Blockdit Logo
Blockdit Logo (Mobile)
สำรวจ
ลงทุน
คำถาม
เข้าสู่ระบบ
มีบัญชีอยู่แล้ว?
เข้าสู่ระบบ
หรือ
ลงทะเบียน
หนังสือสนทนากับพระเจ้า
•
ติดตาม
2 ก.พ. 2021 เวลา 04:48 • หนังสือ
#45 เล่ม 1 บทที่ 13 หน้า 277 ~ 286
N : ผมจะแก้ปัญหาสุขภาพที่เป็นอยู่นี้อย่างไรดีครับ? ผมต้องเป็นเหยื่อของความเจ็บป่วยเรื้อรังมากมายจนกระจายไปได้สามชาติเลยนะเนี่ย ทำไมผมถึงต้องถูกรุมเร้าด้วยโรคพวกนี้ในตอนนี้ด้วย หมายถึง`ในชาตินี้`น่ะครับ?
G : อย่างแรกเลยนะ เรามาคุยกันตรงๆเรื่องหนึ่งก่อน "เธอรักความเจ็บป่วย" รักมันแทบทุกโรคเลย 🔸เธอใช้ความเจ็บป่วยอย่างชื่นชมเพื่อจะสงสารและเรียกร้องความสนใจให้ตัวเอง🔸
1
มีไม่กี่ครั้งเท่านั้นล่ะที่เธอไม่ได้รักความเจ็บไข้ได้ป่วย ซึ่งนั่นก็เมื่อมันไปไกลจนกู่ไม่กลับแล้ว "ไกลเกินกว่าที่เธอคิดไว้ตอนสร้างขึ้นมาครั้งแรก"
ทีนี้จงเข้าใจสิ่งที่เธออาจรู้อยู่แล้วนั่นคือ ✴️ความเจ็บป่วยทุกชนิดเกิดขึ้นจากตัวเธอเอง✴️
กระทั่งแพทย์แผนปัจจุบันทั่วไปยังเริ่มเห็นแล้วว่า ผู้คนทำให้ตัวเองป่วยได้อย่างไร
คนส่วนใหญ่ทำอย่างนี้โดย "ไม่รู้ตัว" (พวกเขาไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตนกำลังทำอะไร) แล้วเมื่อเกิดเจ็บไข้ได้ป่วยขึ้นมาพวกเขาก็ไม่รู้ว่าสาเหตุมาจากไหน รู้สึกแต่เพียงว่าอยู่ดีๆก็มีบางอย่าง "เกิดขึ้นกับตน" มากกว่าจะคิดว่า "ตนได้ทำอะไรลงไปกับตัวเอง"
ที่เป็นอย่างนี้เพราะคนส่วนใหญ่ต่างเคลื่อนผ่าน (ใช้) ชีวิตอย่างขาดสติ (ไม่ใช่แค่เรื่องสุขภาพและผลลัพธ์ที่ตามมาเท่านั้น)
ผู้คนสูบบุหรี่แล้วก็สงสัยว่าทำไมตนถึงเป็นมะเร็ง
ผู้คนบริโภคเนื้อสัตว์และไขมัน (ไม่ดี) แล้วก็สงสัยว่าทำไมไขมันถึงอุดตันในเส้นเลือด
ผู้คนโกรธเกรี้ยวอยู่ตลอดชีวิตแล้วก็สงสัยว่าทำไมหลอดเลือดหัวใจถึงอุดตัน★
★ก่อให้เกิดอาการเจ็บแน่นหน้าอก ความดันโลหิตสูงและหัวใจวายเฉียบพลัน ~ ผู้แปล
ผู้คนแก่งแย่งแข่งขันอย่างไร้ความปราณีและอยู่ใต้แรงกดดันมหาศาลแล้วก็สงสัยว่าทำไมเส้นเลือดในสมองของพวกเขาถึงตีบแตกและอุดตัน★
★เป็นสาเหตุของโรค อัมพาต-อัมพฤกษ์
~ ผู้แปล
ความจริงที่อาจเห็นได้ไม่ชัดนักก็คือคนส่วนใหญ่ 🔸วิตกกังวลจนตัวตาย🔸
"ความวิตกกังวล" คือ กิจกรรมทางใจที่แย่ที่สุดรองจากความเกลียดชัง ซึ่งส่งผลทำลายตัวเองได้ลึกมาก
ความวิตกไม่ได้ช่วยให้อะไรดีขึ้นมาเลย มีแต่จะสิ้นเปลื้องพลังงานทางความรู้สึกไปเปล่าๆปลี้ๆ แถมยังจะสร้างปฏิกิริยาชีวะเคมีที่เป็นอันตรายต่อร่างกายอีกด้วย ทำให้เกิดอาการตั้งแต่อาหารไม่ย่อยไปจนถึงหลอดเลือดหัวใจล้มเหลวและโรคอื่นๆอีกสารพัด
สุขภาพจะดีขึ้นทันทีที่ความวิตกกังวลสิ้นสุดลง
1
✴️ความกังวลคือกิจกรรมของใจที่ไม่รู้ถึงสายสัมพันธ์ที่มีต่อฉัน✴️
"ความเกลียดชัง" คือสภาวะจิตที่บ่อนทำลายร้ายกาจที่สุด ทำให้ร่างกายเป็นพิษ และผลที่เกิดแทบไม่อาจย้อนกลับได้
"ความกลัว" คือด้านตรงข้ามกับทุกอย่างที่เธอเป็น ดังนั้นจึงส่งผลตรงข้ามกับสุขภาวะทั้งกายและใจของเธอ
ความกลัวคือ "ความวิตกกังวลที่ขยายตัวออก"
ความกังวล ความเกลียด ความกลัว และอื่นๆที่แตกหน่อออกมา เช่น ความกลัดกลุ้ม ความขมขื่น ความกระสับกระส่าย ความโลภ ความแล้งน้ำใจ การชอบตัดสินผู้อื่น การตำหนิประฌาม
✴️ ทั้งหมดนี้จะ "โจมตีร่างกายลงลึกถึงระดับเซลล์" เป็นไปไม่ได้เลยที่จะมีสุขภาพดีภายใต้ภาวะแบบนี้ ✴️
ที่คล้ายๆกัน (แม้จะไม่รุนแรงเท่า) เช่น ความถือดี ความปล่อยตัวมัวเมา และ ความละโมบ ก็ล้วนนำไปสู่ความเจ็บป่วยหรือการขาดสุขภาวะทั้งสิ้น
✴️ความเจ็บป่วยทุกชนิดเกิดขึ้นในใจก่อนเป็นอันดับแรก✴️
N : เป็นงั้นได้ไงครับ? แล้วโรคที่เราติดมาจากคนอื่นล่ะ...อย่างเช่น ไข้หวัด หรือว่าเอดส์?
G : ไม่มีสิ่งใดในชีวิตเธอ...ไม่มีสักสิ่ง...🔸ที่ไม่ได้เกิดครั้งแรกในรูปของความคิด🔸
"ความคิด" เปรียบเหมือนแม่เหล็กดึงดูดที่ชักนำผลลัพธ์มาสู่เธอ หลายครั้งความคิดก็ไม่ได้ออกมาชัดๆให้เราเห็นความเป็นเหตุเป็นผลได้อย่างโต้งๆ เช่นว่า "ฉันกำลังจะติดโรคร้ายแล้วนะ"
ความคิดอาจ (และมักจะ) ซับซ้อนกว่านั้น
("ฉันไม่มีค่าพอจะมีชีวิตอยู่")
("ชีวิตฉันวุ่นวายอย่างนี้ตลอด")
("ฉันคือผู้แพ้")
("พระเจ้ากำลังจะลงโทษฉัน")
("ฉันแย่และเหนื่อยกับชีวิตเต็มทีแล้ว!")
ความคิดเป็นรูปแบบของพลังงานที่ละเอียดซับซ้อนและมีพลังมาก
คำพูดจะซับซ้อนน้อยกว่าแต่หนาแน่นมากกว่า
ส่วนการกระทำจะหนาแน่นที่สุด การกระทำคือพลังงานที่ปรากฏรูปทางกายภาพและมีการเคลื่อนไหว
เมื่อเธอ คิด พูด และ ทำ "ตามแนวคิดแง่ลบ" เช่น "ฉันคือผู้แพ้" เธอก็ได้ขับเคลื่อนพลังงานสร้างสรรค์มหาศาลเข้าให้แล้ว ไม่ต้องแปลกใจเลยว่าสุดท้ายเธอจะเป็น 'หวัด' ...นั่นคือผลลัพธ์ขั้นต่ำสุดแล้วนะ
การจะแก้ไขผลลัพธ์จากการคิดในแง่ลบให้กลับสู่สภาพเดิมนั้นยากเอามากๆ "ถ้าปรากฏผลทางกายภาพแล้ว" ไม่ใช่จะเป็นไปไม่ได้นะ แต่ว่ายากมาก ต้องอาศัยศรัทธาแรงกล้าและความเชื่อเปี่ยมล้นใน "พลังด้านบวกของจักรวาล"
ไม่ว่าเธอจะเรียกพลังนั้นว่า `พระเจ้า `พระแม่ `ผู้ขับเคลื่อนที่ไม่เคลื่อนไหว `พลังแรก `ปฐมเหตุ หรืออะไรก็ตามแต่...
ผู้บำบัดมีศรัทธาเช่นนี้ เป็นศรัทธาที่ข้ามสู่ "การรู้อย่างสมบูรณ์"
✴️พวกเขา "รู้ว่า" เธอคือองค์รวมที่ครบถ้วนสมบูรณ์อยู่ ณ ขณะนี้✴️
"การรู้" เช่นนี้ถือเป็น "ความคิดชนิดหนึ่ง" เหมือนกัน `เป็นความคิดที่มีพลังมาก `มากพอจะเคลื่อนย้ายขุนเขาได้เลย `ยิ่งไม่ต้องพูดเลยว่าจะทำอะไรกับโมเลกุลในร่างกายเธอได้บ้าง
✴️นี่คือเหตุผลว่าทำไมผู้บำบัดถึงมีความสามารถในการรักษา บ่อยครั้งถึงขั้นรักษาจากทางไกลได้ด้วย
✴️ความคิดไม่เคยคำนึงถึงระยะทาง
✴️ความคิดเดินทางได้รอบโลกและข้ามผ่านจักรวาลได้เร็วเกินกว่าเธอจะทันเอ่ยคำ
"เพียงแต่พระองค์ตรัสสั่งเท่านั้น คนรับใช้ของข้าพระองค์ก็จะหายป่วย"★ และมันก็เป็นไปตามนั้นก่อนที่จะพูดจบประโยคด้วยซ้ำ หายภายในชั่วโมงนั้นเลย นี่คือศรัทธาของนายร้อยคนนั้น
★ตอนหนึ่งของคัมภีร์ไบเบิลภาคพันธะสัญญาใหม่บันทึกไว้ว่า เมื่อพระเยซูเสด็จเข้าเมืองคาเปอนาอุม (Capernaum) มีนายร้อยคนหนึ่งมาทูลขอความช่วยเหลือจากพระเยซูให้ทำการรักษาคนรับใช้คนหนึ่งของตนซึ่งป่วยหนักใกล้ตาย พระเยซูทรงตอบตกลงที่จะไปรักษาให้ ได้ฟังดังนั้นนายร้อยจึงทูลพระเยซูว่า "พระองค์เจ้าข้า ข้าพระองค์ไม่คู่ควรที่จะให้พระองค์เสด็จมาใต้ชายคาบ้านของข้าพระองค์ เพียงแต่พระองค์พูดสั่งเท่านั้น คนรับใช้ของข้าพระองค์ก็จะหายป่วย"
เมื่อพระเยซูได้ยินเช่นนี้ก็ทรงอัศจรรย์ใจในตัวเขาและหันมาพูดกับฝูงชนที่ติดตามพระองค์ว่า "เราไม่เคยพบใครสักคนที่มีความเชื่อยิ่งใหญ่เช่นนี้" แล้วพระเยซูก็พูดกับนายร้อยนั่นว่า "จงไปเถิด จะเป็นไปตามที่ท่านเชื่อ" และคนรับใช้ของเขาก็หายจากโรคในชั่วโมงนั้นเอง ~ ผู้แปล
✴️ทว่าพวกเธอทั้งหมดล้วนเป็น "โรคเรื้อนทางใจ" จิตใจเธอต่างถูกกัดกินด้วยความคิดแง่ลบต่างๆนาๆ บางความคิดก็พุ่งกระหน่ำเข้าหาเธอ (จากคนอื่น) และอีกมากเธอก็สร้างขึ้นมาเอง แล้วก็เก็บรับไว้และเพลินไปกับมันวันแล้ววันเล่า ชั่วโมงแล้วชั่วโมงเล่า สัปดาห์แล้วสัปดาห์เล่า เดือนแล้วเดือนเล่า กระทั่งปีแล้วปีเล่า...✴️
และเธอก็สงสัยว่าทำไมเธอถึงเจ็บป่วย
เธอสามารถ "แก้ปัญหาสุขภาพบางอย่าง" (ตามที่เธอพูด) ได้ด้วยการปรับแก้ปัญหาใน 🔸วิธีคิด🔸 ของเธอเอง
ใช่แล้วล่ะ...เธอสามารถ "เยียวยา" ภาวะที่เธอเป็นอยู่ตอนนี้ (ซึ่งเธอหยิบยื่นให้ตัวเอง) รวมทั้ง "ป้องกัน" ไม่ให้โรคร้ายใหม่ๆก่อตัวขึ้นได้ด้วยการ🔸เปลี่ยนความคิดที่เธอมี🔸นั่นเอง
และฉันล่ะเกลียดจริงๆ ที่จะแนะนำอะไรบางอย่างกับเธอเพราะมันฟังดูพื้นๆเกินกว่าจะมาจากพระเจ้า แต่ให้ตายเถอะ "ดูแลตัวเองให้ดีกว่านี้หน่อยได้ไหม"
เธอปู้ยี่ปู้ยำร่างกายตัวเอง แทบไม่สนใจเลยจนกว่าจะสงสัยว่ามีอะไรเกิดขึ้นมานั่นแหละ และเธอก็แทบไม่ทำอะไรเลยเพื่อดูแลป้องกันด้วย "เธอดูแลรถของเธอดีกว่าร่างกายตัวเองเสียอีก" ฉันไม่ได้พูดเกินเลยไปหรอก
ไม่ใช่แค่ไม่ป้องกันการเสื่อมทรุดด้วยการตรวจร่างกายประจำปีให้สม่ำเสมอ รวมถึงใช้วิธีบำบัดและรักษาตามที่หมอแนะนำเท่านั้นนะ (แล้วเธอจะไปหาหมอทำไมล่ะ? ไปให้หมอช่วยเสร็จแล้วก็ไม่ยอมรักษาตัวตามที่หมอแนะนำ ตอบฉันหน่อยได้ไหม?) เธอยังดูแลร่างกายตัวเองได้ย่ำแย่ระหว่างการไปหาหมอแต่ละครั้ง ซึ่งเธอก็ไม่ทำอะไรตามที่หมอแนะนำเลย!
"เธอไม่ออกกำลังกาย" ร่างกายก็เลยปวกเปียกและ (ที่แย่กว่านั้นก็คือ) อ่อนแอเพราะไม่ได้ใช้งาน เธอไม่ดูแลร่างกายให้เหมาะสม มันก็ยิ่งอ่อนแอลงไปอีกน่ะสิ
1
แล้วเธอก็ยังเอา "สารพิษ ยาพิษ และสารเคมี" ที่ไร้ประโยชน์ที่สุดมาทำเป็นอาหารอีก
แต่ร่างกายก็ยังทำงานให้เธอต่อไป
ไอ้เจ้าเครื่องยนต์แสนวิเศษนี้ยังไปต่อได้เรื่อยๆ มุ่งหน้าอย่างห้าวหาญแม้จะถูกทำร้ายขนาดนี้❗
ช่างน่าขนลุกเหลือเกิน สภาพที่เธอขอให้ร่างกายมีชีวิตนั้นแสนจะน่าขนลุก แต่เธอก็จะทำอะไรนิดๆหน่อยๆหรือไม่ก็ไม่ทำอะไรเลย
เธอจะอ่านข้อความนี้ ผงกหัวหงึกหงักเห็นพ้องด้วยความสำนึก จากนั้นก็กลับไปใช้ชีวิตแบบเดิมอีก รู้ไหมว่าทำไม?
N : เกรงว่าผมคงต้องถาม
G : เพราะเธอ 🔸ไม่มีเจตจำนงที่จะมีชีวิตอยู่🔸 น่ะสิ
1
N : ดูเหมือนจะเป็นข้อกล่าวหาที่รุนแรงนะครับ
G : ไม่ได้เจตนาให้รุนแรงหรอก และก็ไม่ได้กล่าวหาด้วย
"รุนแรง" เป็นคำสัมพัทธ์ เป็นการตัดสินที่เธอได้ใส่ลงไปในถ้อยคำ ส่วนคำว่า "ข้อกล่าวหา" มีนัยถึงความรู้สึกผิด และ "ความรู้สึกผิด" ก็แฝงนัยถึงการทำผิด ฉะนั้นจึงไม่มีทั้งความรู้สึกผิดและการกล่าวหาอะไรทั้งนั้น
ฉันแค่พูดความจริงง่ายๆออกไปเท่านั้นเอง
และก็เหมือน "ถ้อยแถลงแห่งสัจจะทั้งหลาย" นั่นคือ 🔸มันมีคุณสมบัติของการปลุกให้ตื่นอยู่ในตัว🔸 บางคนไม่ชอบโดนปลุก คนส่วนใหญ่ไม่ชอบหรอก ชอบหลับไหลมากกว่า
✴️โลกอยู่ในสภาพอย่างที่เป็นเพราะมีแต่คนที่หลับใหลละเมอ✴️
แล้วที่ฉันพูดไปมีอะไรที่ไม่จริงบ้างล่ะ ก็เธอไม่มี เจตจำนงที่จะมีชีวิตอยู่จริงๆนี่ อย่างน้อยที่สุดก็ `ไม่มีจนถึงตอนนี้`
แต่ถ้าเธอบอกฉันว่าเธอได้ "กลับตัวกระทันหัน" แล้ว ฉันก็จะทบทวนคำทำนายของฉันถึงสิ่งที่เธอจะทำในเวลานี้เสียใหม่ แล้วจะยอมรับว่าการคาดการณ์นั้นมาจากประสบการณ์ในอดีตก็ได้
ฉันตั้งใจจะ "ปลุกเธอให้ตื่นด้วย" บางครั้งนะ...ถ้าใครสักคนหลับลึกมากๆเราก็ต้องเขย่ากันหน่อย
อดีตที่ผ่านมาฉันเห็นว่า...เธอมีเจตจำนงที่จะมีชีวิตอยู่น้อยเหลือเกิน เธออาจจะปฏิเสธว่าไม่ใช่อย่างนั้นหรอก แต่กรณีนี้ "การกระทำ" ของเธอฟ้องชัดกว่าคำพูดนะ
ถ้าเธอเคย "สูบบุหรี่" แม้เพียงมวนเดียวในชีวิต (ยังไม่ต้องพูดถึงการสูบวันละซองมากว่า 20 ปีอย่างที่เธอทำหรอก) นั่นล่ะ เธอมีเจตจำนงที่จะมีชีวิตอยู่เพียงน้อยนิด 🔸เธอไม่ใส่ใจเลยว่าได้ทำอะไรลงไปกับร่างกายตัวเอง🔸
N : แต่ผม`เลิก`บุหรี่มาสิบกว่าปีแล้วนะครับ!
G : นั่นก็หลังจากที่เธอทำร้ายร่างกายจนย่ำแย่มาได้ยี่สิบปีแล้วไง และถ้าเธอ "นำแอลกอฮอล์เข้าสู่ร่างกาย" เธอก็มีเจตจำนงที่จะมีชีวิตน้อยมาก
N : ผมดื่มแค่พอประมาณเท่านั้นเอง
G : ร่างกายไม่ได้สร้างมาเพื่อรับแอลกอฮอล์ "มันส่งผลเสียแก่จิตใจ"
N : แต่`พระเยซู`ก็ดื่มน้ำเมานะครับ! พระองค์ไปที่งานแต่งงานแล้วก็เปลี่ยนน้ำเปล่าให้กลายเป็นไวน์ด้วย
G : แล้วใครบอกว่าพระเยซูสมบูรณ์แบบล่ะ?
N : โอ้โห ให้ตายเถอะ
G : เธอกำลังหงุดหงิดฉันใช่ไหมล่ะ พูดก็พูดเถอะ
N : เอ่อ มันห่างไกลจากการที่จะบอกว่าผม `หงุดหงิดพระเจ้า` ผมหมายความว่ามันจะเลยเถิดเกินไปใช่มั้ยล่ะครับ? ผมแค่คิดว่าเราชักจะไปกันใหญ่แล้ว พ่อผมสอนผมว่า "อะไรก็ตาม...เอาให้พอประมาณ" ผมคิดว่าผมก็ทำอย่างนั้นกับเรื่องแอลกอฮอล์นี้ด้วยนะครับ
G : "ร่างกายจะฟื้นตัวได้ง่ายหน่อยถ้าถูกทำร้ายแต่พอประมาณ" คำพูดของพ่อเธอจึงมีประโยชน์ทีเดียว
แต่ฉันก็จะยืนยันคำเดิมอยู่ดีนั่นคือ ✴️ร่างกายไม่ได้ถูกสร้างมาเพื่อรับแอลกอฮอล์✴️
N : แต่ยาบางตัวก็มีแอลกอฮอล์เป็นส่วนผสมนะครับ!
G : ฉันไม่มีอำนาจควบคุมสิ่งที่เธอเรียกว่าการแพทย์หรอกนะ และฉันขอยืนยันคำเดิม
N : พระองค์ไม่ผ่อนปรนเลยใช่มั้ยเนี่ย
G : นี่นะ ความจริงก็คือความจริง
ถ้าตอนนี้มีใครมาบอกเธอว่า "แอลกอฮอล์นิดๆหน่อยๆไม่เป็นอันตรายกับเธอหรอก" แล้วก็เอาคำนี้ไปอิงกับบริบทที่เธอใช้ชีวิตอยู่ตอนนี้ ฉันก็คงต้องเห็นด้วยไปกับเขา
✴️แต่นั่นไม่ได้เปลี่ยนความจริงของสิ่งที่ฉันได้พูดหรอก มันก็แค่เอื้อให้เธอ "เพิกเฉย" เท่านั้นเอง✴️
แต่ลองพิจารณาเรื่องนี้ดู โดยปรกติมนุษย์ในปัจจุบัน ใช้ร่างกายจนเสื่อมสภาพภายในเวลาราว 50 ปี - 80 ปี บางคนก็นานกว่านั้น...แต่ก็ไม่มาก บางคนร่างกายก็หยุดทำงานเร็วกว่า...แต่ก็ไม่ใช่คนส่วนใหญ่ ที่พูดมานี้เธอเห็นด้วยไหม?
N : ครับ เห็นด้วยครับ
G : ดี งั้นเราก็อยู่ในจุดเริ่มที่ดีในการพูดคุยกันแล้ว เมื่อฉันบอกว่าฉันคงเห็นด้วยกับคำพูดที่ว่า "แอลกอฮอล์นิดๆหน่อยๆไม่เป็นอันตรายกับเธอหรอก" ฉันพูดพร้อมประโยคที่ว่า "ในบริบทที่เธอใช้ชีวิตอยู่ตอนนี้"
เธอเห็นหรือเปล่าว่าพวกเธอดู "จะพอใจกับชีวิตที่เป็นอยู่ตอนนี้น่ะ" แต่เธออาจประหลาดใจเมื่อได้เรียนรู้ว่าชีวิตถูกสร้างมาให้ใช้ในแบบที่ต่างไปจากที่เป็นอยู่ตอนนี้อย่างสิ้นเชิง ร่างกายเธอก็ถูกออกแบบเพื่อให้ "ยืนยาวกว่านี้มากมายนัก"
N : งั้นเหรอครับ?
G : แน่นอน!
N : นานแค่ไหนหรือครับ?
G : 🔆นานอนันต์🔆
N : หมายความว่ายังไงครับเนี่ย?
G : ลูกเอ๋ย! หมายความว่า ✴️ร่างกายเธอถูกสร้างให้คงอยู่ไปตลอดกาล✴️
N : ตลอดกาล?
G : ใช่!... อ่านว่า "ต-ล-อ-ด-ก-า-ล"
N : หมายความว่าเราจะไม่มีวันตายอย่างนั้นหรือครับ?
G : 🔅เธอไม่เคยตาย ชีวิตเป็นนิรันดร์🔅
🔅เธอเป็นอมตะ ไม่เคยตายเลย🔅
🔅เธอเพียงเปลี่ยนรูปไปเท่านั้น🔅
✨เธอไม่จำเป็นต้องทำอย่างนั้นเลยด้วยซ้ำ
✨เธอตัดสินใจที่จะทำอย่างนั้นเองไม่ใช่ฉัน
✴️ฉันเพียงแต่สร้างร่างกายให้คงอยู่ได้ตลอดกาล✴️
ถามจริงๆเถอะ...เธอคิดว่าพระเจ้าอย่างฉันทำได้ดีที่สุดเพียงแค่สามารถทำให้เธอมีอายุขัยได้แค่ 60 70 หรืออาจจะ 80 ปี ก่อนที่ร่างจะแตกดับอย่างนั้นหรือ?
เธอจินตนาการว่าความสามารถฉัน "จำกัด" อยู่แค่นั้นใช่ไหม?
...
...
...
2 บันทึก
1
1
ดูเพิ่มเติมในซีรีส์
สนทนากับพระเจ้า เล่ม 1
2
1
1
โฆษณา
ดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน
© 2024 Blockdit
เกี่ยวกับ
ช่วยเหลือ
คำถามที่พบบ่อย
นโยบายการโฆษณาและบูสต์โพสต์
นโยบายความเป็นส่วนตัว
แนวทางการใช้แบรนด์ Blockdit
Blockdit เพื่อธุรกิจ
ไทย