9 ก.พ. 2021 เวลา 03:41 • นิยาย เรื่องสั้น
1.22. สัตตดาราล้างแค้น
เตียวคี ดาวอำพราง - โจซุน อัจฉริยะผู้อาภัพ - เปียนสี สาวงามบ้านดอกไม้แดง
ในห้องลับห้องเดิมที่ยังคงมีจำนวนผู้เข้าร่วมประชุมเจ็ดคนเช่นเดิม ดูเหมือนความท้อแท้หดหู่ต่อปฏิบัติการฟ้าเหลืองที่เกือบสำเร็จอยู่แล้ว แต่กลับล้มเหลวลงไปในช่วงเวลาสุดท้าย จนกองทัพที่สะสมมายาวนาน ต้องล่มสลายไปกว่าครึ่งค่อนจำนวน เพราะภัยธรรมชาติ ผีสางเทวดา และ “โจโฉ" ตัวแปรสำคัญที่สอดแทรกเข้ามาบุกทำลายกองทัพ
เตียวจูล่ง ประมุขขุมกำลังสัตตดารา ทายาทของเตียวก๊ก ย่อมแค้นเคืองยิ่งนัก ทั้งๆที่กลุ่มสัตตดาราทุกจุดสามารถตรึงสกัดขั้วอำนาจอื่นเอาไว้ได้หมดแล้วตามแผน ทั้งยังได้เตียวเสี้ยน เตียวเลี้ยวช่วยกันเกลี้ยกล่อมให้ลิโป้ยอมแยกตัวออกจากโกซุ่นชั่วคราว เพื่อมารับเป็นผู้นำลึกลับให้กับกองทัพโพกผ้าเหลืองได้อีกด้วย นับไปแล้ว กองกำลังของมันไม่เคยแข็งแกร่งได้เท่านี้มาก่อนเลยด้วยซ้ำ
แต่เหมือนฟ้าดินไม่เป็นใจที่เหตุร้ายต่างๆรุมกระหน่ำเอาจนกองทัพของมันปั่นป่วนไปหมด และถูกกองทัพโจโฉตีแตกไปในที่สุด ลิโป้ ทวนไร้น้ำใจ และกองทัพไร้พ่าย กลับพ่ายทัพเป็นครั้งที่สองติดๆกันด้วยสาเหตุโรคระบาดอีกแล้ว
ในเมื่อกำลังพลสูญเสียไปมากมายขนาดนี้ คงต้องอาศัยเวลาอีกยาวนานกว่าจะจัดการขึ้นมาได้อีกครั้ง “โจโฉ เจ้ามันคือก้างขวางคอแท้ๆเชียว” จูล่งกล่าวอาฆาตกลางที่ประชุมนั้น
ดังนั้น โจโฉ เจ้าเมืองกุนจิ๋วคนใหม่ จึงกลายเป็นเป้าหมายสำคัญของกลุ่มสัตตดาราไปโดยไม่รู้ตัว เมื่อมันส่งคนไปรับตัวโจโก๋ ผู้เป็นบิดา และครอบครัวออกมาจากแหล่งซ่อนตัวในเขตอิทธิพลเมืองชีจิ๋วของโตเกี๋ยม จึงกลายเป็นจุดเปราะบางในการเริ่มต้นแก้แค้นของกลุ่มสัตตดารา
นับจากที่โจโก๋แอบสร้างหลักปักฐานให้กับโจโฉ และถ่ายโอนอำนาจที่เมืองตันลิวให้แล้ว พวกสกุลโจที่เหลือ ไม่ว่าชายหญิง เด็กและคนแก่ ภายใต้การนำของโจโก๋ และโจซุน ผู้มีศักดิ์เป็นหลานชาย ต่างปลอมแปลงชื่อแซ่ นำทรัพย์สมบัติจำนวนมหาศาล หลบหนีภัยการเมืองไปอยู่ในบ้านพักลับหลายแห่งในเขตอิทธิพลของโตเกี๋ยมแห่งเมืองชีจิ๋ว ซึ่งยึดถือนโยบายปลอดสงครามเป็นสำคัญ เพื่อเปิดทางสะดวกให้โจโฉและพวกนำทัพสร้างขุมกำลังกุนจิ๋วได้อย่างไม่ต้องกังวลใจในช่วงแรก
พอบัดนี้ ขุมกำลังโจโฉเติบใหญ่แข็งแกร่ง จนได้รับตำแหน่งเจ้าเมืองอย่างเป็นทางการ และเป็นที่ยอมรับนับถืออย่างมากแล้ว โจโฉจึงคิดถึงครอบครัว ต้องการให้มาอยู่ร่วมเสพสุขความสบายพร้อมหน้ากัน และทะยอยกลับคืนมาอยู่ในพื้นที่ในความคุ้มครองซึ่งสมควรจะมีความปลอดภัยมากกว่าเดิม
ข่าวคราวโจโก๋แอบมากบดานอยู่ในเขตเมือง ถึงกับรั่วไหลมาเข้าหูของเจ้าเมืองสูงวัย โตเกี๋ยม ได้เพียงแค่ก่อนวันเดินทางนั้นเอง
ที่จริง โตเกี๋ยมแห่งมณฑลชีจิ๋วนั้น ทั้งแก่ชราแล้ว ทั้งเจ็บป่วยบ่อยครั้ง จึงหวังพึ่งพาอาศัยบารมีของเจ้าเมืองดาวรุ่งอย่างโจโฉที่มีอาณาเขตปกครองเกือบสองมณฑลแล้ว พอทราบความเคลื่อนไหวครั้งนี้ ถึงกับร่างหนังสือยอมสวามิภักดิ์ยกดินแดนให้กับโจโฉ ส่งมาให้ที่ขบวนของโจโก๋โดยตรงพร้อมกันกับขบวนทหารอารักขาชุดใหญ่ ตามนโยบายปลอดสงครามที่ยึดถือมาโดยตลอด
แต่เสียดายที่ขุนพลผู้นำกองทัพอารักขากลับเป็นเตียวคี ดาวอำพราง หนึ่งในกลุ่มสัตตดาราที่แฝงตัวอยู่กับมันมาเนิ่นนานแล้ว และเตียวคีก็ไม่รอช้าที่จะทำผลงานแก้ตัวที่ไม่สามารถเคลื่อนทัพเข้าร่วมปฏิบัติการฟ้าเหลืองในครั้งที่ผ่านมา ทางหนึ่งเป็นการระบายแค้นให้ประมุขของมัน ทางหนึ่งคือการปล้นชิงทรัพย์สินเงินทองเข้าพรรคแทนขุมทรัพย์มหาศาลที่หายไป เพราะการทรยศของเตียวหุย
ในค่ำคืนที่สองของการเดินทางข้ามมณฑล ท่ามกลางสายฝนกระหน่ำลงมาอย่างหนัก ครอบครัวสกุลโจสายตรงจึงถูกเตียวคีและทหารอารักขาจากเมืองชีจิ๋ว ร่วมกันสังหารสิ้นอย่างโหดเหี้ยม โดยอดีตจอมโจรจงใจละเว้นชีวิตโจโก๋ โจซุนไว้ เพื่อสร้างความโกรธแค้น และป้ายความผิดกลับไปยังโตเกี๋ยม
เป้าหมายทั้งสองจึงถูกทำร้ายให้เพียงแค่กรีดตาให้บอด และทำร้ายมือเท้าให้พิการด้วยการใช้สี่กระบี่ที่ปักตรึงข้อเท้ากับข้อมือไว้กับพื้นดิน ปล่อยให้ทนทรมานตากฝนที่โหมกระหน่ำไปตามยถากรรม ซึ่งถือเป็นการลงทัณฑ์อย่างสาหัสที่สุดของพรรคฟ้าเหลือง แล้วเตียวคีก็นำทหารจากไปพร้อมเสียงหัวเราะอย่างสะใจ
น่าเสียดาย โจโก๋ สูงวัยแล้ว ทนพิษบาดแผลไม่ไหว จึงขาดใจตายไปในค่ำคืนนั้นเอง ทิ้งให้หนุ่มน้อยโจซุนร่ำไห้ในสภาพที่ถูกลงทัณฑ์ทรมานอยู่เคียงข้างกัน ท่ามกลางสายฝนตามลำพังตลอดทั้งคืนจนหัวใจแทบแตกสลาย
น่าเวทนาชายหนุ่มอัจฉริยะทั้งบุ๋นทั้งบู๊คนหนึ่งทั้งสูญเสียญาติสนิทที่อยู่ในความดูแลคุ้มกัน ทั้งตัวเองถูกทำร้ายจนตาบอดมือเท้าพิการจนหมดสิ้นอนาคตไปเสียแล้ว และน่าเสียดายตัวละครอย่างโจโก๋ ขิงแก่นักวางแผน ผู้อยู่เบื้องหลังการสร้างจอมคนอย่างโจโฉขึ้นมา ที่ต้องมาตายอย่างไร้คุณค่า มิฉะนั้นแล้ว ผู้เฒ่าสกุลโจน่าจะมีบทบาทในหน้าประวัติศาสตร์มากกว่านี้
ห่างไกลออกไปบนผาสูง รถม้าคันย่อมจอดหลบอยู่ในพุ่มไม้ใหญ่ เป็นหนุ่มใหญ่ในชุดขนนกลายพร้อยโบกสะบัดพัดขนนก มองดูเหตุการณ์ปล้นสังหารโหดด้วยความสะทกสะท้อนใจ
ตัวมันเองเคยเป็นสหายสนิทกับโจโก๋ รับรู้ความทะเยอทะยานของอดีตคนสกุลแฮหัวเป็นอย่างดี แต่ด้วยความที่เส้นทางการเมืองซับซ้อน ทำให้ตัวมันทั้งสองคนกลับตกอยู่บนขั้วอิทธิพลที่ตรงข้ามกัน ในเมื่อเชื้อพระวงศ์กับขันทีกลายเป็นไม้เบื่อไม้เมาต่อกัน มันในฐานะพี่น้องร่วมสาบานกับคนระดับสูง ย่อมไม่อาจเปิดเผยตัวตนว่า จูกัดกุ๋ย แต่ก่อนเคยคุ้นเคยสนิทสนมกับแฮหัวโก๋ สุมาฮอง สองสหายวัยหนุ่มที่เข้าสู่วงการราชการไล่เลี่ยกัน
ในอดีต ยามที่โจโก๋มีเภทภัยถึงตัว มันที่มีอิทธิพลในวงการมีสี ก็ยังจงใจแอบช่วยเหลืออย่างลับๆให้อยู่ดี มิเช่นนั้น ลำพังแรงหนุนฝ่ายขันทีอาจจะไม่เพียงพอให้โจโก๋พ้นความผิดขั้นประหารชีวิตไปได้ และเป็นมันที่ช่วยดึงเรื่องทำให้โทษทัณฑ์ไปถึงตัวล่าช้ากว่าปกติที่ควรเป็น แต่มันก็ไม่อาจให้ผู้ใดล่วงรู้ความลับนั้น
ภายหลังอีกหลายปี เมื่อมันเริ่มซ่อนตัวดำเนินแผนการใหญ่ โจโก๋กลับหาเรื่องส้องสุมผู้คน หมายจะสนับสนุนลูกชายขึ้นมาอีก ทางหนึ่ง มันได้แต่ควบคุมไม่ให้เกิดเรื่องราวใหญ่โตต่อสหายเก่า แต่อีกทางหนึ่ง มันจำเป็นต้องให้ขุมกำลังนี้อยู่ในทิศทางที่ไม่เป็นพิษภัยต่อพวกพ้องฝ่ายตน ดังนั้น มันจึงเป็นคนที่แจ้งเบาะแสแหล่งกบดานต่อโตเกี๋ยม หวังผลักดันให้โจโก๋กลับคืนไปอยู่ร่วมกับลูกชาย
มิคาดคิด แผนการครั้งนี้กลับทำให้โจรพรรคฟ้าเหลืองมีโอกาสปล้นฆ่ายกครอบครัวสกุลโจ สร้างรอยแผลครั้งใหญ่ให้กับคนที่เกี่ยวข้อง ดังนั้น จึงเป็นการดีแล้วที่มันมิได้ออกหน้าเปิดตัวกับเรื่องนี้ แม้แต่โตเกี๋ยมเองก็ไม่รู้ว่าผู้ใดเป็นคนแจ้งข่าวลับให้ทราบ แต่ก็ตกเป็นจำเลยในคดีร่วมปล้นฆ่าทั้งครอบครัวไปเสียแล้ว
โจโฉได้รับทราบเส้นทางของบิดาจากกลุ่มของนางเปียนสีที่ล่วงหน้าเข้าเมืองมาก่อน เป็นคณะเดินทางขนาดเล็กที่มี แม่ใหญ่เต็งสี โจงั่ง โจผี บุตรชาย โจอันบิ๋น หลานชาย และข้าทาสบริวารจำนวนหนึ่ง เพราะแม่ใหญ่รู้สึกไม่ถูกชะตากับขุนพลเตียวคีโดยไม่รู้สาเหตุ จึงปลีกตัวออกจากขบวนทหารอารักขามาก่อน
โจโฉมิได้สังหรณ์ใจอันใด จึงนำทหารองครักษ์ออกมาต้อนรับขบวนใหญ่ของบิดาและญาติพี่น้องระหว่างทางด้วยตนเองตามปกติ แต่กลับพบกับร่องรอยความสูญเสีย ซากศพของบิดา และร่างบอบช้ำของอัจฉริยะน้อย โจซุนที่ถูกทำร้ายสาหัสจนสติเลอะเลือน โดยไม่พบซากศพของทหารคุ้มกันเมืองชีจิ๋วเลย จึงคาดเดาว่าเป็นฝีมือสั่งการของโตเกี๋ยมเสียเอง
แน่นอนว่า โจโฉแค้นใจสุดขีด รีบสั่งการยกทัพมาประชิดเมืองชีจิ๋วอย่างเร่งด่วน พร้อมประกาศจะสังหารโตเกี๋ยม และฆ่าล้างผู้คนเมืองชีจิ๋วทั้งหมด เพื่อล้างแค้นให้กับบรรดาญาติสนิทที่เสียชีวิต
โตเกี๋ยมตกใจยิ่งนักที่เตียวคีก่อเหตุร้ายแรงขึ้น และพยายามหาทางไกล่เกลี่ย แต่โจโฉเต็มไปด้วยไฟแค้น สั่งประหารชีวิตทูตเจรจาอย่างไม่ไว้ไมตรีต่อกัน โตเกี๋ยมเห็นว่า ไม่อาจเจรจาได้แล้ว จึงได้แต่ปิดประตูเมือง และรีบส่งคนไปขอกำลังช่วยเหลือจากกองซุนจ้าน สหายเก่าทางเหนือ ในขณะที่กองทัพเมืองกุนจิ๋วตรงเข้ากดดันอยู่ที่กำแพงเมืองชีจิ๋วอย่างหนักหน่วง ทหารทุกคนคล้ายถูกปลุกเร้าให้บ้าคลั่งดุดันยิ่งนัก ไล่ล่าสังหารผู้คนชาวเมืองชีจิ๋ว และเผาทำลายบ้านเรือนที่อยู่รอบนอกจนหมดสิ้น แสดงเจตนารมย์ที่ชัดเจน
ยามนี้ โตเกี๋ยมไม่เหลือขุนพลเก่งกาจอีกแล้ว ได้แต่เฝ้าสั่งการอยู่บนกำแพงเมือง ร่วมกับเหล่าทหารรักษาการณ์ แต่อีกไม่กี่ชั่วยาม การต้านทานเช่นนี้ คงไม่เกิดผลเสียแล้ว เจ้าเมืองวัยชราจึงลังเลใจ สมควรกระโดดกำแพงเมือง ฆ่าตัวตายให้เห็นกันทั่วกันหรือไม่ เผื่อว่า โจโฉจะใจอ่อน ยอมละเว้นชีวิตผู้คนภายในเมือง
แต่แล้ว เสียงกองทัพเคลื่อนตัวมาทางด้านตะวันตกเฉียงเหนือ มองเห็นเป็นกองทัพนักรบขี่ม้าขาวเป็นจำนวนมาก เป็นความช่วยเหลือจากขุมกำลังปักเป๋ง กองทัพม้าขาวอันเลื่องชื่อได้เดินทางมาถึีงแล้ว พร้อมธงผู้นำทัพ เตียวจูล่ง เล่าปี่ กวนอู และเตียวหุย ตามลำดับ
ทันทีที่ฝั่งปักเป๋งทราบเรื่อง พวกเล่าปี่ทั้งสามรีบขันอาสานำทัพลงมาช่วยอย่างเร่งด่วน หากแต่กองซุนจ้านมิอาจวางใจปล่อยให้คนอื่นมีโอกาสยึดกองทัพม้าขาวไปหมดสิ้น จึงมอบหมายให้จูล่งคนสนิทฝ่ายตนเองเป็นแม่ทัพใหญ่ และให้พวกเล่าปี่ทั้งสามนำทัพมาด้วยกัน
อันที่จริง นับจากที่มีข่าวว่า ขุมกำลังปักเป๋งลอบสังหารเล่าหงีนั้น ความสัมพันธ์ระหว่างกองซุนจ้านกับเล่าปี่ก็เริ่มคลอนแคลนลงไปบ้าง เล่าปี่ย่อมตระหนักได้ว่า ตนเองที่แอบอ้างเป็นเชื้อพระวงศ์ อาจจะเป็นเพียงเบี้ยประกันที่รอวันถูกนำมาใช้สอย จึงคิดหาเหตุปลีกตัวอยู่ก่อนแล้ว และนี่ก็เป็นข้ออ้างที่เหมาะสมพอดี ไม่ให้ต้องเสียน้ำใจต่อกัน ซึ่งพวกมันก็ไม่คิดจะหวนคืนเมืองปักเป๋งอีกต่อไปจริงๆ
ศึกเมืองชีจิ๋วจึงเป็นครั้งแรกที่โจโฉกับสี่เทวะ แฮหัวตุ้น แฮหัวเอี๋ยน โจหยิน และโจหอง ได้ปะทะต่อสู้กับสามพี่น้องร่วมสาบาน เล่าปี่ กวนอู เตียวหุย และเตียวจูล่ง ขุนพลมีชื่อแห่งปักเป๋งอีกคนในสนามรบอย่างจริงจัง โจโฉกับจูล่งในฐานะผู้นำทัพสูงสุดของทั้งสองฝ่ายพร้อมใจกันส่งสัญญาณขอใช้การท้าดวลแบบฉบับนักรบผู้เกรียงไกร แทนการประจัญบานด้วยกำลังทหาร
ภาพที่ปรากฏต่อมา คือ เล่าปี่ใช้กระบี่คู่ดวลเดี่ยวกับโจโฉอย่างดุเดือด ในขณะที่สี่เทวะตะลุมบอนอยู่กับขุนพลทั้งสาม กวนอู เตียวหุย จูล่ง ด้วยรูปแบบค่ายกลสอดประสานกันอย่างเมามัน ต่างฝ่ายต่างมีจุดเด่น และระดับฝีมือโดยรวมใกล้เคียงกัน จึงกลายเป็นการต่อสู้ที่น่าประทับใจครั้งหนึ่งของเหล่าทหารทุกคนในสนามรบ
ในกลุ่มสี่เทวะ คนที่ฝีมือการต่อสู้ด้อยที่สุดคือ เทพเสริมส่ง โจหอง ที่มีร่างกายอ้วนท้วมอุ้ยอ้ายอยู่บ้าง โดยปกติ จะมีแฮหัวตุ้นกับแฮหัวเอี๋ยนช่วยแก้ไขให้ แต่พอเจอคู่ต่อสู้ที่เก่งกาจถึงสามคนพร้อมกัน ทุกคนต่างต้องกลับไปป้องกันตัวเอง โจหองจึงถูกเตียวหุยใช้ทวนอสรพิษ กระแทกร่วงหล่นจากหลังม้าไปก่อน จึงเป็นการทำลายค่ายกลสี่เทวะที่เพิ่งมีโอกาสได้ทดลองใช้อย่างจริงจังเป็นครั้งแรก
ในเมื่อฝ่ายของตนพลาดท่าเสียที อิกิ๋ม งักจิ้น ที่ทำหน้าที่เป็นทั้งขุนพลและองครักษ์เฝ้าระวังด้วย ก็ไม่รอช้า รีบควบม้าเข้ามาช่วยเหลือโจหองเอาไว้ และกลุ้มรุมพัวพันอยู่กับเตียวหุยต่อ ทำให้เหลือเพียงกวนอู จูล่ง ที่ปะทะกับค่ายกลสี่เทวะที่กลับมารวมตัวได้อีกครั้งหนึ่ง
สถานการณ์จึงกลับตาลปัตรด้วยจำนวนคนที่เหนือกว่า ค่ายกลสี่เทวะเร่งพลังขึ้นสู่จุดสูงสุด แฮหัวเอี๋ยนมีจังหวะใช้เกาทัณฑ์ยิงเฉียดผ่านใบหน้าของกวนอูไปอย่างหวุดหวิด ในขณะที่แฮหัวตุ้นใช้ปลายทวนกรีดผ่านชายโครงของจูล่ง เรียกเอาเลือดได้สำเร็จ แต่โจหยิน โจหองก็ได้รับบาดเจ็บผิวกายเป็นผลตอบแทน
ทางด้านเล่าปี่ โจโฉก็มาถึงช่วงคับขัน โจโฉมีประสบการณ์รบมากกว่า พลิกมือใช้กระบี่สะท้อนแสงอาทิตย์ ทำให้เล่าปี่ชะงักวูบ โจโฉจึงฉวยโอกาสกรีดผ่านท้องแขนเล่าปี่ จนกระบี่คู่หลุดจากมือไปเล่มหนึ่งแล้วเช่นกัน
โตเกี๋ยมที่ยืนดูอยู่บนกำแพงเมืองมาโดยตลอด เห็นว่าฝ่ายตนเองเริ่มเพลี่ยงพล้ำ จึงสั่งตีม้าล่อให้ล่าถอย พร้อมเปิดประตูเมืองส่งกองทหารชีจิ๋วเข้าร่วมกันกับทัพปักเป๋ง กลุ้มรุมฝ่ายตรงข้าม เพื่อช่วยเหลือขุนพลทั้งสี่กลับมาในเมืองได้อย่างปลอดภัย
ศึกยกแรก นับว่า โจโฉเป็นผู้ชนะอย่างชัดเจน ฝ่ายชีจิ๋ว ปักเป๋งตระหนักว่า ทั้งจำนวนขุนพล และจำนวนทหารด้อยกว่าศัตรูทุกด้าน จึงได้แต่ตั้งรับยันทัพเอาไว้ภายนอก ไม่ยอมแต่งทัพออกมาสู้รบด้วยอีกต่อไป
จูล่งและกลุ่มทหารม้าขาวมีประสบการณ์สู้รบมากกว่า จึงอาสาเป็นฝ่ายที่ควบคุมสถานการณ์ในจุดสำคัญบนกำแพงเมืองแทนกองทหารท้องถิ่นที่อ่อนล้าโรยแรงไปแล้ว ในขณะที่พวกเล่าปี่ทั้งสาม อาศัยชื่อเสียงที่สะสมมานั้น ออกไปปลุกปลอบใจทักทายประชาชน เพื่อเรียกขวัญกำลังใจกลับคืน
ในขณะที่โจโฉยังคงตั้งทัพล้อมอยู่ภายนอกเมืองนั้นเอง จูล่งก็ส่งข่าวให้เตียวเสี้ยนแจ้งต่อลิโป้อีกทอดหนึ่งให้แสดงตนเป็น “ผู้นำหน้ากากปีศาจ” ลอบนำกองทัพฟ้าเหลืองที่หลงเหลืออยู่ หมายให้ช่วยตีกระหนาบกองทัพโจโฉจากแนวหลัง
หากแต่กุนซือตันก๋งที่ติดตามกลับมาพบกันกับลิโป้ได้ทันเวลา เสนอแผนการที่เหนือชั้นยิ่งกว่า นั่นคือ การตลบหลังเข้ายึดเมืองกุนจิ๋วที่ไม่มีขุนพลมือดีอยู่เฝ้าประจำเมืองในทันที เพื่อทำลายขวัญกำลังใจของเหล่าทหารเมืองกุนจิ๋วเสียก่อน
ลิโป้เห็นด้วย จึงให้เตียวเสี้ยนแจ้งต่อหัวหน้าใหญ่ พร้อมระดมพลในสังกัดมาทุกฝ่าย ไม่ว่าจะกองทัพฟ้าเหลืองของเตียวเลี้ยว หรือ กองทัพไร้พ่ายของโกซุ่น ให้บุกยึดเมืองกุนจิ๋วอย่างเร่งด่วน และไม่รั้งรอคำสั่งเพิ่มเติมจาก “ท่านประมุข” แต่ก็สามารถยึดเมืองเป้าหมายได้สำเร็จตามที่ต้องการ ทำให้โจโฉสูญเสียที่มั่นของตนเอง กลายเป็นกองทัพลอย ไม่มีเมืองเป็นฐานทัพไปในทันที
โจงั่ง โจอันบิ๋นที่อยู่เฝ้ารักษาเมือง ต้องรีบหนีตาย แม้แต่นางเปียนสี เมียรักที่แต่งกันมานานก็พลอยถูกสังหารเป็นเหยื่อสงครามไปในสถานการณ์ครั้งนี้ด้วย นับเป็นอีกหนึ่งความแค้นที่พรรคฟ้าเหลืองกระทำต่อพวกโจโฉ
น่าสงสารนางเปียนสีที่โชคดี อุตส่าห์รอดตายจากการสังหารโจโก๋ทั้งครอบครัวเมื่อคราวก่อนได้อย่างหวุดหวิด แต่ก็ต้องมาจบชีวิตในสมรภูมิการชิงเมืองในครั้งนี้จนได้ ทิ้งให้โจผีในวัยเจ็ดขวบต้องกลายเป็นเด็กกำพร้าเสียแล้ว
...
โชคร้ายซ้ำสองที่โจโฉไม่มีกุยแกเป็นกุนซือมาด้วยกันกับกองทัพ เพราะอาการป่วยเรื้อรัง ทำให้โจโฉขาดคนคอยช่วยชี้แนะข้างกาย พอมันทราบเรื่องร้ายจากแดนหลัง มันก็รีบนำกองทัพฝ่าความมืดย้อนกลับไปชิงเมืองคืนจากลิโป้โดยไร้กลยุทธ์ใดๆ ทำให้เหล่าทหารที่อ่อนล้าโรยแรง ถูกตีกระหนาบสองด้าน ทั้งกองทัพพรรคฟ้าเหลืองที่ลึกลับจากเมืองกุนจิ๋ว และกองทัพม้าขาวของพวกจูล่ง เล่าปี่ กวนอู เตียวหุยที่ตามมาจากเมืองชีจิ๋ว จนไม่สามารถทานกำลังเอาไว้ได้ กองทัพหลักของโจโฉถูกตีแตกกระจัดกระจาย ตัวมันพลัดหลงกับสี่เทวะและองครักษ์คู่ใจ จนต้องหลบหนีอย่างน่าหวาดเสียวที่สุดครั้งหนึ่งในชีวิต
ท่ามกลางม่านหมอกและกลุ่มควันไฟสงครามในยามรุ่งสาง ที่จริง มันซึ่งสิ้นไร้ทั้งอาวุธ ม้า และเหล่าทหารอารักขา สารรูปซอมซ่อเปรอะเปื้อนด้วยฝุ่นทรายและคราบเลือด กำลังก้มตัวเก็บกระบี่สั้นสัตตดาราที่ตกหล่นกับพื้น ตรงหน้ากลับปรากฏผู้นำลึกลับแห่งพรรคฟ้าเหลืองที่สวมใส่หน้ากาก กำลังขี่อาชาสีน้ำตาลแดง เหยาะย่างเข้ามาใกล้ จนโจโฉไม่กล้าเงยหน้าสบตา ทำเป็นงุ่มง่ามสาละวนกับสิ่งของคล้ายมึนงงไม่รู้ตัวต่อเรื่องราวรอบด้าน
แต่เหมือนผู้นำหน้ากากปีศาจไม่ทันสังเกตดูโดยละเอียด เข้าใจว่าเป็นเพียงนายทหารปลายแถวที่กำลังเก็บสิ่งของด้วยความละโมบในทรัพย์สิน จึงเอาทวนช้อนคางนายทหารซอมซ่อขึ้น เพื่อข่มขู่ถามหาตัวแม่ทัพด้วยความหยิ่งทรนง
แต่แล้ว เหมือนผู้นำจะชะงักงันไปวูบหนึ่ง เมื่อสายตาบังเอิญเห็นตัวกระบี่สั้น และจดจำได้ แล้วตัวผู้นำถึงกับปลดหน้ากากออกช้าๆ ทำให้โจโฉได้พบกับความลับสะท้านแผ่นดินเข้า ผู้นำลึกลับที่สวมหน้ากากปีศาจก็คือศัตรูคู่แค้นตลอดกาลของมันเอง ลิโป้ อดีตสมุหกลาโหมจอมอำมหิต
โจโฉตาเหลือกลาน ตัวแข็งชา ไร้วาจาว่ากล่าว รับรู้ถึงหายนะที่มาเยือน ขณะที่ลิโป้ยิ้มเหี้ยมเกรียม กระตุกม้าเซ็กเทาให้เข้าจังหวะอาวุธ รั้งทวนขึ้นหมายแทงให้ทะลุอกของโจโฉในครั้งเดียว
นับว่ายังดีที่องครักษ์ร่างใหญ่คนใหม่ เตียนอุย ผ่านมาพบเข้าพอดี มันจึงตรงเข้าสกัดลิโป้ไว้ได้ทัน ทั้งสองนักรบจึงต่อสู้กันอย่างสุดฝีมือ และสูสีกันยิ่งนัก ด้วยกระบวนท่าเพลงทวนที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง
องครักษ์เตียนอุยนับเป็นจอมพลังที่มีฝีมือเชิงทวนเก่งกาจ โจโฉค้นพบเพชรเม็ดงามผู้นี้ในค่ายทหาร จึงเลื่อนขั้นให้เป็นตำแหน่งใหญ่ พร้อมตั้งฉายา “ทวนวชิระ” หมายให้สักวันหนึ่ง ได้มีโอกาสสยบ “ทวนไร้น้ำใจ” ให้หมดสิ้นลาย
ทวนไร้น้ำใจ ลิโป้ นั้นรวดเร็ว ดุดัน เรียกเลือดจากฝ่ายตรงข้ามได้ก่อนหลายแผล ในขณะที่ ทวนวชิระของเตียนอุย เชื่องช้า แต่ทรงพลัง กวาดกระแทกจนลิโป้เลือดลมปั่นป่วน ง่ามมือชาไปแทบทุกครั้งที่ปะทะกัน หากต้องสู้รบกันยาวนาน ฝ่ายใดที่พลาดพลั้ง ก็อาจจะเสียชีวิตลงที่นี่ได้แล้ว
คราวนี้ ลิโป้ ขุนพลอันดับหนึ่ง กลับพบศึกหนักที่สุดอย่างไม่คาดฝันกับองครักษ์มีฝีมือที่ไร้ชื่อเสียงเข้าให้แล้ว
...
โจโฉ ไม่กล้ารั้งรอดูการต่อสู้สะท้านโลกที่ตัวเองเฝ้ารอ รีบหลบหลีกออกมาจากจุดอันตรายโดยเร็ว แต่ยังพบเข้ากับกวนอูอย่างซึ่งหน้า สายตาที่ประสานกัน ทำให้มันเองก็มิรู้จะหลบหลีกไปที่ใดแล้ว และแล้ว กวนอูกลับกระตุกม้าผ่านมันไปเหมือนไม่รู้จักกันมาก่อน แต่มีเสียงหนึ่งลอยตามลมมาว่า “เป็นเพราะเมิ่งเต๋อมีน้ำใจ เคยช่วยเหลือเผิงเสียนในวัยเยาว์ แต่คราวหน้าอย่าได้คาดหวังเช่นนี้อีก”
ที่แท้ กวนอู หรือ เผิงเสียน ก็มีเหตุผลส่วนตัวที่สำนึกขอบคุณต่อโจโฉ-เมิ่งเต๋อ จึงยอมละเว้นชีวิตให้ครั้งหนึ่ง ทำให้โจโฉต้องหายใจเฮือกใหญ่ กล่าวขอบคุณต่อเงาร่างที่กำลังจะจางหายไปกับสายหมอก “ขอบคุณ เผิงเสียน สหายเรา”
โจโฉยังคงหลบหนีต่อไปด้วยความเหนื่อยอ่อน จนมาพบขุนพลหนุ่มใหญ่ หน้าตาเกลี้ยงเกลา สวมเกราะขาว หยุดม้าอยู่ตรงหน้าไม่กี่สิบก้าว เจ้าผู้นี้เป็นผู้ใด มันเองก็ไม่รู้จักมาก่อน หรือว่าคือเตียวจูล่ง จอมทัพม้าขาวของกองซุนจ้าน
“เจ้าโจโฉเอ๋ย จงจำไว้ ผู้ที่สังหารเจ้าในวันนี้ คือ เตียวจูล่ง” จูล่งตวาดพลางกระชับทวนขึ้นมาด้านหน้า และควบม้าตรงเข้าใส่โจโฉทันที การลงมือของประมุขพรรคครั้งนี้ คงไม่ผิดพลาดแล้ว
ฉับพลัน เสียงเปรี้ยงดังสนั่นของฟ้าผ่าฟาดลงที่ต้นไม้ใหญ่ ทำให้ม้าสะดุ้งพรวดขึ้น ตามมาด้วยสายฝนเม็ดใหญ่ที่กระหน่ำลงมาอย่างกะทันหัน จนทำให้พลังสายตาของทั้งสองลดทอนลงไปเป็นอย่างมาก แต่โจโฉยังคงนิ่งตะลึงอยู่เช่นนั้น จนรู้สึกเหมือนมีใครมากระชากมันออกไปด้านข้าง เสียงดังคว้าก รอยทวนกรีดยาวจากหน้าอกไปถึงไหล่ด้านขวาเป็นทางยาว เลือดค่อยๆซึมออกมาอย่างแช่มช้า มันเหลียวมองไปรอบๆ ยังคงไม่เห็นใครอยู่ในบริเวณนั้น หรือเป็นเทวดาตนใดมาช่วยมันแล้ว หากแต่ว่าเทวดาตนนี้กลับมีลมหายใจหนักหน่วงยิ่งนัก?
แต่สิ่งที่น่าประหลาดใจยิ่งกว่า คือท่าทีของจูล่ง ที่ดูเหมือนจะมองไม่เห็นมันที่อยู่ตรงหน้า ห่างเพียงแค่ไม่กี่ช่วงทวน เพียงสายฝนแค่นี้ไม่น่าทำให้จูล่งมองไม่เห็น หรือว่ามันล่องหนหายตัวอยู่ตามที่คนโบราณเล่าขานกัน
เสียงแหบพร่าเสียงหนึ่งกระซิบเบาๆที่ข้างหูว่า “จงอดทนอยู่นิ่งเฉยเอาไว้ อีกสักพักจะมีคนมาช่วยเจ้าเอง”
“อืม ไม่ใช่เทวดา แต่อาจจะเป็นผู้วิเศษละกระมัง” โจโฉผงกหัวเป็นสัญญาณ คิดเข้าข้างตัวเอง คนดีย่อมมีเทพยดาช่วยคุ้มครอง
...

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา