23 ม.ค. 2021 เวลา 09:32 • หนังสือ
#36 เล่ม 1 บทที่ 8 หน้า 199 ~ 204
...
สิ่งที่ดีที่สุดสำหรับเธอ`กลายเป็น` สิ่งที่ดีที่สุดสำหรับผู้อื่นด้วย
อาจจะต้องใช้เวลาหลายภพชาติเพื่อจะเข้าใจเรื่องนี้ และอีกหลายภพชาติกว่านั้นที่จะนำความเข้าใจนี้ไปปฏิบัติ เพราะ "สัจจะนี้" อยู่ภายใต้ `ความจริงที่ยิ่งใหญ่กว่า` อีกประการคือ
อะไรที่เธอทำให้ตัวเองเธอก็ได้ทำให้ผู้อื่น
อะไรที่เธอทำให้ผู้อื่นเธอก็ได้ทำให้ตัวเอง
ทั้งนี้เพราะเธอและคนอื่นๆล้วนเป็นหนึ่งเดียว
และนี่เป็นเพราะว่า #ไม่มีอะไรอื่นนอกจากเธอ
...
...
...
คุรุทุกคนที่เคยเหยียบย่างดาวเคราะห์ดวงนี้ได้สอนสิ่งนี้ (“เราบอกความจริงแก่ท่านว่า สิ่งใดที่ท่านกระทำให้แก่ผู้เล็กน้อยที่สุดคนหนึ่งในบรรดาพี่น้องของเรา ท่านก็ได้กระทำแก่เราด้วย”*)
[*วัจนะของพระเยซู ~ ผู้แปล]
ทว่าสำหรับคนส่วนใหญ่นี่เป็นเพียงคำสอนขั้นสูงอันยิ่งใหญ่ที่ดูเหมือนจะ `นำไปใช้ประโยชน์ในโลกความเป็นจริงได้น้อยเหลือเกิน` ทั้งที่จริงๆแล้ว นี่คือ "สัจจะขั้นสูง" ที่นำไปใช้ประโยชน์ได้มากที่สุดตลอดกาลเลยด้วยซ้ำ!!!
สำคัญมากที่จะจดจำความจริงนี้ไว้ในความสัมพันธ์ ถ้าไม่อย่างนั้นแล้วความสัมพันธ์จะยากลำบากยิ่ง
ตอนนี้เรากลับไปที่การใช้ประโยชน์จากภูมิปัญญาข้อนี้แล้วละด้านที่เป็นจิตวิญญาณซึ่งยากแก่การเข้าใจไว้ก่อน
ในความเข้าใจเดิมๆนั้น บ่อยครั้งที่ผู้คน (ซึ่งมีเจตนาและความตั้งใจดี และหลายคนก็อยู่ในศีลในธรรมมากๆด้วย) ทำสิ่งที่ตนเห็นว่าดีที่สุดให้แก่อีกฝ่ายในความสัมพันธ์
แต่น่าเศร้าที่หลายกรณี (ส่วนใหญ่) กลายเป็นการยอมทนให้อีกฝ่ายทำร้ายไปเรื่อยๆ ยอมให้อีกฝ่ายปฏิบัติไม่ดีต่อตัวเองไปตลอด และคงความพิกลพิการในความสัมพันธ์ไปอย่างไม่จบสิ้น
1
สุดท้ายผู้ซึ่งพยายาม "ทำสิ่งที่ถูกต้อง" ต่อผู้อื่น (เช่น ให้อภัยอย่างรวดเร็ว แสดงออกถึงความเมตตา พยายามมองข้ามปัญหาและพฤติกรรมบางอย่าง) ก็จะเริ่มขุ่นเคือง โกรธแค้น และไม่ไว้ใจแม้กระทั่งในพระเจ้า ก็พระเจ้าอันเที่ยงธรรมชนิดไหนกันเล่าที่เรียกร้องให้ต้องทุกข์ทรมาน อับเฉา และเสียสละตัวเองไม่สิ้นสุดแม้ในนามของความรักอย่างนั้น
คำตอบคือ "พระเจ้าไม่ได้ทำอย่างนั้นเลย" #พระเจ้าเพียงขอให้เธอรวมตัวเองเข้าไปในผู้ที่เธอรักด้วยเท่านั้น
พระเจ้ายังไปไกลกว่านั้นอีก เพราะพระเจ้า `แนะ` และ `ขอ` ให้เธอ #ทำเพื่อตัวเองก่อนเป็นอันดับแรกด้วย
ฉันรู้อยู่เต็มอกว่าพวกเธอบางคนจะเรียกคำที่ฉันบอกไปเมื่อครู่นี้ว่า "เป็นการดูหมิ่นจาบจ้วง" ฉะนั้นจึงไม่ใช่ถ้อยคำของพระเจ้าแน่นอน
ส่วนคนอื่นก็อาจทำ`สิ่งที่แย่กว่า`นั้นอีกคือ รับไว้และถือว่าเป็นถ้อยคำของฉัน แล้วก็ตีความผิดๆหรือบิดเบือนเพื่อรับใช้จุดประสงค์บางอย่างของตน เพื่อสร้างความชอบธรรมให้พฤติกรรมเลวร้ายของตัวเอง
1
ฉันขอบอกเธอว่า...การทำเพื่อตัวเองก่อนในความหมายสูงสุดนั้น `ไม่มีวัน` นำไปสู่การกระทำที่เลวร้ายได้
ฉะนั้น หากเธอพบว่า`ตน`มีพฤติกรรมต่ำช้าเนื่องจากทำสิ่งที่ดีที่สุดให้ตัวเองแล้วละก็ ปัญหาไม่ได้อยู่ที่การให้ตัวเองก่อนเป็นอันดับแรก #แต่อยู่ที่ความเข้าใจผิดว่าอะไรคือสิ่งที่ดีที่สุดสำหรับเธอต่างหาก
1
แน่นอน "การจะตัดสินว่าอะไรดีที่สุดสำหรับเธอ" #ทำให้จำเป็นต้องระบุลงไปว่าเธอกำลังพยายามทำอะไรอยู่ นี่คือก้าวสำคัญที่คนส่วนใหญ่ละเลย
เธอกำลังทำไปเพื่ออะไร?
จุดมุ่งหมายในชีวิตเธอคืออะไร?
หากตอบคำถามนี้ไม่ได้ ปริศนาที่ว่าอะไรคือ "สิ่งที่ดีที่สุด" ในสถานการณ์ต่างๆก็จะยังมืดมนต่อไป
ในแง่ในการนำไป `ปฏิบัติในชีวิตจริง` (ละด้านที่ดูสูงส่งไว้ก่อนอีกครั้ง) หากเธอมองหาสิ่งที่ดีที่สุดให้ตัวเองในสถานการณ์ที่ `เธอถูกทำร้าย` อย่างน้อยที่สุดที่เธอจะทำได้ก็คือ “หยุดการถูกทำร้ายนั้นลง”
1
ซึ่งนั่นจะเป็นผลดีต่อทั้งตัวเธอและผู้ที่ทำร้ายเธอ #เพราะแม้แต่ผู้ทำร้ายก็ถือว่าถูกทำร้ายด้วยหากเรายอมให้เขาคงพฤติกรรมนั้นต่อไปเรื่อยๆ
นี่ไม่ใช่ `การช่วยผู้ทำร้าย` แต่คือ `การทำลาย` เพราะถ้าผู้ทำร้ายเห็นว่าพฤติกรรมของตน`เป็นที่ยอมรับได้` เขาจะได้เรียนรู้อะไรล่ะ? แต่ถ้าผู้ทำร้ายได้รู้ว่าการกระทำของตน`ไม่เป็นที่ยอมรับต่อไป` เขาจะได้ค้นพบอะไรบ้าง?
1
ดังนั้น `การปฏิบัติต่อผู้อื่นด้วยความรัก` ไม่ได้หมายความว่า...#ต้องปล่อยให้เขาทำอะไรก็ได้ตามอำเภอใจ
พ่อแม่เรียนรู้เรื่องนี้ได้เร็วจากลูกๆ แต่ปกติผู้ใหญ่มักเรียนรู้ได้ไม่เร็วนักจากผู้ใหญ่ด้วยกัน หรือแม้แต่จากประเทศต่อประเทศ
1
เพราะว่า...#เราไม่อาจปล่อยให้ผู้กดขี่ได้เติบกล้าแต่ต้องหยุดการกดขี่นั้นลง `ความรักตัวเอง` และ `ความรักต่อผู้กดขี่` เรียกร้องเช่นนั้น
นี่คือคำตอบต่อคำถามของเธอที่ว่า “หากรักคือทุกสิ่งทุกอย่างแล้ว มนุษย์อาจก่อสงครามโดยชอบธรรมได้อย่างไร?”
บางครั้งมนุษย์ต้องเข้าสู่สงคราม เพื่อประกาศถึงตัวตนที่แท้จริงว่าเขาคือผู้รังเกียจสงคราม
#มีช่วงเวลาที่เธออาจต้องละทิ้งตัวเองเพื่อเป็นตัวเอง
มีคุรุสอนไว้ว่า เธอไม่อาจ `ได้ทั้งหมด` จนกว่าเธอจะพร้อม `ละทิ้งทั้งหมด` *
ดังนั้น เพื่อจะรู้ว่าตนคือ `ผู้รักสันติภาพ` เธออาจต้อง `ยกเลิกความคิด` ที่ว่าเธอคือ `มนุษย์ผู้ไม่มีวันเข้าสู่สงครามทิ้งไป` ประวัติศาสตร์มักเรียกให้มนุษย์ตัดสินใจเช่นนี้
นี่ยังเป็นความจริงกับความสัมพันธ์ส่วนตัวโดยมากด้วย บางครั้งชีวิตอาจเรียกร้องให้เธอ #พิสูจน์สิ่งที่เธอเป็นด้วยการให้แสดงด้านที่ไม่ได้เป็นออกมา
นี่ไม่ใช่เรื่องเข้าใจยากนักถ้าเธอได้ใช้ชีวิตมาสักระยะหนึ่ง แต่สำหรับคนหนุ่มสาวที่เปี่ยมด้วยอุดมคติแล้ว นี่อาจดูขัดแย้งกันอย่างสิ้นเชิง
ทว่าเมื่อเติบโตมากขึ้นแล้วหวนระลึกไป มันกลับดูเป็น "เอกภาพแห่งความขัดแย้งอันศักดิ์สิทธิ์"
นี่ไม่ได้หมายความว่าในความสัมพันธ์ของมนุษย์ ถ้าเธอ "ถูกทำร้าย" เธอจะต้อง “ทำร้ายตอบ” (และก็ไม่ได้หมายความอย่างนั้นเหมือนกันในเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ)
เพียงหมายความว่า...การที่เรา`ปล่อย`ให้อีกฝ่ายก่อความทุกข์ความเสียหายไปเรื่อยๆ อาจไม่ได้หมายความว่า...เรากำลังแสดงถึงความรักเสมอไป ไม่ว่าจะ `ต่อตัวเองหรืออีกฝ่าย` ก็ตาม
1
นี่ควรจะทำให้ทฤษฎีบางอย่างในหมู่ผู้รักสันติสิ้นสุดลงเสียที ทฤษฎีที่ว่า "ความรักสูงสุดจะไม่มีวันใช้กำลังตอบโต้สิ่งที่เธอเห็นว่าชั่วร้าย"
การพูดคุยนี้กลับสู่ "มิติขั้นสูง" อีกครั้ง เพราะการพิจารณาข้อความข้างต้นอย่างจริงจังทำให้ไม่อาจมองข้ามคำว่า “ชั่วร้าย” และการตัดสินเชิงคุณค่าที่จะตามมาได้ จริงที่ว่า "ไม่มีสิ่งใดชั่วร้าย" มีเพียง`ปรากฏการณ์` หรือ `ประสบการณ์เชิงภววิสัย`*
[*ประสบการณ์แห่งความเป็นคู่ ~ แอดมิน]
แต่จุดประสงค์สำคัญในชีวิตจะเรียกร้องให้เธอ`ต้องเลือกบางสิ่ง`ที่เธอมองว่าชั่วร้ายออกมาจาก`ชุดของปรากฏการณ์ที่ไม่มีสิ้นสุด` เพราะถ้าไม่ทำอย่างนั้น เธอก็ไม่อาจ`เรียกตัวเอง` หรือ `สิ่งอื่นใด` ว่า “ดีงาม” ได้ ดังนั้นเธอจะ `ไม่มีวันรู้จัก` หรือ `สรรค์สร้างตัวเอง` ได้เลย
ด้วยสิ่งที่เธอเรียกว่า`ชั่วร้าย`และ`ดีงาม`นั้นเอง เธอจึงได้ "นิยามว่าเธอคือใคร"
ดังนั้น สิ่งที่ "ชั่วร้ายที่สุด" ก็คือ #การไม่ยอมประกาศว่ามีสิ่งใดชั่วร้ายเลย
1
เธอมีชีวิตอยู่ใน`โลกสัมพัทธ์` #ที่ซึ่งสิ่งหนึ่งจะปรากฏอยู่ได้ก็เมื่อมีอีกสิ่งหนึ่งดำรงอยู่
นี่เองเป็นหน้าที่และจุดประสงค์ของความสัมพันธ์ในคราวเดียวกัน นั่นคือ มันได้ให้ "พื้นที่แห่งประสบการณ์" เพื่อเธอจะได้ `พบตัวเอง` `นิยามตัวเอง` และ (ถ้าเธอเลือกนะ) `สร้างสรรค์ตัวเองขึ้นใหม่อย่างต่อเนื่อง`
#การเลือกเป็นเหมือนพระเจ้าไม่ได้หมายความว่าให้เธอเลือกเป็นผู้อาสาแบกทุกข์ และแน่นอน #ไม่ได้หมายความว่าให้เลือกเป็นเหยื่อด้วย
บนหนทางสู่การกุมบังเหียนชีวิต เมื่อความเป็นไปได้ต่างๆที่จะทำให้เธอต้องเจ็บปวด เสียหาย และ สูญเสียได้ถูกขจัดไปแล้ว เป็นการดีที่เธอจะ`ระลึก`ถึงสิ่งเหล่านี้ว่า..."เป็นส่วนหนึ่งของประสบการณ์ชีวิต" และตัดสินใจว่า..."เธอคือใครในการเข้าไปสัมพันธ์กับมัน"
ถูกที่ว่าสิ่งที่ผู้อื่น คิด พูด หรือ ทำนั้นบางครั้งก็ทำร้ายเธอ ก็จนกว่าจะไม่เป็นอย่างนั้นนั่นล่ะ
สิ่งที่จะทำให้เธอ`ข้ามพ้น`ไปอย่างรวดเร็วก็คือ "ความซื่อสัตย์" ล้วนๆ*
[*ซื่อสัตย์ต่อความรู้สึกที่เกิดขึ้น ~แอดมิน]
นั่นคือ พร้อมที่จะ `ยืนยัน` `ยอมรับ` และ `ประกาศว่า` #เธอรู้สึกอย่างไรต่อสิ่งนั้น
#จงกล่าวความจริงของเธออย่างสุภาพแต่สมบูรณ์และไม่ขาดตก
#จงใช้ชีวิตตามสัจจะของเธออย่างนุ่มนวลทว่าเต็มเปี่ยมและสม่ำเสมอ
#รวมทั้งเปลี่ยนความจริงของเธออย่างง่ายดายและรวดเร็วเมื่อประสบการณ์ชีวิตนำความเข้าใจใหม่มาให้
เมื่อเธอรู้สึกเจ็บปวดในความสัมพันธ์ ไม่มีใครที่สติยังคงสมประกอบดีอยู่ ไม่มีแม้แต่พระเจ้าองค์เล็กที่สุดที่จะบอกเธอว่า “อย่าไปสนใจเลย ทำเหมือนกับว่าไม่มีความหมายอะไรก็แล้วกัน”
2
ถ้าตอนนี้เธอ`เจ็บปวด` มันก็สายเกินไปที่จะบอกว่า “ไม่มีความหมาย” งานของเธอตอนนี้คือ #ตัดสินใจว่ามันมีความหมายอย่างไรแล้วแสดงออกมา เพราะการทำเช่นนั้นคือ #การเลือกจะเป็นตัวตนที่เธอต้องการเป็น
N : ถ้างั้นผมก็ `ไม่จำเป็นต้อง` เป็นภรรยาผู้ทนทุกข์ไปแสนนาน หรือว่าเป็นสามีที่ถูกดูถูกเหยียดหยาม หรือว่าเป็นเหยื่อในความสำพันธ์ของตัวเองเพื่อที่จะทำให้มันศักดิ์สิทธิ์ หรือเป็นที่โปรดปรานในสายตาของพระเจ้า?
G : ให้ตายเหอะ "ไม่จำเป็นเลย"
N : และผมก็ไม่จำเป็นต้องยอมทนให้ใครมาโจมตีเกียรติ ทำลายความนับถือตนเอง ทำร้ายจิตใจและทำให้หัวใจผมต้องบาดเจ็บเพียงเพื่อจะกล่าวว่าผมได้ "มอบสิ่งที่ดีที่สุด" ให้แก่ความสัมพันธ์แล้ว ได้ "ทำตามหน้าที่" หรือ "ปฎิบัติตามข้อกำหนด" ในสายตาของพระผู้เป็นเจ้าและเพื่อนมนุษย์แล้ว
G : ไม่จำเป็นแม้แต่นาทีเดียว
...
...
...

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา