24 ม.ค. 2021 เวลา 03:42 • หนังสือ
#37 เล่ม 1 บทที่ 8 หน้า 204 ~ 211
...
...
...
N : ถ้าอย่างนั้น ขอวอนแด่พระผู้เป็นเจ้า ช่วยบอกผมทีว่าผมควรจะให้สัญญาอะไรในความสัมพันธ์บ้าง?
มีข้อตกลงอะไรที่ต้องรักษาไว้?
หน้าที่หรือข้อกำหนดใดที่ต้องทำในความสัมพันธ์?
ผมควรแสวงหาสิ่งชี้ทางไหนดี?
G : คำตอบนั้นคือคำตอบที่เธอไม่อาจได้ยิน เพราะมันจะไม่ชี้ทางอะไรเธอเลย และยังจะทำให้ข้อตกลงทุกอย่างเป็นโมฆะทันทีที่เธอทำด้วย
คำตอบคือ...🔸เธอไม่มีหน้าที่ต้องทำอะไรทั้งนั้นไม่ว่าจะในความสัมพันธ์หรือในชีวิต🔸
N : "ไม่มีพันธะหน้าที่" งั้นหรือครับ?
G : `ไม่มีหน้าที่ `ไม่มีข้อบังคับ `ไม่มีข้อจำกัด หรือ `การควบคุม `ไม่มีเครื่องชี้ทาง หรือ`กฎกติกา
1
เธอจะ`ไม่ถูกจำกัด`ด้วยสิ่งแวดล้อมหรือสถานการณ์ `ไม่ถูกบังคับ`โดยบัญญัติหรือกฎเกณฑ์ `ไม่ถูกลงโทษ`เมื่อฝ่าฝืน และเธอก็ `ไม่สามารถฝ่าฝืนสิ่งใดได้ด้วย` เพราะในสายตาของพระเจ้า`ไม่มี` สิ่งที่เรียกว่า “การฝ่าฝืน”
N : ผมเคยได้ยินอะไรพวกนี้มาก่อน คำสอนแบบว่า "ไม่มีกฎข้อบังคับใดๆ" อะไรเทือกนั้นแหละ นี่มันอนาธิปไตยทางจิตวิญญาณ (Anarchy)* แล้วผมก็ไม่เห็นว่ามันจะได้ผลตรงไหน?
[*Anarchy : ภาวะไร้กฎเกณฑ์ข้อบังคับใดๆในการใช้ชีวิต ~ ผู้แปล]
G : ไม่มีทางที่จะ`ไม่ได้ผล` ถ้าเธออยู่ในกระบวนการแห่งการสร้างสรรค์ตัวตนนะ
ตรงกันข้าม ถ้าเธอคิดว่าตัวเองกำลังวุ่นกับ #การพยายามเป็นในสิ่งที่คนอื่นต้องการให้เธอเป็น ล่ะก็ "การไม่มีกฎบังคับหรือแนวทางบ่งชี้อาจทำให้สิ่งต่างๆยากลำบากขึ้นมาจริงๆได้"
แต่คนที่มีความคิด จะร้องถามว่า...ถ้าพระเจ้าอยากให้ฉันเป็นอย่างนั้นอย่างนี้จริงๆ #แล้วทำไมถึงไม่สร้างให้ฉันเป็นแบบนั้นไปเลยตั้งแต่แรกล่ะ? #ทำไมฉันจะต้องดิ้นรนเอาชนะสิ่งที่เป็นอยู่เพื่อจะได้เป็นอย่างที่พระเจ้าอยากให้เป็นด้วย?
ใจที่สงสัยจึงอยากรู้สิ่งนี้ ซึ่งก็ถูกแล้ว เพราะเป็นการสืบค้นที่เหมาะสมดี
นักการศาสนาต้องการให้เธอเชื่อว่า ฉันสร้างเธอมาต่ำต้อยกว่าที่ฉันเป็นเพื่อเธอจะได้มี`โอกาส`เป็นอย่างฉัน แม้จะดูเป็นไปไม่ได้มากแค่ไหน และ "จะต้องต่อสู้กับแนวโน้มตามธรรมชาติที่ฉันได้ใส่ไว้ในตัวเธอเพียงใด" หนึ่งในแนวโน้มตามธรรมชาตินั้นก็คือ แนวโน้มต่อ`ความผิดบาป`
เธอถูกสอนว่า...“เธอเกิดมามีบาปติดตัวแล้วจะตายไปพร้อมบาป” ความผิดบาปคือ `ธรรมชาติ`ของเธอ
ศาสนาหนึ่งของพวกเธอถึงกับสอนว่า`เธอทำอะไรกับเรื่องนี้ไม่ได้แล้วจริงๆ` การกระทำของเธอไม่มีความหมายและไม่เกิดประโยชน์ ถ้าเธอคิดว่าการกระทำใดของ`ตัวเอง`จะช่วยให้ได้ “ขึ้นสวรรค์” ละก็ นั่นคือความอหังการ มีทางเดียวที่จะได้ไปสวรรค์ (ความรอด หรือ การหลุดพ้น) นั่นคือไม่ใช่จากความพยายามของ`ตัวเอง` แต่จากความเมตตาที่พระเจ้าประทานให้โดยผ่านการ `ยอมรับให้พระบุตรเป็นสื่อกลาง`
ด้วยวิธีนี้เท่านั้นเธอจึงจะได้รับการ "ช่วยให้รอด" แต่ถ้าไม่ทำละก็ ไม่ว่าเธอจะทำอะไร ไม่ว่าจะใช้ชีวิตอย่างไร ไม่ว่าจะเลือกอะไร ไม่ว่าจะเพียรพยายามปรับปรุงตัวเองให้มีค่าแค่ไหน ทุกอย่างไม่มีผลหรือส่งอิทธิพลใดๆทั้งนั้น
เธอ`ไม่สามารถ`ทำให้`ตัวเอง`มีค่าได้ เพราะเธอไม่ควรค่าโดยธรรมชาติอยู่แล้ว ก็เธอ`ถูกสร้าง`มาอย่างนั้น!!!
ทำไมถึงเป็นอย่างนี้? พระเจ้าเท่านั้นที่รู้ บางทีพระองค์อาจทำผิดพลาด อาจไม่ได้ทำมาอย่างถูกต้อง หรือบางทีพระองค์อาจอยากแก้ไขใหม่อีกครั้งก็เป็นได้ แต่ก็เป็นแบบนี้ไปแล้วนี่ ทำไงได้ล่ะ
N : พระองค์ทำให้พวกเราเป็นตัวตลก
G : ไม่จริง! "พวกเธอต่างหากที่ทำให้ฉันเป็นตัวตลก"
เธอกำลังบอกว่า ฉันซึ่งเป็นพระเจ้าสร้างสิ่งมีชีวิตที่มีความบกพร่องในตัวเองขึ้นมา แล้วก็`ออกคำสั่ง`ให้สิ่งมีชีวิตพวกนั้นทำตัวให้สมบูรณ์แบบไม่อย่างนั้นจะถูกลงทัณฑ์!
และสักประมาณหลาย 1000 ปีมาแล้วเห็นจะได้ เธอก็ยังบอกอีกว่า ฉันได้ผ่อนปรนให้พวกเธอไม่ต้องเป็นคนดีก็ได้ แค่ต้องรู้สึกแย่เมื่อไม่ได้ทำดี และให้ยอมรับ *บุคคลหนึ่ง* ว่าเป็นพระผู้ช่วยให้รอด ซึ่งเป็นผู้สมบูรณ์แบบไร้มลทิน`เสมอ` จะได้ดับความกระหายในความสมบูรณ์แบบของฉันลง
เธอกำลังบอกว่า *บุตรของฉัน* ที่เธอเรียกว่า *พระผู้ไถ่* ได้ช่วยพวกเธอให้พ้นจากความบกพร่องของตัวเองซึ่งเป็นความไม่สมบูรณ์แบบ`ที่ฉันเป็นผู้มอบให้เธอ`
พูดอีกอย่างคือ *บุตรของพระเจ้า* ช่วยให้เธอรอดพ้นจาก `สิ่งที่ *พระเจ้า* ได้ทำลงไป`
นี่คือสิ่งที่พวกเธอทั้งหลายบอกว่า`ฉันได้สร้างขึ้น`
ทีนี้...ใครทำให้ใครเป็นตัวตลกกันแน่?!
N : นี่เป็นครั้งที่สองในหนังสือเล่มนี้แล้วนะที่พระองค์โจมตีศาสนาคริสต์แบบจารีตนิยมอย่างจังๆ ผมรู้สึกประหลาดใจจริงๆ
G : เธอเลือกใช้คำว่า “โจมตี” ขณะที่ฉันเพียงแค่พูดให้ฟัง แล้วเรื่องที่พูดก็ไม่ใช่ “ศาสนาคริสต์แบบจารีตนิยม” อย่างที่เธอบอกด้วย แต่เป็นเรื่อง `ธรรมชาติของพระเจ้า` และ `ความสัมพันธ์ของพระเจ้ากับมนุษย์` ต่างหาก
คำถามเกิดขึ้นมาเพราะเรากำลังพูดเรื่อง `หน้าที่ในความสัมพันธ์และในชีวิต` กันอยู่
เธอ`ไม่อาจเชื่อ`ในความสัมพันธ์ "ที่ปราศจากหน้าที่ที่ต้องทำ" เพราะเธอ`ไม่อาจยอมรับ` "ตัวตนที่แท้จริงของตัวเองได้"
เธอเรียกชีวิตที่มี "เสรีภาพโดยสมบูรณ์" ว่า “อนาธิปไตยทางจิตวิญญาณ” แต่ฉันเรียกว่า #คำสัญญายิ่งใหญ่จากพระเจ้า ภายใต้บริบทของคำสัญญานี้เท่านั้นที่ "แผนการยิ่งใหญ่ของพระเจ้า" จะบรรลุได้
เธอ`ไม่มี`หน้าที่ใดๆที่ต้องทำในความสัมพันธ์ สิ่งที่เธอมีคือ 🔸โอกาส❗🔸
`โอกาส` (ไม่ใช่พันธะหน้าที่) คือเสาหลักสำคัญของศาสนา คือ "พื้นฐานของทุกเรื่องทางจิตวิญญาณ" แต่ถ้าเธอเห็นเป็นอีกอย่างเธอก็พลาดประเด็นสำคัญไปแล้วล่ะ
`ความสัมพันธ์` (ความสัมพันธ์ของเธอต่อทุกๆสิ่ง) #ถูกสร้างขึ้นเพื่อเป็นเครื่องมืออันสมบูรณ์แบบในการทำงานของจิตวิญญาณ
นี่คือเหตุผลว่าทำไม`ทุกความสัมพันธ์`ของมนุษย์จึง "มีความหมาย" และทำไม`ความสัมพันธ์ส่วนตัวทุกเรื่อง`ของมนุษย์จึง "ศักดิ์สิทธิ์"
ในเรื่องนี้ คริสตจักรทั้งหลายเข้าใจถูกต้อง การแต่งงานเป็น `พีธีกรรมศักดิ์สิทธ์อย่างแท้จริง` ไม่ใช่เพราะพันธะหน้าที่อันศักดิ์สิทธิ์ของมัน แต่เพราะ "โอกาส" ที่ไม่อาจเปรียบได้ต่างหาก
✴️จงอย่าทำสิ่งใดในความสัมพันธ์ด้วยความรู้สึกว่าเป็นหน้าที่ที่ต้องทำ
✴️แต่จงทำอะไรก็ตามด้วยความรู้สึกว่าเป็นโอกาสยิ่งใหญ่ที่ความสัมพันธ์ได้มอบให้
✴️เพื่อเธอจะตัดสินใจและได้เป็นตัวตนที่แท้จริงของตัวเอง
N : รับทราบครับ แต่พอเวลาที่สิ่งต่างๆในความสัมพันธ์มันยากลำบาก หรือไม่เป็นไปดังใจ ผมก็จะยอมแพ้ทุกที ผลก็คือผมมีความสัมพันธ์ยาวเป็นหางว่าวเลย ซึ่งในตอนเด็กผมคิดว่าจะมีแค่ครั้งเดียวเท่านั้น ดูเหมือนผมจะไม่รู้วิธีที่จะรักษาความสัมพันธ์ไว้ได้เลย พระองค์ว่าสุดท้ายผมจะได้เรียนรู้บ้างมั้ยครับ? ผมจะต้องทำยังไงถึงจะเป็นอย่างนั้นได้?
G : เธอทำอย่างกับว่า `การคงความสัมพันธ์ไว้ได้คือความสำเร็จงั้นแหละ`
อย่าสับสนระหว่าง `ระยะเวลา` กับ `คุณภาพของความสัมพันธ์`
จำไว้ว่า "งานของเธอบนโลกนี้" #ไม่ใช่การดูว่าเธอจะประคองความสัมพันธ์ไว้ได้นานแค่ไหน #แต่คือการตัดสินใจและมีประสบการณ์ถึงตัวตนที่แท้จริงของตัวเองต่างหาก
นี่ไม่ใช่การถกเถียงเพื่อสนับสนุนความสัมพันธ์แบบ`ชั่วครู่ยาม`หรอกนะ แต่ก็ไม่ใช่ข้อกำหนดให้ต้องมีความสัมพันธ์`ระยะยาว`ด้วย
แม้จะไม่มีข้อกำหนดอย่างนั้น แต่ก็ควรบอกเธออย่างนี้ว่า ความสัมพันธ์ระยะยาวจะให้โอกาสอันเยี่ยมยอดที่จะ`เติบโตร่วมกัน `แสดงออกร่วมกัน `อิ่มเอมร่วมกัน ซึ่งนั่นเป็นรางวัลในตัวเองแล้ว!
N : ใช่เลย! ...หมายถึงว่าผมคิดมาตลอดว่ามันน่าจะเป็นอย่างนั้น แล้วทีนี้ผมจะไปถึงจุดนั้นได้ยังไงล่ะครับ?
G : ประการแรก เธอต้องแน่ใจก่อนว่า #ได้เข้าสู่ความสัมพันธ์ด้วยเหตุผลที่ถูกต้อง (ฉันใช้คำว่า “ถูก” ในที่นี้ด้วยความหมายเชิงสัมพัทธ์ “ถูก” ที่ฉันหมายถึงก็คือ เมื่อเทียบกับจุดประสงค์ใหญ่กว่าที่ชีวิตเธอมี)
อย่างที่บอกมาก่อนหน้านี้ล่ะว่า คนส่วนใหญ่เข้าสู่ความสัมพันธ์ "ด้วยเหตุผลที่ผิด" เพราะ `ยุติความเหงาบ้าง `เติมช่องว่างในหัวใจบ้าง `หาความรัก หรือ `หาคนที่จะรักบ้าง ทั้งหมดนี้เป็นบางส่วนของเหตุผลที่ดีกว่านั้นอีก
คนอื่นๆก็อาจเข้าสู่ความสัมพันธ์ `เพื่อผ่อนคลายอัตตา `ยุติความซึมเศร้า `ปรับปรุงชีวิตเซ็กซ์ หรือ `เพื่อช่วยบรรเทาความเจ็บปวดจากความสัมพันธ์ก่อนหน้า หรือแม้กระทั่ง เชื่อหรือเปล่าล่ะว่า...
`เพื่อแก้เบื่อ
เหตุผลที่ว่ามานี้ "ไม่มีทางได้ผล" และถ้าไม่มีการเปลี่ยนแปลงสำคัญใดๆเกิดขึ้นระหว่างทางแล้ว ความสัมพันธ์ก็จะไปไม่รอดด้วย
N : ผมไม่ได้มีความสัมพันธ์ด้วยเหตุผลพวกนี้เสียหน่อย
G : ฉันขอท้าเธอเลยในเรื่องนี้ ฉันไม่คิดว่าเธอจะรู้ตัวหรอกว่าทำไมตัวเองถึงเข้าสู่ความสัมพันธ์ ฉันไม่คิดว่าเธอจะคิดถึงมันแบบนี้หรอก ฉันไม่คิดว่าที่ผ่านมาเธอจะมีความสัมพันธ์`โดยเจตนา` ฉันคิดว่าเธอเข้าสู่ความสัมพันธ์เพียงเพราะเธอ “ตกหลุมรัก” แค่นั้นเอง
N : ถูกเผงเลยครับ
G : และฉันก็ไม่คิดว่าเธอได้หยุดเพื่อมองหาสาเหตุว่าทำไมเธอถึง "ตกหลุมรัก" ด้วย
เธอกำลังตอบสนองอะไรอยู่? ความต้องการใดบ้างที่ได้รับการเติมเต็มจากการนี้?
เพราะสำหรับคนส่วนใหญ่แล้วรักก็คือ "ปฏิกิริยาเพื่อตอบสนองต่อความต้องการจำเป็น"
"ทุกคนล้วนมีความต้องการ" เธอต้องการสิ่งนี้ เขาต้องการสิ่งนั้น ทั้งคู่ต่างเห็นอีกฝ่ายเป็นโอกาสที่จะ`เติมเต็มความต้องการ`ให้ตัวเอง
เธอจึงตกลงกันเป็นนัยที่จะค้าขายแลกเปลี่ยนกัน "ฉันจะให้สิ่งที่ฉันมีแก่เธอถ้าเธอให้สิ่งที่เธอมีแก่ฉัน"
#มันคือการทำธุรกิจ!!! เพียงแต่เธอไม่พูดความจริงเกี่ยวกับมันเท่านั้นเอง เธอไม่บอกว่า “ฉันค้าขายกับเธอเหลือเกิน” แต่พูดว่า “ฉันรักเธอเหลือเกิน” และความผิดหวังก็เริ่มต้นขึ้น
N : พระองค์พูดประเด็นนี้มาก่อนแล้ว
G : ใช่...และเธอก็`ทำ`อย่างนี้มาก่อนแล้วเหมือนกัน ไม่ใช่ครั้งเดียวด้วย แต่หลายต่อหลายครั้ง
N : บางทีหนังสือเล่มนี้ก็วกวนชอบกล กลับมาที่เดิมซ้ำแล้วซ้ำอีก
G : เหมือนชีวิตคนเลยเนอะ
N : โอ้โห...โดนนน!
G : วิธีการของเราในที่นี้คือ เธอถามคำถาม ส่วนฉันก็เพียงแค่ตอบ ถ้าเธอถามคำถามเดียวด้วยวิธีที่ต่างกัน 3 ครั้ง ฉันก็ต้องตอบแบบนี้ต่อไปนั่นล่ะ
N : บางทีอาจเป็นเพราะผมหวังว่าพระองค์จะมีคำตอบอื่นที่ต่างไปจากเดิมบ้าง พระองค์เอาความ
โรแมนติกออกไปจากเรื่องความสัมพันธ์หมดเลย ผิดตรงไหนถ้าจะตกหลุมรักอย่างหัวปักหัวปำโดยไม่ต้องใช้`ความคิด`น่ะ?
G ไม่ผิดอะไรเลย จงตกหลุมรักกับใครให้มากเท่าที่อยากไปเถอะ #แต่ถ้าเธอกำลังจะสานสัมพันธ์ระยะยาวกับพวกเขาละก็ #เธอคงต้องคิดสักหน่อย
ตรงกันข้าม ถ้าเธอสนุกกับการผ่านความสัมพันธ์ไปเรื่อยๆเหมือนสายน้ำ หรือ`ที่แย่กว่านั้น`คือ คงอยู่กับความสัมพันธ์ใดๆเพราะคิดว่า "จำต้องทนอยู่" แล้วก็มีชีวิตอย่างสิ้นหวังซังกะตาย หากเธอ `สนุก` กับรูปแบบความสัมพันธ์ในลักษณะเดิมๆที่หวนกลับมาซ้ำแล้วซ้ำอีก #ก็จงทำอย่างที่กำลังทำอยู่นี้ต่อไปเถิด
N : โอเคๆเข้าใจแล้วเพื่อน พระองค์ไม่ยอมผ่อนปรนเลยใช่มั้ยเนี่ย?
G : นั่นแหละคือ ปัญหาของ “สัจจะ”
✴️"สัจจะ" ไม่อาจผ่อนปรน
✴️ มันจะไม่ปล่อยเธอไว้ตามลำพัง
✴️ แต่จะคืบคลานมาหาเธอจากทุกด้าน
✴️ แสดงให้เธอเห็นว่าความจริงเป็นอย่างไร
✴️ ซึ่งอาจรบกวนจิตใจเธอได้
...
...
...

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา