3 ก.พ. 2021 เวลา 01:39 • นิยาย เรื่องสั้น
1.17. แทรกซึมขั้วอำนาจ
ซุนเซ็ก พยัคฆ์หนุ่มแดนใต้ - สองเสาหลักอาวุโส อุยกาย เตียวเจียว
ในห้องลับอีกแห่งห่างไกลออกไปเพียงไม่กี่สิบหลังคาเรือน ปราชญ์ใหญ่สุมาเต๊กโชก็กำลังนั่งปรึกษาสถานการณ์บ้านเมืองอยู่ตามลำพังกับตันก๋งคนสนิท พร้อมกับรับรู้เรื่องราวของข้อความลึกลับที่ปรากฏขึ้นในบ้านลิแปะเฉีย แต่ดูเหมือนสุมาเต๊กโชจะไม่แปลกใจในบุคคลที่สามเท่าไรนัก
“เรื่องของขุมกำลังลึกลับนั้น ข้ารู้เรื่องนี้มานานแล้ว มันคือขุมกำลังสัตตดาราของพรรคฟ้าเหลือง ซึ่งที่จริงแล้ว ข้าก็มีคนที่วางใจได้เป็นไส้ศึกอยู่ในกลุ่มนั้นแล้ว แต่ยังไม่สะดวกจะเปิดเผยว่ามันคือใครในตอนนี้ เจ้าจงจดจำรหัสลับระหว่างข้ากับมันไว้ นั่นคือ ยอมตายอย่างมีคุณค่า ดีกว่ามีชีวิตอย่างไร้ความหมาย”
ที่แท้ สุมาเต๊กโชก็ยังสมกับเป็นขิงแก่มากประสบการณ์ สามารถล่วงรู้ถึงขุมกำลังลับของจูล่ง และยังส่งคนเข้าไปแทรกซึมในกลุ่มสัตตดาราได้สำเร็จแล้วด้วย เพียงแต่คนที่ตันก๋งพบพานนั้นมาจากอีกกลุ่มหนึ่งจากอนาคตอันแสนยาวไกล ซึ่งสุมาเต๊กโชเองย่อมคาดไม่ถึงต่างหาก จึงไม่ได้นำเรื่องนี้มาขบคิดต่อ จนทำให้เกิดความยุ่งยากบานปลายในภายหลัง
“ถ้าเช่นนั้นแล้ว ข้าควรจะทำประการใดต่อไป” ตันก๋งถามแนวทางต่อไป
“ในขณะนี้ ขั้วอำนาจที่น่าสนใจ มีเพียงสี่กลุ่มเท่านั้น คือ กลุ่มตั๋งโต๊ะ อ้วนเสี้ยว ซุนเกี๋ยน ที่อยู่ในที่แจ้ง และขุมกำลังสัตตดาราที่อยู่ในที่ลับ กลุ่มทั้งสี่นี้มีความเข้มแข็งของกองทัพ และกระแสนิยมจากราษฎรมากพอให้เราเห็นได้โดยชัดเจน แต่เราก็มีคนเข้าไปอยู่กับขั้วอำนาจสำคัญต่างๆเหล่านี้แล้วทั้งสิ้น
ส่วนเจ้าเมืองใหญ่อื่นๆนั้น เช่น เล่าเปียว เล่าเอี๋ยน อ้วนสุด เงียมแปะฮอ กองซุนจ้าน โตเกี๋ยม เตียวล่อ ขงหยง นั้น เป็นเพียงไม้ประดับ ไร้ปณิธานอาจหาญ ประชาชนไม่ชื่นชมเท่าไหร่ จึงรอวันให้ถูกกลืนกินเท่านั้นเอง เว้นแต่ม้าเท้งกับโจโฉเท่านั้นที่ยังเพิ่งเริ่มต้นเส้นทางทางการเมือง ไม่แน่ว่าจะไปต่อได้ไกลสักเพียงไร” สุมาเต๊กโชประเมินสถานการณ์รอบด้าน แล้วกล่าวต่อว่า
“หากแต่ทวนไร้น้ำใจ ลิโป้เองก็เป็นตัวแปรสำคัญอยู่บ้าง ที่อาจจะพลิกขั้วแยกตัวออกจากตั๋งโต๊ะได้ทุกเมื่อ และจะกลายเป็นตัวแปรสำคัญต่อขุมกำลังทุกกลุ่ม ดังนั้น เจ้าควรจะเข้าไปแทรกซึมอยู่กับสายลิโป้ไว้ก่อน และดูทิศทางการเมืองต่อไป จงจดจำเอาไว้ พวกเราเพียงแทรกซึมและลดทอนกำลังของพวกกองกำลังต่างๆให้ได้มากที่สุดเท่านั้น เพื่อรอจังหวะที่พวกมันเข่นฆ่ากันจนสูญเสียหมดสิ้น แล้วพวกเราจะขึ้นสู่ฐานอำนาจที่มั่นคง และแข็งแรงกว่ากองทัพอื่นๆที่เหลือให้ได้”
ตันก๋งพยักหน้าตามอย่างเข้าใจ พลางถามไถ่ขึ้นด้วยความห่วงใยว่า “กลุ่มทายาทมังกรเป็นอย่างไรแล้ว ท่านสุมา”
กลุ่มทายาทมังกรคือเด็กน้อยอัจฉริยะ คนรุ่นต่อไปของเครือข่ายสุมาที่สุมาเต๊กโชลงทุนฝึกสอนเป็นการลับเฉพาะเพื่อสร้างคนไว้เสริมแผนการขั้นต่อไป โดยรู้กันเพียงแต่ตันก๋งคนสนิทเท่านั้น
“นั่นคือสาเหตุที่เรากลับมาล่าช้าไปหลายวัน ข้าเพิ่งได้ตัวอัจฉริยะรุ่นเยาว์กลับมาสมทบอีกหนึ่งคน ทำให้กลุ่มทายาทมังกรครบจำนวนห้าคนตามที่ต้องการแล้ว” สุมาเต๊กโชแย้มยิ้มด้วยความพึงพอใจ พลางกล่าวต่อ
“ไม่ต้องเป็นกังวลไป ลูกอี้เราช่างเป็นยอดคนที่ฉายแววตั้งแต่วัยเยาว์ บัดนี้ ถึงกับสามารถถ่ายทอดวิชาให้กับศิษย์น้องของมันแทนข้าได้แล้ว เมื่อสถานการณ์บ้านเมืองเริ่มชัดเจนขึ้น เราก็จะดำเนินแผนขั้นสุดท้าย นั่นคือ การส่งพวกมันทั้งห้าให้กระจายไปตามขั้วอำนาจต่างๆที่ยังเหลืออยู่ แล้วให้พวกมันประสานงานกันเพื่อลดทอนพลังอำนาจของทุกๆฝ่ายลง พร้อมกับค่อยๆยึดอำนาจทางทหารเข้ามาไว้กับตัว จากนั้น แผนการที่จะรวมแผ่นดินเป็นหนึ่งเดียวก็จะสำเร็จลงโดยง่าย ฮ่าฮ่าฮ่า”
ตันก๋งก็พลอยโล่งใจหายห่วงไปด้วย เพราะหนึ่งในทายาทมังกรก็คือ ตันฮก บุตรชายของมันที่หวังให้มีอนาคตที่ดีต่อไป
แผนการของสุมาเต๊กโชฟังดูคล้ายสมบูรณ์ครบถ้วนดีแล้ว หากแต่คนเรายากจะหยั่งรู้จิตใจภายในได้ อีกทั้งชะตาชีวิตของคนเรายากจะฝืน แม้ว่าจะเป็นซินแสคันฉ่องวารีก็มิอาจสมหวังดั่งใจไปทุกเรื่อง จึงทำให้แผนการของมันต้องล่าช้าไปอีกหลายสิบปีเลยทีเดียว
ในยามนั้น รัฐบาลแผ่นดินฮั่นภายใต้การดูแลของผู้สำเร็จราชการตั๋งโต๊ะเป็นเพียงรัฐบาลที่ไร้อำนาจควบคุม เจ้านครใหญ่ต่างๆล้วนตั้งตนเป็นอิสระ ไม่ส่งส่วยบรรณาการตามที่ควรจะเป็น ทำให้เมืองหลวงเตียงอันที่ตั้งอยู่ในมณฑลเซียงจิ๋วไม่อาจพัฒนาขึ้นสู่จุดสูงสุดทางเศรษฐกิจแทนที่เมืองหลวงเก่าลกเอี๋ยงได้เลย แถมยังรุมล้อมด้วยขุมกำลังต่างๆที่รอเวลาขย้ำเหยื่อชิ้นใหญ่อันโอชะที่ตั้งอยู่ตรงใจกลางแผ่นดินพอดี
ปัญหาดังกล่าว เป็นเรื่องที่สร้างความกังวลใจต่อเสือเก่ามากประสบการณ์อย่างตั๋งโต๊ะแน่นอน จึงได้ให้เอียวปิด หัวหน้าสายการข่าว กับกุนซือลิซก ช่วยกันวิเคราะห์โดยละเอียดให้ลิโป้ และเหล่าขุนพลนักรบเข้าใจไปพร้อมกันในห้องประชุมทหาร เพื่อให้เห็นสภาพสมรภูมิรบในช่วงต้นนี้
สองขุนนางสำคัญ เอียวปิด ลิซก ผลัดกันนำเสนอด้วยแผนที่ผืนหนังวัวปะติดปะต่อกันขนาดใหญ่ที่ห้อยแขวนลงมาจากเพดานสูง แสดงการตัดแบ่งอาณาเขตตามเขตมณฑลตั้งแต่สมัยแผ่นดินฮั่นดั้งเดิม
“ทางฟากฝั่งเหนือตามเส้นแบ่งเขตธรรมชาติคือแม่น้ำฮวงโหนั้น นอกจากอ้วนเสี้ยวแห่งกิจิ๋วที่ชิงลงมือแผ่ขยายกำลังคลุมเกือบสองมณฑลกิจิ๋ว-เปงจิ๋วไปก่อนแล้ว ก็ยังมีกองซุนจ้านแห่งปักเป๋งที่กินอิวจิ๋วหนึ่งมณฑลด้านเหนือสุด และม้าเท้งแห่งเสเหลียงที่กินเหลียงจิ๋วหนึ่งมณฑลด้านตะวันตกเฉียงเหนือเช่นกัน หากประเมินในเวลานั้น คนทั้งสามล้วนมีศักยภาพกองทัพสูงส่ง ซ้ำยังมีสายสัมพันธ์ชนเผ่านอกด่านซับซ้อน จนยากจะตัดสินว่า ฝ่ายใดเข้มแข็งมากกว่ากัน
ฝั่งตะวันตกเป็นภาพที่ชัดเจนของสองขุมกำลังสำคัญ เตียวล่อแห่งฮันต๋ง และเล่าเอี๋ยนแห่งเสฉวน ต่างฝ่ายต่างแบ่งครองเอ๊กจิ๋วฝ่ายละครึ่งมณฑลซึ่งมีพื้นที่กว้างใหญ่เกือบเท่ากับพื้นที่อื่นหนึ่งมณฑลเลยทีเดียว ด้วยความที่เป็นเทือกเขาสลับซับซ้อนกระจายตัวล้อมรอบหุบเขาอันสมบูรณ์ ยังดีที่ทั้งสองคล้ายไม่สนใจความเป็นไปในแผ่นดิน จึงไม่ค่อยมายุ่งเกี่ยวกับเรื่องราวนอกอาณาเขตสักเท่าไหร่
ฝั่งตะวันออกกลับดูสับสนวุ่นวาย ดูยากว่าใครเข้มแข็งกว่ากัน เพราะเป็นที่ราบโล่งกว้างใหญ่ แต่ละมณฑลเชื่อมต่อกันหมด ไม่มีจุดพักตัดขาด ทำให้เดินทางไปมาได้สะดวกเกินไป กลายเป็นสมรภูมิที่ป้องกันยาก จู่โจมง่าย แต่ละขุมกำลังล้วนแข่งกันแผ่ขยายอำนาจกินพื้นที่ให้มากขึ้น แต่หลีกเลี่ยงการปะทะกันด้วยศึกสงคราม โดยมีจุดเด่นที่แตกต่างกันออกไป
ขงหยงแห่งปักไฮ อาศัยภาพลักษณ์ชื่อเสียงทายาทของขงจื้อ ยึดครองพื้นที่ส่วนบนคุมเฉงจิ๋วหนึ่งมณฑล ถัดลงมา ขุนนางเก่าโตเกี๋ยมอ้างอิงเส้นสายเครือข่าย ขยายอำนาจกินชีจิ๋วไปหนึ่งมณฑล อ้วนสุดแห่งลำหยงจากตระกูลขุนนางใหญ่หลายชั่วคน ใช้บารมีสั่งสมจากบรรพบุรุษ กินห้วยหนานหนึ่งมณฑล และโจโฉแห่งตันลิว อาศัยชื่อเสียงผู้กล้า “นักฆ่ากระบี่เจ็ดดาว” กินกุนจิ๋วหนึ่งมณฑล ซึ่งทั้งสองขุมกำลังหลังนี้ กำลังกลืนกินพื้นที่ของขงมอแห่งอิจิ๋วที่ขาดสิ้นบารมีอำนาจไปอีกหนึ่งมณฑลด้วย จนไม่อาจชี้ชัดว่า ผู้ใดจะได้ส่วนแบ่งไปมากน้อยเพียงไร นับเป็นเขตแดนที่ยังคงแปรเปลี่ยนอยู่ตลอดเวลา
สุดท้าย เขตแดนฝั่งด้านล่างลงไป มีเทือกเขาสูงสลับกันกับแม่น้ำไต้กังเป็นเส้นแบ่งเขตทางธรรมชาติเช่นเดียวกันกับแม่น้ำฮวงโห แบ่งกั้นพื้นที่ราบลุ่มทางตอนล่างถัดลงไป ทำให้การเคลื่อนทัพมีอุปสรรคอยู่บ้าง กลุ่มกองกำลังด้านนั้นยังไม่ชัดเจนนักเช่นกัน เริ่มจาก เล่าเปียว เชื้อพระวงศ์อาวุโสที่ยึดครองมณฑลเกงจิ๋วเหนืออย่างสงบนิ่งมานาน และกำลังถูกท้าทายด้วยซุนเกี๋ยนที่ยึดกลุ่มเมืองในมณฑลเกงจิ๋วใต้ แต่เล่าเปียวก็ยังมีบารมีมากพอที่จะผลักดันหุ่นเชิดเล่าอิ้วให้ข้ามฟากไปกินเมืองชีสอง กดดันเงียมแปะฮอแห่งต๋องง่อ ไม่ให้ครอบคลุมมณฑลเองจิ๋วได้ทั้งหมด
ตรงบริเวณนี้ ยังมีขุนนางนายทหารอีกจำนวนหนึ่งที่ดูแลเมืองเล็กเมืองน้อย กระจัดกระจายอยู่อย่างสันติ โดยยอมโอนอ่อนไปตามแรงกระเพื่อมของกระแสการเมืองที่สั่นไหวอยู่ในดินแดนนั้น เพื่อรักษาพื้นที่การปกครองของตนเองไว้ อาทิเช่น ขุนพลเตียวสิ้ว เมืองอ้วนเซีย ขุนนางอองเอี๋ยน เมืองห้อยเข เป็นต้น”
“เราได้ยินมาว่า ซุนเกี๋ยนถูกเล่าเปียวลอบสังหาร สมควรเกิดคลื่นลมรุนแรงทางด้านใต้บ้างแล้วกระมัง” สมุหกลาโหม ลิโป้ ในยามนี้ มิใช่แค่นักรบธรรมดา กลับเริ่มมีความเข้าใจทางการศึกสงครามมากขึ้นกว่าแต่ก่อนแล้ว
“ถูกต้อง ขุมกำลังของซุนเกี๋ยนอันแข็งแกร่ง พอหัวหน้าใหญ่ถูกสังหารตาย ถึงกับแตกสลายย่อยยับ ไม่ต่างจากเตียวก๊กแห่งพรรคฟ้าเหลืองในอดีตเลยแม้แต่น้อย” เอียวปิดกล่าวสรุปให้เห็นภาพได้ชัดเจนยิ่งนัก “สภาพของมณฑลเกงจิ๋วใต้นั้น ที่จริงมีเพียงห้าเมืองใหญ่ เตียงสา บุเหลง กังเหลง เลงเหลง และฮุยเอี๋ยง เจ้าเมืองทั้งห้าต่างแยกย้ายขอไปขึ้นกับอ้วนสุด เล่าเอี๋ยน เล่าเปียว และเล่าอิ้ว ที่อยู่รายล้อมตรงนั้นแล้ว”
กุนซือลิซกกล่าวเสริมขึ้น “เพียงแต่ซุนเซ็ก บุตรชายคนโตของซุนเกี๋ยน แม้ว่าจะอายุยังน้อย อ่อนด้อยประสบการณ์ แต่ก็เป็นคนมีความสามารถ อีกทั้งลูกสมุนเก่าตระกูลซุนก็มีไม่น้อย อาจจะสามารถกลับมาผงาดได้อีกครั้งหนึ่ง”
ตั๋งโต๊ะ จอมทรราชย์เริ่มรำคาญใจ กล่าวตัดบทขึ้น “เอาเป็นว่า หากพวกมันยังกัดกินกันเองเช่นนี้ พวกเราที่เมืองเตียงอันก็จะปลอดภัยไร้เรื่องราวก็แล้วกัน ลิโป้ ลิฉุย กุยกี จงจัดการกองทัพทั้งหลายให้เข้มแข็งพร้อมรบในเร็ววัน พวกเราจะตั้งรับที่เมืองนี้ ไม่จำเป็นต้องพยายามรุกคืบให้เหนื่อยยากในช่วงเวลานี้”
ขุนนางนายทหารในห้องประชุมทหารขานรับคำสั่ง บางที กลยุทธ์ที่เหมาะสมที่สุดในยามนี้ คือ การสร้างความเข้มแข็งไว้ในจุดเดียว อย่างที่ผู้สำเร็จราชการว่ากล่าวออกมาแล้ว รัฐบาลฮั่นจึงเลือกใช้การสงบนิ่งแทนการเคลื่อนไหวอยู่เช่นนั้นเอง ปล่อยให้เหล่าปลาเล็กปลาน้อยผลัดกันรุกผลัดกันรบกันไปพลางๆก่อน
เพียงแต่ลิซก-อีกาแห่งหน่วยปักษาสวรรค์ กลับลอบอมยิ้ม ที่แผนการถ่วงเวลาให้สถานการณ์ภายนอกสุกงอมได้ถูกดำเนินการขึ้นแล้ว
หลังจากข่าวการตายของซุนเกี๋ยน โดยการลอบสังหารของเจ้าถิ่น “เล่าเปียว” แพร่สะพัดออกไปทั่วแผ่นดิน ทำให้กลุ่มหัวเมืองเตียงสาทางใต้ในการปกครองของซุนเกี๋ยน เริ่มเกิดความระส่ำระสายอย่างหนักดั่งที่ทุกคนคาดคิด ขุนนางนายทหารที่เคยอยู่ใต้ร่มธงเจ้าพ่อแดนใต้ ถึงกับลาออกจากกลุ่มไปขอสมัครกับขุมกำลังอื่นเป็นจำนวนมาก
แม้แต่ขุนพลคนสนิทอย่างเทียเภาและฮันต๋ง ก็ยังอ้างเรื่องป่วยไข้ หายสาบสูญไปจากวงการการทหารเสียแล้ว จนสุดท้าย เจ้าเมืองในสังกัดทั้งหลายถึงกับหมดความเชื่อมั่นในอำนาจบารมีของพยัคฆ์น้อย แยกย้ายกันไปสวามิภักดิ์กับเล่าเปียวแห่งเกงจิ๋วบ้าง เล่าเอี๋ยนแห่งเสฉวนบ้าง และเล่าอิ้วแห่งชีสองบ้าง
นับว่ายังโชคดีที่ทายาทคนโต ซุนเซ็ก หนึ่งในอดีตสี่ยอดคุณชายแห่งเมืองหลวงนั้น ได้เตียวเจียว กุนซือหน้าใหม่ และอุยกาย ขุนพลลำดับที่สามของบิดา เป็นเสาหลักบุ๋นบู๊ ให้คำปรึกษาอยู่เคียงข้างอย่างใกล้ชิด นำพาให้ซุนเซ็กไปสวามิภักดิ์ต่ออ้วนสุดแห่งฉิวฉุนเป็นการชั่วคราว เพื่อเพาะบ่มชื่อเสียงบารมีขึ้นมาใหม่ในฐานะขุนศึกสายเลือดนายทหารเก่า ซึ่งอ้วนสุดก็รู้สึกยินดี และได้จัดให้ซุนเซ็กไปดูแลกองกำลังอยู่ที่เมืองตันเอี๋ยง เน้นให้เพิ่มประสิทธิภาพการรบอย่างเต็มกำลัง
ที่จริง สภาพการยุทธศาสตร์ทางตะวันออกในช่วงเวลานั้น อ้วนสุดกำลังเป็นฝ่ายที่เพลี่ยงพล้ำต่อขุมกำลังโจโฉที่กล้าแข็ง จนต้องยอมเสียที่มั่นเดิมเมืองลำหยงไปแล้ว แต่กองพลของอ้วนสุด และอำนาจบารมีของอ้วนสุดยังมั่นคงเพียงพอที่จะตั้งรับศึกไว้ได้ที่เมืองฉิวฉุนอีกรอบหนึ่ง กองทัพของอ้วนสุดนั้น ไม่มีขุนพลนายทหารที่โดดเด่น แต่แนวทางการบริหารกองทัพ และการควบคุมดูแลเมืองใหญ่น้อยของสกุลอ้วนเป็นศาสตร์ที่เลื่องชื่อ สืบทอดกันมายาวนาน กลับทำให้พวกสกุลอ้วน ทั้งอ้วนเสี้ยว และอ้วนสุด สามารถผงาดขึ้นมาได้อย่างแข็งแกร่งจริงๆ
การที่ซุนเซ็กมาขอสวามิภักดิ์ต่ออ้วนสุด จึงเหมือนเป็นการเติมเชื้อฟืนส่วนที่ขาดหายไปให้แก่กัน อ้วนสุดต้องการขุนพลเอกไว้ใช้สอย ซุนเซ็กต้องการประสบการณ์ด้านการนำทัพลงศึก จึงเป็นการอยู่ร่วมกันแบบได้ประโยชน์ทั้งสองฝ่าย แทนที่จะต้องหันมาประหัตประหารกันเองในใจกลางสมรภูมิรบแถบนั้น
หากดูเผินๆแล้ว การเปลี่ยนสภาพจากผู้นำขุมกำลังมาแรง กลายมาเป็นลูกน้องของอ้วนสุดผู้ยิ่งใหญ่นั้น คล้ายจะลดฐานะให้ด้อยค่าลง แต่ที่จริงแล้วนั้น ซุนเซ็กกลับได้ประโยชน์ในการเรียนรู้การบริหารกองทัพและอาณาจักรที่เป็นระบบระเบียบมาจากอ้วนสุดมาไม่น้อยเลย และได้ทดลองด้วยตนเองอีกหลายครั้งหลายหน จนเริ่มมีความมั่นใจในการนำทัพมากขึ้น ราวกับได้อาศัยปัจจัยของอ้วนสุดในการฝึกปรือฝีมือรบร่วมกันกับเตียวเจียว และอุยกาย สองเสาหลักบุ๋นบู๊ดั้งเดิม
ยังมี ซุนเซ็กเองได้เปิดทางเลื่อนขั้นให้ จิวยี่ อีกหนึ่งยอดคุณชายที่เป็นเพื่อนสนิทวัยเรียน และเป็นลูกชายของอดีตผู้ว่าเมืองลกเอี๋ยง กับโลซก สหายใหม่ที่เป็นเศรษฐีหนุ่มมากน้ำใจ และลูกศิษย์ทางการค้าของเจ้าสัวเกียว เข้ามาดำรงตำแหน่งสำคัญในกองกำลังของตน ปรับปรุงกองทัพแห่งเมืองตันเอี๋ยงให้แข็งแกร่งขึ้นมาในนาม กองทัพพยัคฆ์หยก
หากจะกล่าวไปแล้ว การแตกสลายของกลุ่มซุนเกี๋ยนนั้น คล้ายดั่งการยอมถอยก้าวใหญ่เพื่อการรุกคืบหน้าของตระกูลซุน ซุนเกี๋ยนนั้นเลื่องชื่อในการรบก็จริง หากแต่การดูแลรักษาฐานที่มั่นกลับมีปัญหา พอขุมกำลังเมืองเตียงสาเติบใหญ่ ก็เริ่มส่อเค้าความยุ่งเหยิงวุ่นวาย พื้นที่ทุรกันดารไม่อาจเลี้ยงดูกองทัพใหญ่ ทำให้สูญเสียกำลังขับดัน และกลายเป็นเป้าหมายให้รุมโจมตีจากพวกสกุลเล่านั่นเอง
แต่เมื่อหัวหน้าใหญ่สกุลซุนเปลี่ยนมือไปแล้ว ความตึงเครียดจึงสูญสลายลงไปพร้อมกันด้วย กุนซือใหญ่จึงเสนอให้ยอมลดบทบาทชั่วคราว เพื่อเรียนรู้งานจากขุมกำลังอื่นที่มีรากฐานมั่นคงยาวนาน และมองหาจุดเปราะบางในการก้าวกระโดดครั้งใหญ่อีกครั้ง จึงเป็นที่มาให้คนทั้งหลายแยกย้ายกันไปขึ้นกับอ้วนสุดและพวกสกุลเล่าทั้งสามตามสถานการณ์ที่ควรเป็นไป
เมื่อผ่านช่วงเวลาที่ยอมอดทนอดกลั้นมาหลายปี เตียวเจียวประเมินได้ว่า จุดเปราะบางของขุมกำลังสามประสานสกุลเล่า คือ เล่าอิ้ว ตัวแทนเล่าเปียวที่ถูกส่งออกมาเป็นกันชนหน้าด่านนั่นเอง ซึ่งมีตำแหน่งที่ตั้งอุดมสมบูรณ์ แต่รากฐานไม่แข็งแรง ผู้นำไม่เด็ดเดี่ยว หากแอบข้ามฟากชิงจู่โจมอย่างกระทันหัน จะทำให้แรงกดดันฝ่ายตระกูลเล่าลดทอนลงอย่างมากในทันที เมืองชีสองจึงสมควรจะเป็นเป้าหมายแรกในการลงมือเพื่อสร้างฐานที่มั่นแห่งใหม่
ความเข้มแข็งของขุมกำลังเมืองชีสองนั้น มิใช่เจ้าเมืองหุ่นเชิดเล่าอิ้ว หรือยุทธศาสตร์ที่ตั้งที่โดดเด่น หากแต่เป็นขุนพลสำคัญนามว่า ไทสูจู้ ที่เพิ่งเข้าร่วมทัพกับเล่าอิ้วด้วยความสัมพันธ์ส่วนตัวในอดีต
ไทสูจู้ในยามนั้น เป็นนายทหารที่มีชื่อเสียงพอสมควรแล้ว ด้วยผลงานจากศึกพรรคฟ้าเหลืองในอดีตที่เคยฝ่าวงล้อมโจรพาคนมาช่วยเหลือขงหยงแห่งปักไฮมาก่อน เพียงแต่เล่าอิ้วเบาปัญญา กลับไม่ดูแลต้อนรับให้สมกับฐานะ ปล่อยให้ไทสูจู้อยู่อย่างคับแค้นใจ ทั้งๆที่อุตส่าห์มาสวามิภักดิ์ด้วยความเป็นคนบ้านเดียวกัน
เปลือกนอกที่ผู้คนร่ำลือ เรื่องราวความบาดหมางใจของไทสูจู้กับเล่าอิ้วก็เป็นเช่นนั้น หากแต่ที่จริงแล้ว ขุนพลคนดังมุ่งหวังสวามิภักดิ์ต่อสกุลซุนตั้งแต่แรกแล้ว แต่เป็นจิวยี่ที่กำลังต้องการหนึ่งหมากเร้นลับสร้างกระแสให้กับฝ่ายตน โดยการเสนอให้ไทสูจู้ได้สร้างผลงานสำคัญตามกลยุทธ์จารชน จึงทำให้ขุนพลผู้มาใหม่ต้องไปสวามิภักดิ์กับเล่าอิ้วเสียก่อน เพื่อทำลายความน่าเชื่อถือของเล่าอิ้วจากภายในขุมกำลัง เพราะการที่ขุนพลชื่อดังถูกดูแลแบบทิ้งๆขว้างๆเช่นนี้ กลับส่งผลเสียต่อภาพลักษณ์ผู้นำอย่างรุนแรง
จึงเป็นไทสูจู้เองที่ลอบส่งข่าวเป็นไส้ศึกให้กับซุนเซ็ก มีโอกาสเข้าจู่โจมแบบข้ามฟาก ยึดครองเมืองชีสองได้โดยง่าย แถมยังแสร้งติดตามหลบหนีไปกับเล่าอิ้วอีกหลายครั้ง เรียกระดมกำลังพลมาต่อต้านอีกหลายหน เพื่อเปิดโอกาสให้ฝ่ายตรงข้ามยึดครองทั้งเชลยศึกและพื้นที่เพิ่มเติมจนแทบจะกลืนกินอาณาเขตเดิมของเล่าอิ้วไว้ได้ทั้งหมด กลายเป็นทรัพยากรการเริ่มต้นใหม่ของขุมกำลังสกุลซุนอีกครั้งหนึ่ง โดยชื่อเสียงของพยัคฆ์น้อยไม่ได้บอบช้ำเสียหาย ซ้ำยังกลายเป็นวีรกรรมน่าเลื่อมใส คงถึงคราวที่คนสกุลซุนจะได้กลับคืนสู่ถิ่นกังตั๋งแล้ว
ผลงานที่ยิ่งใหญ่เกินไปย่อมทำให้อ้วนสุดเกิดความระแวงแคลงใจ ซุนเซ็กจึงแสดงเจตนาที่จะสร้างความกดดันต่อพวกเล่าเปียวและเงียมแปะฮอกลับคืนไปบ้าง พร้อมทั้งเสนอตราหยกจักรพรรดิ์ที่ซุนเกี๋ยนได้มาจากเมืองหลวงนั้น เพื่อแลกเปลี่ยนกับดินแดนกังตั๋งใหม่ และกองกำลังพยัคฆ์หยกทั้งหมด ซึ่งอ้วนสุดก็พอเข้าใจได้ว่า หากไม่ยอมแลกเปลี่ยน ก็จะสูญเสียทุกอย่างอยู่ดี จึงแสร้งทำเป็นคนใจกว้าง ยกย่องซุนเซ็กให้เป็นกองกำลังอิสระ คล้ายดั่งกรณีเล่าเปียวกับเล่าอิ้วเมื่อกาลก่อน
ดังนั้น ซุนเซ็ก ไทสูจู้จึงคงใช้กลยุทธ์แมวไล่จับหนู ทำลายชื่อเสียงบารมีของเล่าอิ้ว และตีกินพื้นที่โดยรอบไปอีกหลายครั้ง จนสุดท้าย เล่าอิ้วทนแรงกดดันซ้ำซ้อนไม่ไหว ล้มป่วยจนกระอักเลือดตาย ปิดฉากขุมกำลังเงา พันธมิตรลับของเล่าเปียวอย่างเป็นทางการ และเริ่มต้นขุมกำลังกังตั๋ง พันธมิตรแจ้งของอ้วนสุดแทน
แผนการแทรกซึมขั้วอำนาจประสพผลสำเร็จ เพียงไม่กี่ปี ขุมกำลังเตียงสาที่เคยถูกสกัดจุดตายกลางกระดานรบ ค่อยกลับฟื้นคืนมาใหม่ ​ซ้ำยังมีความแข็งแกร่งและยิ่งใหญ่ขึ้นกว่าเดิม ด้วยกระแสความสำเร็จที่กุสร้างขึ้นโดยความคิดของจิวยี่ ไทสูจู้ กลายเป็นขุมกำลังกังตั๋ง ภายใต้การนำของพยัคฆ์น้อยซุนเซ็ก
ณ ที่ว่าการมณฑลเกงจิ๋วเหนือ เชื้อพระวงศ์อาวุโส เล่าเปียว รู้สึกร้อนรุ่มใจในการสูญเสียขุมกำลังลับเล่าอิ้ว และการเปิดตัวของขุมกำลังกังตั๋งของพวกสกุลซุน ซึ่งกระทบกระเทือนแผนการสร้างดุลย์อำนาจของตน ความแค้นที่ลอบสังหารบิดาย่อมทำให้พยัคฆ์น้อยอาฆาตจนมิอาจร่วมฟ้า แต่ตนเองก็อยู่ในฐานะสูงส่งเกินกว่าจะไปอธิบายความกับเด็กหนุ่มใจนักเลง ดังนั้น การล้างแค้นด้วยพลังแค้นเพลิงโทสะจึงอาจเกิดขึ้นได้ทุกเมื่อ
ครั้งนี้ มันจึงได้แต่เชื้อเชิญคนมีปัญญามาปรึกษาหารือกันโดยเร็ว และคนผู้นั้นก็คือ หนึ่งในอดีตสี่วิญญูชนนครหลวง นามว่า จูกัดกุ๋ย น้องร่วมสาบานของญาติผู้พี่ที่ซ่อนตัวงำประกายอยู่ในละแวกใกล้เคียง เพื่อดำเนินแผนการอยู่อย่างลับๆ
จริงอยู่ที่ช่วงหลังมานี้ ท่านพี่เภาก้วยเริ่มมีความรู้สึกที่ไม่ดีต่อน้องร่วมสาบานคนอื่นๆบ้างแล้ว หากแต่มันยังคิดเห็นว่า บุคคลพวกนี้มีความสามารถแท้จริง หากปรึกษาหารือ ย่อมได้เรื่องได้ราวกลับมาบ้าง โดยเฉพาะบัณฑิตแซ่จูกัด
จูกัดกุ๋ยในชุดขนนกลายพร้อยเดินทางมาถึง แต่กลับมาพร้อมกับชายหญิงคู่หนึ่ง ฝ่ายชายดูทะมัดทะแมง องอาจห้าวหาญดั่งขุนพลฝีมือดี ส่วนฝ่ายหญิงกลับดูบอบบาง งดงามอ่อนช้อย สะกดให้ความคิดของเล่าเปียวกระเจิดกระเจิงไปชั่ววูบ
จูกัดกุ๋ยโบกพัดขนนกแย้มยิ้มพร้อมกล่าวแนะนำตัวคนทั้งสองอย่างเป็นทางการ เป็นพี่น้องเชื้อสายขุนนางสกุลชัว นามว่า ชัวมอ และชัวเตี๋ย (ผีเสื้อ) พลางเสริมขึ้น “สิ่งที่ท่านขาดหายไปในยามนี้ ก็คือบริวารคู่ใจ เราจึงคัดสรรคนดีมาให้กับท่านโดยเฉพาะ ชัวมอเป็นลูกหลานขุนนาง เคยฝึกฝนวิทยายุทธ์และพิชัยสงครามมาไม่น้อย สมควรเป็นขุนพลคู่ใจแบ่งเบาภาระให้กับท่านได้ ส่วนชัวเตี๋ยเป็นหญิงงามกุลสตรี ย่อมสามารถช่วยดูแลงานบ้านงานเรือนให้กับท่านไปได้อีกนาน”
เล่าเปียวในวัยห้าสิบปีเศษ เพิ่งสูญเสียภรรยาสุดที่รักไปเมื่อหลายเดือนก่อน รู้สึกกระจ่างวูบตรงหน้า จูกัดกุ๋ยสมกับเป็นนักปราชญ์มากปัญญา มันเพียงเรียกพบเพื่อปรึกษาหารือเรื่องการเมือง คิดไม่ถึง มันกลับจัดการให้ได้ในทันที ทั้งงานเมือง งานบ้าน ในคราวเดียว จึงได้แต่ลูบหนวดยกย่องชมเชย “สุดยอด ประเสริฐแท้”
ก่อนจาก จูกัดกุ๋ยยังฝากข้อความส่งท้าย “ข้าน้อยย้ายถิ่นฐานมาหลบซ่อนตัวอยู่ในเมืองใหญ่มาหลายปีแล้ว ครอบครัวเริ่มมีลูกหลานเติบใหญ่ จำเป็นต้องใช้พื้นที่อาศัยมากขึ้น เมื่อไม่นานนี้ พบเห็นหุบเขารกร้างแห่งหนึ่งน่าสนใจ เหมาะแก่การเพาะปลูกเลี้ยงสัตว์ยิ่งนัก จึงขอให้ท่านช่วยส่งเสริมด้วย”
เล่าเปียวพยักหน้าอนุญาต ฝากให้ชัวมอช่วยดูแลจัดการ ต่อไปนี้ มันคงเบาใจขึ้นที่มีทั้งขุนพลมือดี และนักปราชญ์ชั้นเยี่ยมอยู่ให้ปรึกษาความได้ ส่วนงานบ้านก็จะมีฮูหยินคนใหม่แซ่ชัวมาเสริมเพิ่มเช่นกัน ต่อไป ค่ำคืนก็คงไม่ต้องเดียวดายแล้ว
...

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา