอยู่กล่าวว่า "เราเตรียมทางหนีให้คุณแล้ว นี่เป็นตั๋วรถไฟ คุณสองคนโดยสารรถไฟไปสวิตเซอร์แลนด์"
2
ครั้งนี้ศัตรูช่วยพาเขากับภรรยาหนี
เขาเป็นใคร? ทำไมศัตรูจึงช่วย?
วูบหนึ่งเขาเหลือบดูแหวนทองบนนิ้วของเขา บนแหวนสลักอักษรว่า ผู้ใดก็ตามที่ช่วยหนึ่งชีวิต ช่วยทั้งโลก
1
เขาชื่อ ออสการ์ ชินด์เลอร์ (Oskar Schindler)
เขาไม่ได้ช่วยโลกทั้งใบ เขาเพียงทำหน้าที่ซึ่งวิญญาณมนุษย์ที่เหลืออยู่ของเขาบอก
ออสการ์ ชินด์เลอร์ เป็นชาวเยอรมัน ใช้ชีวิตโลดโผน ผิดขนบ ผิดจารีตมาตั้งแต่เล็กจนโต
เขาชอบชีวิตผจญภัย ชอบแข่งมอเตอร์ไซค์ ใช้ชีวิตแบบสุรุ่ยสุร่าย ชอบชีวิตหรูหรา ดื่มหนัก มักเป็นหนี้สิน เป็นนักฉวยโอกาส และนอกใจภรรยาหลายครั้ง
เขาอาจติดเลือดพ่อส่วนนี้มาก็ได้ พ่อของเขาเป็นขี้เมา และทิ้งแม่ของเขาไป
ออสการ์เกิดในปี 1908 ที่เมืองสวิทาวีในโมราเวีย เขตซูเดเทนลันท์ ขณะนั้นเป็นส่วนหนึ่งของอาณาจักรออสเตรีย-ฮังการี ประชากรส่วนใหญ่ของซูเดเทนลันท์เป็นชาวเยอรมันหรือคนที่พูดภาษาเยอรมัน
สิบปีต่อมา หลังจากโมราเวียกลายเป็นส่วนหนึ่งของเชกโกสโลวาเกีย เขาก็ถือสัญชาติเชกโกสโลวาเกีย
1
เขาเป็นคนกะล่อนตั้งแต่เด็ก ตอนอายุสิบหกเขาถูกไล่ออกจากโรงเรียนเทคนิค เนื่องจากปลอมแปลงสมุดพก
1
อย่างไรก็ตาม เขาก็เรียนจบการศึกษาชั้นมัธยมจนได้ แต่ไม่ได้เรียนต่อมหาวิทยาลัย เขาทำงานกับพ่อนานสามปี ในธุรกิจเกี่ยวกับอุปกรณ์และเครื่องมือทำฟาร์ม
เมื่ออายุยี่สิบ เขาแต่งงานกับ อีมิเลีย เพลเซิล (Emilie Pelzl) อายุมากกว่าเขาหนึ่งปี อีมิเลียเป็นลูกสาวของชาวนาผู้มีฐานะดี ทั้งสองอาศัยอยู่กับพ่อของออสการ์นานเจ็ดปี
หลังแต่งงาน เขาเลิกทำงานกับพ่อ หันไปทำงานของตนเองด้านอิเล็กทรอนิค โรงเรียนสอนขับรถ นอกจากนี้ยังเป็นเซลส์แมนขายอสังหาริมทรัพย์ของรัฐบาล
1
เขาเข้าสู่ชีวิตทหารช่วงหนึ่ง ติดยศสิบตรี หลังจากใช้ชีวิตกองทัพไม่นาน เขากลับไปทำงานธุรกิจอิเล็กทรอนิคต่อ แต่ล้มละลาย เขาไปทำงานธนาคารอยู่หลายปีจนอายุสามสิบ
2
แม้ชินด์เลอร์เป็นพลเมืองของเชกโกสโลวาเกีย แต่เขารู้สึกว่าตัวเองเป็นคนเยอรมันเสมอ เมื่ออายุยี่สิบแปด เขาได้รับการชักชวนให้เป็นสายลับให้อับแวร์ หน่วยสืบราชการลับของนาซี
1
งานของเขาสำหรับหน่วยอับแวร์คือรวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับด้านการทหาร การเคลื่อนกำลังพล ทางรถไฟ และสร้างสายลับใหม่ ๆ ในเชกโกสโลวาเกีย เพื่อใช้ข้อมูลก่อนที่นาซีจะบุกยึดครอง
เขาเคยบอกคนใกล้ตัวว่าเขาทำเพื่อเงิน
ภรรยาของเขาก็รู้เรื่องสามีทำงานเป็นสายลับ เธอช่วยเขาจัดเอกสารต่าง ๆ ไปจนถึงการเก็บซ่อนเอกสารลับเหล่านั้น
1
เมื่อกำลังพร้อม ฮิตเลอร์ก็บุกยึดครองเชกโกสโลวาเกียเริ่มด้วยการผนวกดินแดนซูเดเทนลันท์ในปี 1938
ฮิตเลอร์อ้างว่าชาวเยอรมันในแผ่นดินนี้ทนทุกข์ทรมาน ถูกกดขี่ จึงมาปลดปล่อย ตามด้วยการยึดครองพื้นที่เพิ่ม ก่อตั้งรัฐในอารักขาที่เขตโบฮีเมียกับโมราเวีย รัฐบาลเชกโกสโลวาเกียทำอะไรไม่ได้ เพราะอ่อนแอเกินต้านกำลังฮิตเลอร์
1
จนถึงปี 1944 เชกโกสโลวาเกียทั้งหมดก็ตกเป็นของนาซี
1
ในเดือนกรกฎาคม 1938 ชินด์เลอร์ถูกทางการเชกโกสโลวาเกียจับข้อหาเป็นสายลับ ถูกตัดสินประหารชีวิต แต่ชะตายังไม่ถึงฆาต สองเดือนต่อมาฮิตเลอร์กดดันให้หลายประเทศในยุโรปยอมลงนามในข้อตกลงมิวนิค (Munich Agreement) ส่งผลให้ชินด์เลอร์ได้รับการปล่อยตัว
ข้อตกลงมิวนิคเป็นความตกลงของหลายชาติในยุโรปได้แก่เยอรมนี อังกฤษ ฝรั่งเศส อิตาลี หลายประเทศในยุโรปยอมหลับตาข้างหนึ่ง ให้ฮิตเลอร์ยึดครองซูเดเทนลันท์ เพื่อหลีกเลี่ยงสงครามโลกอีกครั้ง
1
แต่พวกเขาคิดผิดพลาดใหญ่หลวง เพราะฮิตเลอร์ต้องการมากกว่านั้น
1
หลังจากฮิตเลอร์ผนวกซูเดเทนลันท์ ชินด์เลอร์สมัครเป็นสมาชิกพรรคนาซี ช่วงนั้นเขาเดินทางไปโปแลนด์บ่อย ๆ เขาและสายลับคนอื่น ๆ ช่วยเก็บข้อมูลด้านการทหารของโปแลนด์ เพราะนาซีจะบุกโปแลนด์
1
ฮิตเลอร์บุกโปแลนด์เมื่อวันที่ 1 กันยายน 1939
1
สงครามโลกครั้งที่สองอุบัติขึ้นในวันนั้น
1
ด้วยเกือกบูตของกองทัพนาซีที่ย่ำไปทั่วโปแลนด์ ชินด์เลอร์ฉวยโอกาสนี้ไปหาเงิน เขาเดินทางไปที่เมืองกรากุฟ ทำธุรกิจในตลาดมืด ด้วยเส้นสายนาซีและสินบน เขาซื้อโรงงานเครื่องเคลือบแห่งหนึ่งที่กำลังล้มละลาย ยัดเงินเจ้าหน้าที่เพื่อให้ได้รับการว่าจ้างผลิตเครื่องครัวสำหรับกองทัพ
2
ในเดือนพฤศจิกายน ค.ศ. 1939 เพื่อนคนหนึ่งในหน่วยราชการลับแนะนำเขาให้รู้จักนักบัญชีชาวยิวโปแลนด์ชื่อ อิตซัก สเติร์น
1
สเติร์นให้คำแนะนำทางธุรกิจ หลังจากซื้อโรงงาน เขาเปลี่ยนชื่อโรงงานเป็น Deutsche Emailwarenfabrik (โรงงานเครื่องเคลือบเยอรมนี) เรียกกันว่า Emalia มีคนงานยิวเจ็ดคน ชาวโปแลนด์ 250 คน
เขามีโรงงานสองแห่งที่กรากุฟ มีแต่โรงงาน Emalia ที่ใช้คนงานชาวยิว
1
ในช่วงแรกชินด์เลอร์ใช้พวกยิวทำงานเพราะต้นทุนถูกกว่า แต่ต่อมาธุรกิจกลายเป็นมนุษยธรรม
3
กลางปี 1940 นาซีออกคำสั่งให้พวกยิวในเมืองกรากุฟออกจากเมืองภายในสองอาทิตย์ ยกเว้นพวกยิวที่ทำงานให้กองทัพเยอรมัน
ยิวราวหนึ่งหมื่นห้าพันคนได้อยู่ต่อ แต่ถูกบังคับให้ย้ายไปอยู่ในย่านเสื่อมโทรม ทุกวันคนงานยิวของชินด์เลอร์ (เรียกว่า Schindlerjuden) เดินเท้าจากย่านเสื่อมโทรมไปทำงานที่โรงงาน
บางครั้งพวกเกสตาโปมาจับคนงงานยิวซึ่งไม่มีเอกสารถูกต้อง แต่ก็ถูกชินด์เลอร์กล่อมด้วยเหล้าและข้าวของหายากจากตลาดมืด
2
เมื่อคนงานยิวของเขาถูกทางการขับออกนอกประเทศ เขาก็ไปติดต่อเจ้าหน้าที่พร้อม 'ของฝาก' บอกว่าลูกเมียของคนงานเหล่านี้ช่วยในการผลิตสินค้า
1
ปี 1941 ชินด์เลอร์ถูกจับด้วยข้อหาเกี่ยวกับตลาดมืด แต่ด้วยเส้นสายนาซีของเขา ก็หลุดออกมา
ปีถัดมาเขาก็ถูกจับอีก เพราะไปจูบเด็กสาวชาวยิวคนหนึ่งในงานฉลองวันเกิดของเขาที่โรงงาน คราวนี้อยู่ในห้องขังถึงห้าวัน แต่ด้วยเส้นสาย เขาก็หลุดออกมาอีก
2
ครั้นถึงปลายปี 1941 พวกนาซีเริ่มส่งยิวออกจากย่านเสื่อมโทรมไปที่ค่ายกักกัน ยิวที่ไม่แข็งแรงพอทำงานจะถูกฆ่าหมด การเข่นฆ่าชาวยิวดำเนินไปอย่างต่อเนื่องอย่างเป็นระบบ
วันหนึ่งในปี 1942 เขาเห็นทหารนาซีต้อนชาวยิวขึ้นรถไฟ อัดแน่นเต็มตู้ เขารู้ว่าชาวยิวเหล่านี้ถูกส่งไปฆ่า
2
เขาตื่นขึ้นในนาทีนั้น
1
ณ จุดนั้นเอง เขามองเห็นด้านมืดของนาซี
1
เขาสัญญากับตัวเองว่า ภาพแบบนี้ต้องไม่เกิดขึ้นอีก
1
เขากล่าวว่า "ตอนนี้ผมตัดสินใจแล้วว่าจะทำทุกอย่างในอำนาจของผมเพื่อเอาชนะระบบ"
1
เขาตัดสินใจช่วยชีวิตพวกยิวให้มากที่สุด
1
ในเดือนมีนาคม 1943 นาซีสร้างค่ายกักกันใหม่ชื่อ กรากุฟ-ปวาชุฟ เป็นค่ายกักกัันทางตอนใต้ของเมืองกรากุฟ โปแลนด์ อยู่ห่างจากโรงงานของชินด์เลอร์เพียงสองกิโลเมตรครึ่ง ผู้บัญชาการค่ายนี้ชื่อ อามอน เกิร์ธ เป็นนายทหารเอสเอส เชื้อสายออสเตรีย ชอบทรมานและฆ่านักโทษ ยิงทิ้งเล่นตามใจชอบ
2
อีมีเลียบอกว่า เกิร์ธเป็นมนุษย์ที่น่าเกลียดชังที่สุดที่เคยเจอมา
ชินด์เลอร์ 'โน้มน้าวใจ' เจ้าหน้าที่ชั้นสูงให้ยอมให้โรงงานของเขาเป็นค่ายกักกันย่อยแห่งหนึ่ง เพื่อช่วยชีวิตคนงานที่จะถูกส่งไปฆ่า เขาขอเพิ่มคนงานใน Emalia อีก 450 คน จากที่เดิมมีอยู่หนึ่งพันคน พวกนี้มาจากโรงงานในละแวกใกล้เคียง มิฉะนั้นคนเหล่านี้จะถูกฆ่า
แน่ละ เจ้าหน้าที่ทหารและตำรวจเยอรมันก็พอรู้ว่าชินด์เลอร์ช่วยเหลือพวกยิว และจับเขาสามครั้ง แต่ก็ไม่สามารถแตะเขาได้ เพราะเส้นของเขาใหญ่กว่า
1
ระหว่างการทำลายล้างถิ่นที่อยู่ของพวกยิวในเดือนมีนาคม ปี 1943 ชินด์เลอร์อนุญาตให้พวกยิวอาศัยในโรงงาน
ในเดือนกันยายน ปี 1944 อามอน เกิร์ธ ถูกจับกุมข้อหาคอร์รัปชัน และพัวพันชินด์เลอร์ไปด้วย เพราะชินด์เลอร์เป็นหนึ่งในคนที่ให้สินบนแก่เกิร์ธ
3
ผลที่ตามมาคือในเดือนตุลาคม 1944 ชินด์เลอร์ถูกจับอีกครั้ง ข้อหาพัวพันตลาดมืดและติดสินบนเกิร์ธกับทหารคนอื่น ๆ เพื่อช่วยพวกคนงานยิว หลังถูกขังหนึ่งอาทิตย์ ก็ออกมาได้
3
ข่าว 'นาซีผู้ช่วยยิว' เดินทางไปถึงพวกยิวในอเมริกาและกลุ่มอื่น ๆ วันหนึ่งในปี 1943 พวกยิวกลุ่มต่อต้านนาซีในกรุงบูดาเปสท์ติดต่อชินด์เลอร์
กลุ่มยิวบอกชินด์เลอร์ว่า "ข้อมูลของคุณเกี่ยวกับการทารุณกรรมและอาชญากรรมของนาซีต่อชาวยิวมีประโยชน์มาก"
"ผมต้องใช้เงินจำนวนมากเพื่อติดสินบนเจ้าหน้าที่"
"เราจะให้ทุนแก่คุณเพื่อใช้ในการช่วยเหลือพวกยิวและกลุ่มยิวใต้ดิน เราต้องการให้คุณนำเงินนี้ไปให้พวกยิวใต้ดินที่นั่น"
เขาบอกกลุ่มยิวว่า "มีอีกเรื่องหนึ่งคือ อามอน เกิร์ธ ต้องการให้ย้ายโรงงานทั้งหมดเข้าไปในเขตค่ายกักกัน รวมทั้งโรงงานของผม"
"แล้วคุณจะทำยังไง?"
1
"ก็ด้วยวิธีเดิม ยัดเงิน!"
ชินด์เลอร์ติดสินบนและการใช้เส้นสายทุกวิถีทางเพื่อให้โรงงานของเขาไม่ต้องย้าย
3
ที่โรงงานของเขา พวกยิวจะปลอดภัยจากการถูกยิงทิ้ง มีอาหาร และยังสามารถประกอบพิธีทางศาสนา
ในช่วงปี 1944 ชินด์เลอร์มีคนงานถึงราว 1,750 คน กว่าหนึ่งพันคนเป็นยิว
2
สงครามฝั่งยุโรปเริ่มเห็นพวกนาซีพ่ายแพ้ กองทัพแดงของโซเวียตรุกคืบเข้ามา ทหารนาซีเริ่มปิดค่ายกักกันฝั่งตะวันออกทีละแห่งสองแห่ง แล้วย้ายนักโทษไปที่ค่ายกักกันเอาส์ชวิทซ์และโกรส-โรเซน ทั้งสองค่ายตั้งอยู่ที่โปแลนด์
ค่ายกักกันเอาส์ชวิทซ์ไม่ใช่ค่ายเดี่ยว มันประกอบด้วยค่ายย่อยอีกราวสี่สิบค่าย มีโรงรมแก๊สฆ่าคนหลายโรง
ค่ายกักกันโกรส-โรเซนก็เช่นกัน ประกอบด้วยค่ายย่อยนับร้อยแห่ง ค่ายหลักตั้งอยู่ที่หมู่บ้านเยอรมันชื่อ โกรส-โรเซน
พวกนาซีต้องการปิดโรงงานทั้งหมดที่ไม่เกี่ยวกับการสงคราม รวมทั้งโรงงานผลิตเครื่องครัวของชินด์เลอร์
การย้ายคนงานชาวยิวไปที่ค่ายแปลว่าพวกนี้จะถูกฆ่าทิ้ง
เลขานุการของเกิร์ธบอกชินด์เลอร์ว่า "ถ้าคุณไม่ต้องการให้โรงงานถูกปิด ก็ต้องเปลี่ยนการผลิตสินค้า"
"ยังไง?"
1
"เปลี่ยนจากการผลิตเครื่องครัวเป็นลูกกระสุนและระเบิดมือต่อสู้รถถังแทน"
2
เพื่อรักษาชีวิตชาวยิว ชินด์เลอร์ใช้เส้นสายและเงินสินบนจำนวนมากโน้มน้าวใจเจ้าหน้าที่ชั้นสูงในเบอร์ลินให้อนุญาตให้เขาตั้งโรงงานทำอาวุธที่หมู่บ้านเบร็นเยเนทซ์ในโมราเวีย โดยให้ถือโรงงานนี้เป็นค่ายกักกันย่อยอีกแห่งหนึ่งของโกรส-โรเซน
ด้วยวิธีนี้ เขาก็สามารถเพิ่มจำนวนคนงานยิวอีกแปดร้อยคน
ที่โรงงานใหม่ ชินด์เลอร์สร้างอาวุธ แต่เจตนาถ่วงเวลาการสร้างอาวุธ อีกทั้งคุณภาพไม่ได้มาตรฐาน เมื่อเจ้าหน้าที่มาตรวจสอบอาวุธที่ผลิตและตั้งคำถามว่าเหตุใดการผลิตจึงชักช้ามาก ชินด์เลอร์ก็แก้ปัญหาโดยซื้ออาวุธจากตลาดมืด และบอกว่าเป็นอาวุธที่โรงงานเขาผลิตขึ้นเอง
ในเดือนตุลาคม ปี 1944 ชินด์เลอร์ร่วมกับพวกทำรายชื่อยิวราว 1,200 คน เพื่อขอเป็นคนงาน
รายชื่อนี้ต่อมาเรียกว่า Schindler's List
ยิวเจ็ดร้อยคนในรายชื่อเกือบไปไม่ได้ไปถึงจุดหมาย เพราะรถไฟพาพวกเขาไปที่ค่ายกักกันโกรส-โรเซน หวุดหวิดถูกฆ่าหมู่ แต่ในที่สุด ด้วยการวิ่งเต้นของชินด์เลอร์ พวกนี้ก็ถูกส่งไปที่โรงงาน
นอกจากนี้คนงานหญิงชาวยิวสามพันคนก็ถูกส่งไปที่ค่ายเอาส์ชวิทซ์เตรียมถูกส่งเข้าห้องรมแก๊ส ชินด์เลอร์พยายามหาทางช่วยคนเหล่านี้อย่างยากเย็น ในที่สุดด้วยเงินสินบน ข้าวของในตลาดมืด อาหาร รวมทั้งเพชร เขาก็ช่วยสามพันคนนี้ออกมาได้จากความตายสำเร็จ หลังจากถูกกักตัวหลายสัปดาห์
3
เขาจัดการใช้เส้นสายส่งคนงานยิวสตรีสามพันคนนี้ไปที่โรงงานสิ่งทอหลายแห่งในซูเดเทนลันท์
ขณะที่ชินด์เลอร์พยายามช่วยชีวิตพวกยิว อีมิเลียภรรยาของเขาก็มีบทบาทในการช่วยเหลือดูแลพวกยิวมากเช่นกัน
1
ภารกิจช่วยชีวิตชาวยิวในสเกลขนาดนี้หมายถึงเงินจำนวนมหาศาล เขาใช้เงินราวสี่ล้านมาร์กเยอรมัน จ่ายเงินสินบนให้เจ้าหน้าที่เรื่อย ๆ ไม่หยุด ผลก็คือชินด์เลอร์ใช้เงินหมดเกลี้ยงในการให้สินบนเจ้าหน้าที่ จัดซื้อข้าวของจากตลาดมืดให้คนงาน ฯลฯ
4
เขาไม่รู้ว่าจะมีกำลังกายและกำลังเงินช่วยพวกยิวอีกนานเท่าไร
แล้วสงครามฝั่งยุโรปก็จบลง
วันที่ 7 พฤษภาคม 1945 ชินด์เลอร์และคนงานชาวยิวรวมกันฟังเสียงทางวิทยุ วินสตัน เชอร์ชิล นายกรัฐมนตรีอังกฤษประกาศว่า เยอรมนียอมแพ้แล้ว
1
ถึงเวลาคิดบัญชีพวกนาซี!
เขารู้ว่าถึงคราวต้องหนีแล้ว เขารู้ว่าถ้าถูกโซเวียตจับ อาจถูกฆ่า เพราะเขาเป็นสมาชิกพรรคนาซีและทำงานสายลับให้หน่วยอับแวร์
พวกยิวหลายคนจึงออกเอกสารบอกว่า ชินด์เลอร์ช่วยชีวิตชาวยิวไว้อย่างไร เพื่อเป็นหลักฐานที่ทำให้เขาและภรรยารอดตาย
2
คนงานยิวทำแหวนทองวงหนึ่งให้เขา โดยใช้ทองจากฟันของยิว สลักบนแหวนว่า "ผู้ใดก็ตามที่ช่วยหนึ่งชีวิต ช่วยทั้งโลก"
4
วันที่ 9 พฤษภาคม ชินด์เลอร์กับภรรยาขับรถหนีพวกโซเวียตไปทางทิศตะวันตก ต่อมาก็หนีไปทางรถไฟ และเดินเท้าต่อไปจนถึงเขตอเมริกันหลังจากนั้นก็เดินทางต่อไปที่เมืองพัสเซา ในเขตบาวาเรีย เยอรมนี ที่นั่นพวกยิวอเมริกันเตรียมทางหนีให้ชินด์เลอร์แล้ว
ทั้งสองโดยสารรถไฟไปสวิตเซอร์แลนด์ จนปลายปี 1945 จึงย้ายกลับไปที่เยอรมนี
ชินด์เลอร์พยายามทำธุรกิจอีก แต่ไม่สำเร็จ ในที่สุดก็ต้องพึ่งเงินจากกลุ่มยิว Schindlerjuden (ยิวของชินด์เลอร์) ผู้ที่เขาช่วยชีวิตในช่วงสงคราม
4
เขาต้องการอพยพไปที่สหรัฐอเมริกา แต่คำขอถูกปฏิเสธ เนื่องจากเขาเป็นสมาชิกพรรคนาซี
1
สี่ปีหลังสงครามเลิก ชินด์เลอร์ย้ายไปอยู่ที่อาร์เจนตินา ทำฟาร์มไก่และนากเพื่อตัดขน ในปี 1958 เขาก็สิ้นเนื้อประดาตัว เขาทิ้งภรรยา หวนกลับไปเยอรมนี ทำธุรกิจอีกหลายอย่าง แต่ก็ล้มเหลวหมด
2
ในปี 1963 อายุห้าสิบห้า ธุรกิจของเขาก็ถึงจุดล้มละลาย เขาอยู่ได้ด้วยเงินความช่วยเหลือของพวกยิวที่ส่งเงินให้เขามาจากทั่วโลก ตอบแทนบุญคุณที่เขาช่วยชีวิต
2
ขอบเขตของบุญคุณข้ามพ้นกำแพงของเชื้อชาติ ศาสนา ความเชื่อ และอุดมคติทางการเมือง
7
ออสการ์ ชินด์เลอร์ เสียชีวิตเมื่อวันที่ 9 ตุลาคม 1974 อายุหกสิบหก ก่อนตายเขาสั่งเสียว่าอยากให้ฝังร่างเขาที่เยรูซาเล็ม "เพราะลูก ๆ ผมอยู่ที่นั่น"
ศพของเขาถูกฝังบนเนินเขาไซออนที่กรุงเยรูซาเลม เป็นสมาชิกนาซีคนเดียวที่ได้รับการยกย่องจากยิวในระดับสูงเช่นนี้
1
เขากับภรรยาได้รับรางวัล Righteous Among the Nations ซึ่งรัฐบาลอิสราเอลมอบให้ชาวต่างชาติที่ช่วยเหลือยิวระหว่างสงครามโลกครั้งที่สอง
2
เขาบอกว่า เขาช่วยยิว "เพราะมันไม่มีทางเลือกอื่น"
แต่ความจริงคือเขามีทางเลือก เขาสามารถอยู่เฉย ๆ ได้
เขาทำไปเพื่ออะไร? แต่เรื่องบางเรื่องจำเป็นต้องทำ
1
ชินด์เลอร์เคยบอกว่า "ถ้าคุณเห็นหมากำลังจะถูกรถชน คุณจะไม่ช่วยหรือ?"
2
ในเวลาปกติ ออสการ์ ชินด์เลอร์ มิใช่คนดีตามมาตรฐานสังคมทั่วไป ไม่ใช่คนมีศีลธรรมสูงส่ง หรือเดินชีวิตตามจรรยาบรรณ เข้าข่ายกะล่อนด้วยซ้ำ
แต่ในห้วงเวลาแห่งวิกฤติและเภทภัย สถานการณ์ก็เผยให้เห็นธาตุแท้ของเขาว่า เขายังมีวิญญาณความเป็นมนุษย์อยู่ครบถ้วน
3
เขาใช้หลักอธรรมทุกอย่างเพื่อทำงานธรรม! ตั้งแต่การโกหก ติดสินบน ใช้ลูกเล่น เส้นสาย
5
มันเป็นการกระทำที่เสี่ยงอันตรายและต้องใช้ความกล้าหาญอย่างสูง
2
และนี่ทำให้โลกยังมีแสงสว่างของความหวัง
4
หมายเหตุ
ยิวหกล้านคนถูกนาซีฆ่าตายในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง
หลังสงคราม อามอน เกิร์ธ ถูกจับกุมข้อหาอาชญากรสงคราม ศาลโปแลนด์ตัดสินประหารชีวิตโดยการแขวนคอ
อีมิเลีย ภรรยาของชินด์เลอร์มีบทบาทมากเช่นกันในการช่วยเหลือพวกยิว หลังแยกทางกับสามี เธออาศัยที่อาร์เจนตินา ด้วยความช่วยเหลือทางการเงินของกลุ่มยิว ในช่วงท้ายของชีวิต เธอขอกลับไปตายที่บ้านเกิด เยอรมนี เธอถึงแก่กรรมในวันที่ 5 ตุลาคม 2001 ที่กรุงเบอร์ลิน อายุเกือบ 94
3
แม้สามีเธอจะนอกใจเสมอ เธอก็ยังรักเขา เล่ากันว่าเมื่อเธอไปที่หลุมฝังศพของเขาสี่สิบปีหลังจากเขาจากโลกไป เธอกล่าวว่า
"ฉันไม่รู้ว่าคุณทอดทิ้งฉันทำไม แต่สิ่งที่ความตายของคุณหรือวัยชราของฉันไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้ก็คือเรายังคงแต่งงานกัน นี่คือสิ่งที่เราเป็นต่อหน้าพระเจ้า ฉันยกโทษแก่คุณทุกอย่าง"
13

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา