2 ก.พ. 2021 เวลา 01:36 • นิยาย เรื่องสั้น
1.16. ใบไม้ที่ปลิดปลิว
เตียวหยุน ผู้นำขุมกำลังสัตตดารา - เตียวสิ้ว ดาวองครักษ์ - ซุนเฉียง ผู้นำตระกูลซุน
ยามนี้ กองซุนจ้านจึงแสร้งเคลื่อนไหวซักซ้อมกองพลคล้ายจะยกทัพลงใต้ หมายยึดครองกิจิ๋วตามแผนที่วางไว้ ฝ่ายฮันฮกแม้จะไม่ใช่คนห้าวหาญเข้มแข็ง แต่ยังมีกำลังทหารอยู่ไม่น้อย ขาดก็แต่ขาดแคลนนายทัพคนมีฝีมือ เพราะสูญเสียขุนพลสำคัญไปในการศึกสิบแปดหัวเมืองที่เมืองหลวง จึงได้แต่ส่งสารขอความช่วยเหลือจากอ้วนเสี้ยว อดีตผู้นำพันธมิตรที่เพิ่งมีพันธะสัญญาต่อกัน
การเคลื่อนไหวของอ้วนเสี้ยวฉับไวทันเหตุการณ์ แต่เมื่อกองทัพสกุลอ้วนเข้าเมืองได้แล้ว กลับตรงเข้ายึดอำนาจปลดฮันฮกออกจากตำแหน่งเสียเอง และผนึกรวมอาณาเขตมณฑลกิจิ๋วทั้งหมดเข้าด้วยกัน กลายเป็นผู้ยิ่งใหญ่ภาคเหนือได้สำเร็จ
ก่อนจะเดินทางเริ่มต้นภารกิจย้อนอดีต กระสาเคยไต่ถามที่ประชุมหน่วยว่า ปัจจัยสำคัญอันใดที่ทำให้อ้วนเสี้ยวได้เป็นขุมกำลังใหญ่เป็นกลุ่มแรกๆ สมาชิกที่มีสติปัญญาหลายคนยืนยันตรงกันว่า เป็นเพราะตำแหน่งทางภูมิศาสตร์ที่ดี พื้นที่มณฑลกิจิ๋วเป็นที่ราบกว้างใหญ่ เหมาะสมต่อการพัฒนาทางเศรษฐกิจการเกษตร และกระหนาบข้างด้วยแม่น้ำฮวงโหและชายทะเลใหญ่
ต่อมา เมื่ออ้วนเสี้ยวบุกยึดพื้นที่ฝั่งเหนือของกองซุนจ้านได้ด้วยแล้ว จึงกลายเป็นก้าวกระโดดครั้งใหญ่ เพราะเท่ากับขุมกำลังอ้วนเสี้ยวสามารถยึดมุมบนด้านขวาของแผ่นดินได้แล้ว จึงนับว่า เป็นชัยภูมิที่ป้องกันง่าย จู่โจมยาก เฉกเช่นการยึดมุมกระดานในกลเกมหมากล้อม
กระสา-อ้วนเสี้ยวจึงยอมถอยหนึ่งก้าวที่เมืองหลวง แต่หันกลับมารุกคืบที่ดินแดนภาคเหนือ ดำเนินรอยตามประวัติศาสตร์ดั้งเดิมแทน อย่างน้อย พวกปักษาสวรรค์ย่อมไม่อาจขัดขวางเรื่องราวเช่นนี้ได้ไปอีกระยะหนึ่ง
ฝ่ายกองซุนจ้านส่งทูตมาเจรจาทวงสัญญา เพราะที่จริง อ้วนเสี้ยวสั่งให้ซุนฮกยื่นข้อเสนอจะแบ่งปันพื้นที่ของฮันฮกด้วยกันกับกองซุนจ้าน แต่พอถึงเวลาจริง อ้วนเสี้ยวถึงกับบิดพลิ้ว ไม่รับรู้เรื่องข้อตกลงดังกล่าว อีกทั้งยังเปิดเผยผลการสอบสวนคดีลอบสังหารเชื้อพระวงศ์เล่าหงีว่า เป็นฝีมือของมือสังหารจากกองทัพม้าขาวเสียเอง ทำให้กองซุนจ้านและซุนฮกเองต่างก็แค้นเคืองใจที่โดนอ้วนเสี้ยวหลอกลวงให้เสียประวัติไปด้วยกันทั้งคู่ มิน่าเล่า จึงได้ใช้สอยกุนซือไร้ชื่อเสียงมาเจรจาการทูตเช่นนี้ กองซุนจ้านเลยกลายเป็นแพะรับบาป พลอยมัวหมองที่พัวพันกับคดีลอบสังหารเชื้อพระวงศ์คนดังไปโดยเปล่าประโยชน์
ตั้งแต่นั้น อ้วนเสี้ยวกับกองซุนจ้านก็รู้อยู่แก่ใจว่า ฝ่ายตรงข้ามจะกลายเป็นศัตรูสำคัญต่อกัน เพื่อช่วงชิงความเป็นใหญ่ทางภาคเหนืออย่างเด็ดขาดในเร็ววัน แต่ฝ่ายกองซุนจ้านนั้นมีพื้นที่น้อยกว่า กันดารมากกว่า อีกทั้งด้านเหนือยังมีพวกชนเผ่าเร่ร่อน อย่างเช่น เผ่าซงหนู เซียนเปย ซึ่งล้วนแต่มีความสัมพันธ์ยาวนานอยู่กับตระกูลอ้วน ผลัดกันก่อกวนอยู่เนืองๆ ทำให้สะสมทรัพยากรได้ช้ากว่ามากนัก
อ้วนเสี้ยวก็อาศัยจังหวะทองช่วงนี้ ส่งอ้วนถำ บุนทิว เตียนห้อง ยึดพื้นที่ไปทางด้านตะวันตก อ้อมแนวเทือกเขาสูงด้านบน ช่วงชิงมณฑลเปงจิ๋วบางส่วนมาจากหันซุย ผู้เป็นเจ้านคร และมีศักดิ์เป็นน้องร่วมสาบานของม้าเท้งแห่งเสเหลียง เพื่อเอาไว้เป็นฐานกำลังเพิ่มเติม และตัดการติดต่อทางบกที่จะลงไปสู่แผ่นดินฮั่นทางใต้ของกองซุนจ้านออกไปทั้งหมดแล้ว ถือเป็นการตัดเส้นทางการค้าโดยตรง ยิ่งทำให้เศรษฐกิจของเมืองปักเป๋งฝ่ายกองซุนย่ำแย่ และเก็บภาษีค่าส่วยได้ยากลำบากกว่าเดิม
ในห้องลับแห่งหนึ่งห่างจากเมืองเกงจิ๋วของเล่าเปียวไม่ไกลนัก เงาร่างหกสายในชุดคลุมหลวมกว้าง และผืนผ้าปิดหน้าตาไว้ นั่งกันเป็นวงกลมใหญ่อย่างนิ่งสงบ มีเพียงเก้าอี้ใหญ่ และเก้าอี้ระดับเดียวกันยังว่างอยู่อีกหนึ่งตัว จนกระทั่งเงาร่างหนึ่งลอยตัวเข้ามานั่งที่ตำแหน่งประมุข
“ฟ้าเหลืองรอเวลา สัตตดาราเปลี่ยนแผ่นดิน” ทั้งหมดกล่าวคำรหัสโดยพร้อมเพรียงกัน นี่คือเครือข่ายลับของพรรคฟ้าเหลืองที่หลงเหลืออยู่นามว่า สัตตดารา
เงาร่างที่เป็นประมุขจึงกล่าวขึ้น “เจ้าทั้งหลายคงได้ยินเรื่องราวของท่านอาเตียวโป้แล้ว ช่างน่าเสียดายนัก หลายปีที่ผ่านมา ข้าพยายามเกลี้ยกล่อมให้ท่านอาซ่อนตัวให้มิดชิด รอคอยจังหวะเวลาที่เหมาะสม ไม่คาดเลยว่า ท่านจะใจร้อนดื้อดึง ฉวยโอกาสที่พวกเจ้าเมืองถอนตัวกลับจากศึกเมืองหลวง หมายจะช่วงชิงทรัพย์สิน และยึดครองเมืองเพิ่มเติมตามลำพัง เลยพลาดท่าเสียทีให้กับกองทัพพันธมิตรที่เหลือ จนสูญเสียเมืองที่มั่นไปอีกสามเมืองโดยไร้ความหมายจริงๆ”
ประมุขหนุ่มทอดถอนหายใจ ระบายความกดดันภายในใจ ค่อยกล่าวต่อ ”หลายปีที่ผ่านมา สร้างความลำบากแก่พวกเจ้าแล้ว จงรายงานสถานการณ์ความคืบหน้าของแต่ละคนเรียงไปตามลำดับได้เลย”
“ข้า ดาวที่หนึ่ง ดาวนักปราชญ์ เข้าถึงข้างกายของซุนเกี๋ยน ขั้วอำนาจใหม่ทางใต้ เป็นกุนซือที่ได้รับความไว้วางใจมากที่สุดคนหนึ่งแล้ว พร้อมจะสร้างกองทัพทางด้านใต้ และถ่วงอำนาจเล่าเปียวแห่งเกงจิ๋วไว้ได้” เงาร่างที่หนึ่งกล่าว
“ข้า ดาวที่สอง ดาวองครักษ์ ได้รับแต่งตั้งเป็นเจ้าเมืองขนาดกลาง ตำแหน่งใกล้เมืองหลวง สามารถถ่วงอำนาจสายเชื้อพระวงศ์ฮั่น เป็นกันชนจัดการเล่าเอี๋ยนแห่งเสฉวนไว้ด้านตะวันตก และกันเล่าเปียวไว้ทางด้านตะวันตกเฉียงใต้ได้ในเวลาเดียวกัน” เงาร่างที่สองกล่าว
“ข้า ดาวที่สาม ดาวปกครอง ได้เป็นเจ้าเมืองใหญ่แดนตะวันตก คุมเชิงอยู่กับม้าเท้งแห่งเสเหลียงทางเหนือ และเล่าเอี๋ยนแห่งเสฉวนทางใต้เช่นกัน” เงาร่างที่สามกล่าว
“ข้า ดาวที่สี่ ดาวนักรบ เข้าสังกัดกองทหารไร้พ่ายของลิโป้ ควบคุมกำลังนครหลวงส่วนสำคัญไว้ในมือ พร้อมสร้างสถานการณ์จากจุดศูนย์กลางในเมืองหลวงได้เลย” เงาร่างที่สี่กล่าว
“ข้า ดาวที่หก ดาวอำพราง เข้าสังกัดโตเกี๋ยมแห่งชีจิ๋ว คุมเชิงเล่าเปียวจากด้านเหนือ อ้วนเสี้ยวจากด้านใต้ และรอโอกาสยึดเมืองเป็นฐานกำลังโจมตีทางด้านตะวันออกต่อไป” เงาร่างที่ห้ากล่าว
“ข้า ดาวที่เจ็ด ดาวนางงาม เข้าถึงตัวสมุหนายกอ้องอุ้นแล้ว เพียงรอจังหวะดำเนินตามแผนใหญ่ จุดชนวนรบจากวังหลวง” เงาร่างที่หกกล่าว
มีเพียงหกเงาร่าง แสดงว่า ยังคงขาดหายไปหนึ่งดาวแล้วกระมัง
“ข้า ซึ่งเป็นประมุขแห่งสัตตดาราเองก็ได้ควบคุมกำลังทหารทางด้านตะวันออกเฉียงเหนือ ประชิดกับขุมกำลังของอ้วนเสี้ยวกับม้าเท้ง และสร้างสัมพันธ์กับชนเผ่านอกด่านทางแดนเหนือไว้ได้แล้ว”
รับฟังจากรายงานกันครบทั้งเจ็ดคนแล้ว ภาพการเชื่อมโยงของขุมกำลังสัตตดาราค่อยปรากฏชัดเจน แต่ละคนแทรกซึมในตำแหน่งที่ควบคุมสถานการณ์หลักของแผ่นดินไว้ได้แล้ว และหากก่อการณ์เคลื่อนไหวพร้อมเพรียงกัน ขุมกำลังอื่นๆอาจจะถูกตรึงไว้จนหยุดชะงักได้ในทันที นับว่า เป็นขุมกำลังลับที่ฝังรากลึกไว้อย่างดี ถ้าหากไม่เกิดการสูญเสียเตียวโป้ทั้งสามเมืองนั้น ย่อมสามารถแปรเปลี่ยนทิศทางการเมืองได้เลยทีเดียว
“นับจากที่เตียวเหยียง สายลับในพระราชวังของพวกเรา เร่งก่อการทำร้ายโฮจิ๋น โดยไม่ฟังคำสั่งของข้า จนเกิดสุญญากาศทางการเมืองไปในคราก่อน ทำให้อำนาจทางทหารไปตกอยู่กับทรราชย์ตั๋งโต๊ะกับพวกแทน มิเช่นนั้น การก่อการสอดประสานของพวกเราจากวงในคงจะสำเร็จได้ง่ายขึ้นแล้ว
ตอนนี้ เรื่องราวก็เปลี่ยนแปลงไป เกิดปัญหาใหญ่ขึ้นสองเรื่อง ก็คือ สองตัวแปรใหม่ อ้วนเสี้ยว ที่ดันมาขยายฐานอำนาจที่เมืองกิจิ๋ว กับ โจโฉที่เพิ่งพ่ายทัพลิโป้กลับมาอยู่ที่เมืองกุนจิ๋ว ขวางเส้นทางหลักในการยึดอำนาจของพวกเราเข้าพอดี ทำให้การประสานทัพยึดอำนาจรัฐ อาจจะไม่สามารถหนุนเนื่องเข้าด้วยกันได้ ยิ่งเกิดเรื่องท่านอาเตียวโป้ด้วยแล้ว การลงมืออาจจะต้องชะลอช้าลงไปบ้าง” ประมุขแห่งสัตตดาราหยุดเล็กน้อย ก่อนกล่าวต่อ “และปัญหาใหญ่ข้อที่สอง คือ ข้าพบตัวของดาวที่ห้า ดาวร่ำรวย ผู้ถือกุญแจขุมทรัพย์พรรคฟ้าเหลืองแล้ว”
เสียงอื้ออึงดังขึ้นในที่ประชุม รังสีอำมหิตแผ่ซ่านไปทั่วทั้งวง หากมิใช่เพราะคนทรยศผู้นี้ ประมุขพรรคเตียวก๊กกับน้องคนรองเตียวเหลียงคงไม่ตายอย่างกระทันหัน และหากมิใช่ขุมทรัพย์พรรคฟ้าเหลืองสูญหายไป พรรคใหญ่คงไม่ขาดเงินทุนค้ำจุน จนต้องปิดตัวล่มสลายลงไป จะว่าไปแล้ว มันคือสาเหตุทั้งหมดที่ทำให้ทุกคนต้องตกระกำลำบากมาตลอดหลายปีนี้
ประมุขฯยกมือห้ามไว้พลางกล่าว “แต่ดูเหมือนว่ามันจะจำตัวตนที่แท้จริงของข้าไม่ได้ ทำให้ข้าคิดว่ามันอาจจะความจำเสื่อม หรือเป็นผู้อื่นปลอมปนเข้ามาทำร้ายท่านพ่อเตียวก๊กในครั้งนั้น จริงอยู่ การแก้แค้นนั้นเป็นเรื่องที่ต้องกระทำอย่างแน่นอน แต่เราจำเป็นต้องทราบให้แน่ชัดว่ามันรับรู้เรื่องที่ซ่อนขุมทรัพย์มากน้อยเพียงใด ดังนั้น ขอให้ทุกท่านสงบนิ่งไว้ก่อน และกลับเข้าไปประจำแต่ละจุดของตนไว้ก่อน แล้วรอการติดต่อสั่งการจากข้าอีกที ส่วนดาวนางงาม ถึงเวลาที่เจ้าต้องลงมือก่อการจากภายในเมืองหลวงได้แล้ว”
ประมุขหนุ่มสรุปทิ้งท้าย พร้อมโบกมือไล่ให้ทุกคนแยกย้ายไปอย่างรีบร้อน แต่เหมือนมันจะมีวัตถุสะท้อนแสงแวววาวชิ้นหนึ่งร่วงหล่นจากอกเสื้อ ตกอยู่บนพื้นฟางข้างห้องลับนั้น
...
เมื่อห้องลับว่างลงสักพักหนึ่ง กลับมีบุรุษหนุ่มใหญ่ในชุดรัดกุมปรากฏตัวขึ้น เพื่อหยิบสิ่งของแวววาวนั้นมาพิจารณา เป็นป้ายหยกขาวสลักรูปก้อนเมฆชิ้นหนึ่ง แล้วมันจึงรำพึงขึ้นเบาๆ “ที่แท้ก็เป็นพวกเดนตายจากพรรคฟ้าเหลือง คนที่แฝงตัวมาเป็นกุนซือข้างกายพวกเรา หรือว่าเป็นเตียวเจียว ผู้ต้องสงสัยที่ข้าลอบติดตามมา”
“ถูกต้องแล้ว ท่านซุนเกี๋ยน” เสียงประมุขดังขึ้นอีกครั้งพร้อมกับเงาร่างทั้งเจ็ดสาย รุมล้อมเข้ามาอย่างประสงค์ร้าย “เสียดายนักที่ท่านคงต้องทิ้งชีวิตไว้ที่นี่เสียแล้ว”
“ซุนเกี๋ยน”สำนึกเสียใจที่ตัดสินใจสะกดรอยตามลำพัง ขาดกำลังสนับสนุน หากแต่เจ็ดคนตรงหน้านี้ อาจจะไม่ใช่ยอดฝีมือทั้งหมด มันจึงกวาดตามองหาคนที่น่าจะเป็นจุดอ่อนที่เปราะบาง และตัดสินใจพุ่งเข้าใส่คนที่ท่วงท่าเรือนร่างคล้ายดั่งอิสตรี พร้อมกระบี่ในมือ หวังจับเป็นตัวประกัน
เพียงพริบตา ร่างดาวนางงามพลันหายวูบไปจากสายตา แทนที่กันทันทีด้วยดาวนักรบและดาวอำพราง ที่แท้ก็เป็นกลลวงหลอกล่อให้มันไขว้เขวผิดทาง ยิ่งมิอาจถอยกลับ เพราะตัวประมุขและดาวองครักษ์เคลื่อนที่มาปิดทางถอยไว้เสียแล้ว
การต่อสู้จึงเริ่มต้นขึ้นและจบลงอย่างรวดเร็ว พร้อมชีวิตของเจ้าพ่อดาวรุ่งทางภาคใต้ การลงมือเสี่ยงชีวิตของซุนเกี๋ยนครั้งนี้ทำได้เพียงแค่เปิดผ้าที่ปกปิดใบหน้าของท่านประมุขแห่งสัตตดารา ทำให้เห็นเป็นใบหน้านิ่งเฉยของขุนพลหนุ่มรูปงามแปลกหน้าคนหนึ่ง หากแต่คนที่รู้จักจะรับรู้ได้ทันทีว่า ที่แท้ ประมุขแห่งสัตตดาราคือขุนพลหนุ่มรูปงามในสังกัดกองซุนจ้าน นาม เตียวจูล่ง
ที่แท้ เตียวจูล่ง (ลูกมังกร) หรือ เตียวหยุน (เมฆ) สมควรใช้แซ่เตียว (จาง - จีนกลาง) เช่นเดียวกันกับเตียวก๊ก เตียวเหยียง และพรรคฟ้าเหลืองคนอื่นๆ หากแต่จูล่งต้องการซ่อนตัวเร้นกายมากกว่าปกติขั้นหนึ่ง จึงเลี่ยงไปใช้แซ่เตียว (เจ้า - จีนกลาง) ที่ชนท้องถิ่นบางสำเนียงออกเสียงพ้องกัน เพื่อให้เกิดความแตกต่างไปจากเดิม และนานเข้า ก็ยิ่งจงใจตัดทอนชื่อเรียกให้เหลือเพียง “จูล่ง” ไปเลยด้วยซ้ำ
“ทำได้ดีมาก เตียวเจียว ที่หลอกล่อให้ซุนเกี๋ยนติดตามเจ้ามาทิ้งชีวิตในที่นี้จนได้ งานของเจ้าจะได้ง่ายขึ้นกว่าเดิม ซุนเซ็กคนลูกห้าวหาญดุดัน แต่อ่อนชั้นเชิงทางปัญญากว่าคนพ่อ เจ้าจงลวงให้ซุนเซ็กเข้าใจว่า ซุนเกี๋ยนตายด้วยน้ำมือของพวกเล่าเปียว แล้วจากนี้ไป เจ้าจงควบคุมความคิดของมันไว้ และสร้างกองกำลังให้แข็งแกร่งขึ้น ครอบคลุมพื้นที่ทางใต้ให้ได้หมดสิ้น ต่อไปภายหน้า พื้นที่แดนใต้จะมาทดแทนขุมทรัพย์ประจำพรรคที่สูญหายไป” เตียวจูล่งกล่าวด้วยความมั่นใจ พลางเก็บป้ายหยกขาวคืนกลับมาจากร่างที่ไร้วิญญาณ
จูล่งยังคงกล่าวต่อกับดาวทั้งหก “พวกเราจะเปลี่ยนแปลงแผนการเล็กน้อย ใช้การลอบสังหารบุคคลสำคัญ เช่น เล่าหงี ให้เกิดความปั่นป่วนไปทั้งแผ่นดิน ยุยงไม่ให้พวกเจ้าเมืองเจ้ามณฑลเกิดความหวาดระแวงต่อกัน และไม่อาจกลับมารวมตัวร่วมมือกันได้อีก ยิ่งบ้านเมืองแตกแยกเป็นกลุ่มเป็นพวก ย่อมเป็นผลดีต่อกองกำลังพรรคฟ้าเหลืองให้สามารถระดมพลยึดครองพื้นที่กลับคืน แทนที่จะถูกรุมโจมตีอยู่เพียงฝ่ายเดียวเหมือนในอดีตที่ผ่านมา”
น่าเสียดายขุนศึกดาวเด่นอย่างซุนเกี๋ยนที่เชื่อมั่นในตนเองมากเกินไป ได้รับข่าวสารเกี่ยวกับขุมกำลังลึกลับ จึงลอบติดตามเตียวเจียวมาตามลำพังจนมาตกในวงล้อมของขุมกำลังสัตตดารา และสิ้นชีพไปเปล่าๆ ดูเหมือนขุมกำลังลับของพรรคฟ้าเหลืองภายใต้การควบคุมของเตียวจูล่ง จะมีความคืบหน้าเหนือล้ำไปกว่าเครือข่ายของสุมาเต๊กโช ยอดนักปราชญ์ผู้โด่งดัง ที่มีศักดิ์ฐานะเป็นอาจารย์อาเสียแล้ว
ห้องประชุมว่างลงอีกครั้งหนึ่ง เหล่าสมุนพรรคฟ้าเหลืองล้วนแยกย้ายกันไปหมด หลงเหลือเพียงเตียวจูล่ง ประมุขขุมกำลังสัตตดารา และดาวปกครอง ซึ่งก็คือ เตียวล่อ เจ้าเมืองฮันต๋ง และพ่อค้าเร่ร่อนที่เคยทำตัวลึกลับอยู่กับเล่าปี่ กวนอู เตียวหุย เมื่อหลายปีก่อน
ทั้งสองคล้ายมีความสนิทสนมกันระดับหนึ่ง จูล่งจึงดูผ่อนคลายลงกว่าเมื่อครู่มากนัก พลันถามไถ่เรื่องราวส่วนตัวต่อผู้อาวุโสเก่าแก่ของพรรค “ท่านอามีข่าวคราวของเจ๋าซือบ้างหรือไม่ หลายเดือนมานี้ นางเป็นอยู่อย่างไรบ้าง”
เตียวล่อมองตาของจูล่งตรงๆ พลางตอบ “ท่านไม่ต้องสำนึกเสียใจไปดอก เรื่องนี้นับว่าเล็กน้อยนัก เมื่อต้องเทียบกับภาระที่ท่านต้องแบกรับแทนพวกเรา จงปล่อยให้มันผ่านพ้นไปเถอะ”
“แต่ว่า ทุกครั้งที่ข้าต้องพูดคุยเผชิญหน้ากันกับท่านอาเตียวสิ้ว ข้าก็ไม่รู้สึกสบายใจเลย ภายในใจข้ายังละอายใจในเรื่องอื้อฉาวครั้งนั้น..” จูล่งก้มหน้าลงคล้ายสำนึกผิด ท่าทีประมุขหนุ่มเมื่อครู่หายไป แทนที่ด้วยบุรุษหนุ่มที่งมงายในบาปกรรมความรัก
“ภายใต้สภาวะสงครามวุ่นวายไปทั่วแผ่นดินเช่นนี้ ย่อมเกิดโจรผู้ร้ายมากมาย เพียงแต่เตียวเจโชคร้ายถูกสังหารตายอย่างงมงาย เหลือเพียงอาสะใภ้คราวลูกไว้ให้ดูแล” เตียวล่อเกลี้ยกล่อม “ว่าแต่จะเกิดอะไรขึ้น ท่านก็อย่าได้ไปพบกับนางอีกโดยเด็ดขาด มิเช่นนั้น เตียวสิ้วอาจจะจับพิรุธเอาได้ จะพลอยทำให้เสียงานใหญ่ไปอีกเปล่าๆ”
จูล่งพยักหน้าด้วยความเศร้าใจในชะตาชีวิต ทั้งๆที่สำนึกเสียใจ แต่ก็ไม่อาจแม้แต่จะพบหน้าเพื่อเอ่ยคำขอโทษ ในขณะที่เตียวล่อแอบส่งสายตากร้าว ราวกับสาสมใจในเรื่องราวอันใด
เตียวเจ หนึ่งในห้ามฤตยู ซึ่งเป็นผู้ช่วยคนสำคัญของตั๋งโต๊ะ ที่แท้ก็เป็นสายลับให้กับพวกพรรคฟ้าเหลือง และมีศักดิ์เป็นอาแท้ๆของเตียวสิ้ว ดาวองครักษ์ เพียงแต่ช่วงเวลาที่กำลังเกิดศึกสิบแปดเจ้าเมืองติดพันอยู่ที่เมืองหลวงนั้น เตียวเจที่สมควรรักษากองหนุนอยู่ที่เมืองเตียงอันกลับถูกมือสังหารลึกลับฆ่าตายที่ป่านอกเมือง คล้ายต้องการตัดขาดกำลังสนับสนุนของพวกตั๋งโต๊ะ
ผู้คนต่างคาดเดากันไปต่างๆนานา แต่ความคิดที่เป็นไปได้ที่สุด คือ ฝีมือใต้ดินของคนสกุลม้าแห่งเสเหลียง เป็นบัณฑิตคิ้วขาว ม้าเหลียงออกความคิด และขุนพลหนุ่มน้อยม้าเฉียว ลอบลงมือช่วยเหลือบิดาที่กำลังเล่นศึกอยู่อีกฟากฝั่งหนึ่ง
ในบรรดาห้ามฤตยูนั้น ต้องนับว่า เตียวเจเป็นมันสมองสำคัญให้กับทุกคน ดังนั้น การที่พวกสกุลม้าจะชิงลงมือลอบสังหารเตียวเจ จึงไม่นับว่า เกินความคาดหมาย และเมื่อกอปรกับการสูญเสียฮัวหยงที่เมืองหลวงด้วย ทำให้ห้ามฤตยูเสียทั้งคนที่มีปัญญาที่สุด และคนที่ฝีมือดีที่สุดไปในเวลาไล่เลี่ยกัน คนที่ยุ่งยากใจที่สุดย่อมเป็นลิฉุย กุยกี และหวนเตียว ที่ยังมีชีวิตอยู่
อย่างไรก็ตาม ความตายของเตียวเจและฮัวหยง ย่อมทำให้ขุมกำลังตั๋งโต๊ะอ่อนด้อยลงไปบ้าง ผ่อนคลายแรงกดดันแถบชายแดนที่มีต่อมณฑลเหลียงจิ๋ว เปงจิ๋ว ที่คนสกุลม้ากำลังแผ่อิทธิพลอยู่ เพียงแต่ไม่มีใครคาดคิดว่า พอเกิดอุบัติภัยรุนแรงที่แถบเมืองหลวงลกเอี๋ยงนั้น ตั๋งโต๊ะพาลสั่งการให้ย้ายเมืองหลวงมาเป็นเมืองสำรองเตียงอันเสียเลย
ม้าเท้งจึงตกที่นั่งลำบาก ต้องรีบร้อนกลับเมืองที่มั่นบ้างเช่นกัน เพราะศัตรู จู่ๆก็ย้ายมาอยู่เสียใกล้ชิดกันเหลือเกิน พร้อมเร่งให้ทุกจุดตระเตรียมความพร้อมในการป้องกันเมือง แต่ที่จริง ก็มิได้เกิดศึกสงครามอันใด ตั๋งโต๊ะเพียงใช้เวลาเฉพาะหน้าไปในการสร้างเมืองสร้างวัง และปรับสภาพเศรษฐกิจการค้าทดแทนแหล่งรายได้เดิม ทอดเวลาไปอย่างเลื่อนลอยอีกครั้งหนึ่ง
ต้องไม่ลืมว่า ม้าเท้งยึดครองเมืองเสเหลียง ถิ่นเก่าของทรราชย์ตั๋งโต๊ะ และเป็นจุดยุทธศาสตร์ในการเพาะพันธุ์อาชาพิเศษ ดังนั้น ม้าเท้งและพวกจึงต้องเร่งระดมกำลังพลเตรียมพร้อมไว้ตลอดเวลา เพราะไม่อาจคาดเดาจิตใจอันลึกซึ้งของขุนพลหมีทมิฬได้เลย
ชายหนุ่มวัยใกล้ยี่สิบสวมชุดนักสู้รัดกุม นั่งซึมเซาอยู่ในห้องลับ กรอกสุราใส่ปากตนเองจนมึนเมา ในใจอดตำหนิตนเองที่ไม่ได้ยับยั้งบิดาตามลางสังหรณ์ของตนเอง จนทำให้เกิดเหตุลอบสังหารครั้งนี้
เปลือกนอก ร่ำลือกันว่าเป็นฝีมือของเล่าเปียว แต่มันมีข้อมูลอยู่เต็มอกว่า มิใช่ ต้องเป็นฝีมือของขุมกำลังนั้นอย่างแน่นอน มันยังคงฝังใจอยู่กับการเคลื่อนไหวอันลึกลับของกุนซือคนใหม่นามเตียวเจียว และขุนพลคู่ใจของบิดานามเทียเภา จนไม่อาจไว้วางใจคนรอบข้าง ในใจนึกถึงเครือข่ายดั้งเดิมของตระกูล หากแต่จะทำเช่นไรจึงจะรื้อฟื้นการติดต่อกับคนอื่นของ “บิดา” ได้เล่า นั่นต่างหากคือปัญหาของมันผู้มีนามว่าซุนเซ็กในตอนนี้
มันจึงจำเป็นต้องเดินทางกลับมายังสถานที่ติดต่อแห่งนี้ เพื่อติดต่อกับตัวกลางที่พอจะเชื่อมโยงไปสู่รากฐานเก่าซึ่งเป็นผู้อาวุโสของตระกูลซุนทั้งสิ้น คาดไม่ถึงว่า พอมาถึงด้านหน้าโรงเตี๊ยม ก็ถูก “เชื้อเชิญ” ให้เข้ามารอในห้องลับเสียแล้ว
เสียงกลไกประตูดังขึ้น คนที่ก้าวเข้ามาเป็นคนแรกคือซุนแจ้ง ผู้เป็นน้องชายของบิดา และคนที่สองที่มีรูปร่างหน้าตาคล้ายกับบิดา นี่สมควรจะเป็นพี่ชายฝาแฝดที่มีนามว่า ซุนเฉียง ผู้นำตระกูลซุนรุ่นปัจจุบันแล้วกระมัง
นับตั้งแต่เติบโตขึ้นมาจนรู้ความนั้น ซุนเซ็กพบว่า น้อยครั้งที่คนตระกูลซุนแต่ละสายจะไปมาหาสู่กัน โดยบิดาอ้างว่า เพื่อปกปิดความลับบางอย่าง ทำให้ซุนเซ็กไม่คุ้นเคยกับบรรดาญาติพี่น้องที่อยู่ต่างครอบครัวกันมากนัก เคยเห็นหน้าค่าตาไม่กี่ครั้ง แต่วันนี้ มันกลับมีความรู้สึกว่า ท่านลุงซุนเฉียงคลับคล้ายกับบิดาเหลือเกิน ราวกับเป็นบุคคลคนเดียวกัน หรือว่า มันเมามายจริงๆเสียแล้ว
“ซุนเซ็กหลานเรา ถึงเวลาแล้วที่เจ้าจะได้รับรู้ความลับของตระกูลซุน แต่ก่อนอื่น ขอให้อาคันตุกะอีกคนได้เข้ามาร่วมรับฟังเรื่องราวไปพร้อมเพรียงกัน และขอให้เจ้าจงสะกดกลั้นอารมณ์เอาไว้ อย่าเพิ่งก่อความวุ่นวายใดๆ” ซุนแจ้งกล่าว พร้อมตบมือเป็นสัญญาณให้คนภายนอกก้าวเข้ามาเพ่ิมเติม
ซุนเซ็กตกตะลึงต่อผู้มาใหม่ เป็นขุนพลคู่บัลลังก์ เทียเภา หนึ่งในสองคนที่มันรู้สึกไม่สบายใจมาโดยตลอดนั่นเอง
“ลูกเซ็ก (คำเรียกหาผู้เยาว์) ค่อยๆฟังคำพูดของเราก่อน เร่ิมต้นจาก...” ฝาแฝดผู้พี่ของบิดาเริ่มเอ่ยปากเล่าความลับ ยิ่งรับฟังยิ่งทำให้ซุนเซ็กรู้สึกปวดสมองจนคล้ายจะระเบิด แต่ยังสู้กล้ำกลืนรับฟัง เพราะล้วนแต่เป็นเรื่องราวที่เกินคาดคิดทั้งสิ้น โดยเฉพาะข้อมูลเกี่ยวกับบทบาทใหม่ที่มันถูกคาดหวังไว้

หลายวันต่อมา เครือข่ายตระกูลซุนกลับได้รับข่าวร้ายเพิ่มเติม ซุนเฉียง ผู้นำตระกูลคนปัจจุบัน ติดโรคร้ายล้มป่วยจนตายไปอย่างกระทันหัน และเป็น ซุนแจ้ง ผู้เป็นน้องชายลำดับถัดไป รับหน้าที่สืบทอดตำแหน่งผู้นำตระกูลแทนแล้ว
แต่เหมือนซุนเซ็กจะไม่ใคร่ประหลาดใจเท่าไรนัก หลังจากที่มันรับฟังความลับจากท่านผู้เฒ่าเมื่อวันก่อน เรื่องราวต่างๆคล้ายม่านหมอกที่ซับซ้อนเกินไปจริงๆ
...

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา