8 ก.พ. 2021 เวลา 01:09 • นิยาย เรื่องสั้น
1.21. ปักษาสยบฟ้าเหลือง
กุยแก กุนซืออมโรค - แฮหัวตุ้น เทพคุ้มครอง - แฮหัวเอี๋ยน เทพเหี้ยมหาญ
คำพูดลอยๆของกาเซี่ยงราวกับประกาศิต เหตุการณ์ที่ไม่คาดคิดได้เกิดขึ้นจริงๆ กองทัพโจรโพกผ้าเหลืองกลุ่มใหม่รวมตัวขึ้นทางด้านเหนือใกล้มณฑลกุนจิ๋ว มุ่งหน้าเข้าสู่เมืองหลวงทางฝั่งตะวันออกเฉียงเหนือ โดยไม่ปรากฏชื่อเสียงของหัวหน้ากลุ่มอย่างชัดเจน หากแต่มีกำลังทหารจากหลากหลายเมือง โดยเฉพาะเมืองตองกุ๋น เมืองเสียงตง เมืองก่องเล่ง ต่างเดินทางออกจากสังกัดกรมกอง ทะยอยเข้ามารวมตัวกันกับกองทัพโจรเป็นจำนวนมากถึงสิบหมื่นคน
ระหว่างทาง กองทัพโจรพรรคฟ้าเหลืองย่อมต้องถูกต่อต้านจากกองทัพรักษาการณ์ตามด่านต่างๆอยู่บ้าง จึงได้แสดงฝีมือการสู้รบที่เชี่ยวชาญราวกับผ่านการฝึกฝนมายาวนาน อีกทั้งผู้นำลึกลับที่สวมหน้ากากปีศาจ และใช้ทวนยาวเป็นอาวุธนั้นก็มีความสามารถในการต่อสู้เป็นอย่างดี ทำให้เป็นกองทัพใหญ่ที่น่าเกรงขาม ยิ่งไปกว่ากลุ่มม้าเท้งหันซุยเสียอีก ด้วยจำนวนคนและประสิทธิภาพการรบ
ความเคลื่อนไหวของกองทัพใหม่รวดเร็วยิ่งนัก เพียงไม่นานที่เกิดข่าว กองทัพก็ใกล้ถึงเขตแดนเมืองเตียงอัน แสดงว่า อาจจะมีการเรียนรู้วิธีการเดินทัพเร็วมาก่อน กาเซี่ยงที่เป็นเสาหลักอยู่เฝ้าเมืองหลวง จึงกังวลใจเป็นยิ่งนักต่อข่าวสารนี้ เพราะขุนพลซิหลงกำลังป่วยไข้อยู่ และกำลังพลอาจจะไม่มากพอที่จะออกต้านทัพในครั้งนี้แล้ว หากกองทัพนี้มาถึง มันก็คงต้องจบสิ้นกัน นอกจากต้องยอมลองเสี่ยงกับเอียวปิด หรือตังสิน สองขุนพลชนชั้นสูงที่ไม่เคยผ่านสมรภูมิมาก่อน
ณ ที่ประชุมทหารเมืองกุนจิ๋ว โจโก๋ โจโฉ กุยแก และสี่เทวะ ร่วมกันรับฟังรายงานจากทหารสอดแนมแล้ว โจโฉจึงหันมาปรึกษากับกุยแก “คราก่อน ท่านให้เราแสร้งป่วยไข้ ประกาศไม่เข้าร่วมในกองทัพพันธมิตรครั้งที่สอง เพื่อรอดูสถานการณ์รอบด้าน บัดนี้ เกิดกองทัพฟ้าเหลืองมุ่งหน้าผ่านเราไปเพียงหนึ่งวันเดินทาง หากแม้นใช้กองทัพระลอกคลื่นไล่ตามไปโจมตีอย่างกระทันหัน ท่านเห็นเป็นอย่างไร”
กุยแก กุนซืออมโรคที่ไม่อาจทานรับการเดินทางทำศึก ได้แต่ศึกษาแผนที่เส้นทาง แล้วทำท่านับนิ้วครู่หนึ่ง ค่อยเงยหน้าขึ้นว่ากล่าว “นายท่าน โปรดทิ้งเวลาอีกสักวันสองวันก่อน แล้วค่อยลงมือโจมตีเถิด”
โจโฉสงบคำ เชื่อมั่นว่า กุนซือของตนจะคำนวนไม่ผิดพลาด ยกมือยับยั้งคนอื่นไม่ให้กล่าวมากความ และกำชับให้สี่เทวะตระเตรียมออกเดินทางทันทีที่ได้รับคำสั่ง
นับจากที่นักฆ่ากระบี่เจ็ดดาว โจโฉ เริ่มต้นตั้งกองกำลังจากเมืองตันลิว แย่งชิงดินแดนจนกลืนกินกุนจิ๋วหนึ่งมณฑล และยังขับเคี่ยวช่วงชิงพื้นที่ของขงมอแห่งอิจิ๋วอยู่ด้วยอีกหนึ่งมณฑล ทำให้ชื่อเสียงของโจโฉก็เร่ิมเป็นที่ประจักษ์มากขึ้น ล้วนเป็นผลงานความคิดของโจโก๋ อดีตหัวหน้าองครักษ์วังหลวงทั้งสิ้น
จุดเปลี่ยนสำคัญที่ทำให้ขุมกำลังโจโฉทะยานขึ้นแบบก้าวกระโดด คือการปะทะกันกับกองกำลังอ้วนสุดแห่งลำหยง ที่ฉวยโอกาสสอดแทรกเข้ามา ในช่วงที่โจโฉต่อสู้กับขงมออยู่ ซึ่งอ้วนสุดถูกโจโฉตอบโต้กลับ และยึดเอาเมืองลำหยงไปได้ ทำให้อ้วนสุดจำต้องย้ายไปปักหลักอยู่ที่เมืองฉิวฉุนแทนนั่นเอง
กลศึกที่ลึกซึ้งชาญฉลาด และการนำทัพที่พลิกแพลงรวดเร็ว รวมทั้งการบริหารทรัพยการการรบได้อย่างมีประสิทธิภาพ สมกับเป็นหัวหน้าเก่าในสายเสนาธิการของกองทัพพยัคฆราชในอดีต จึงกลายเป็นส่วนประสมสำคัญที่ทำให้ขุมกำลังโจโฉโดดเด่นมากกว่าใคร และเริ่มมีผู้คนเข้ามาสวามิภักดิ์ด้วยมากมาย
ทางด้านพี่น้องญาติสนิททั้งสี่ก็กลับกลายเป็นขุนพลมีชื่อ ในฉายา “สี่เทวะ” เลียนแบบ “สี่มฤตยู” ของตั๋งโต๊ะ อันมี เทพคุ้มครอง - แฮหัวตุ้น เทพเหี้ยมหาญ - แฮหัวเอี๋ยน เทพมุ่งมั่น - โจหยิน และ เทพเสริมส่ง - โจหอง แต่ละคนมีความสามารถโดดเด่นแตกต่างกันคนละด้าน จนกลายเป็นกำลังสำคัญหลักที่ไว้วางใจได้ไปแล้ว
อันที่จริง โจโฉยังมีญาติผู้น้องคนสำคัญอีกคนหนึ่ง คือ โจซุน น้องชายแท้ๆของโจหยิน ซึ่งอ่อนวัยทิ้งช่วงจากโจโฉและพวกแฮหัวตุ้นสักห้าหกปี ซึ่งโจโฉเชื่อมั่นในความสามารถที่มีทั้งบุ๋นและบู๊ หากรอจนเมื่อเติบใหญ่เพียงพอ คนผู้นี้อาจจะโดดเด่นกว่าคนทั้งสี่เสียอีก จึงมอบหมายให้โจซุน เด็กหนุ่มอัจฉริยะ ช่วยอยู่ดูแล และเป็นองครักษ์พิทักษ์ โจโก๋ ผู้เป็นบิดาไปพลางก่อน
ต้องเข้าใจว่า โจโฉเติบโตมาทางสายเสนาธิการ เน้นหลักการ “การโจมตีนั้นสำคัญ แต่การป้องกันกลับสำคัญยิ่งกว่า” โจโฉจึงมักจะคัดเลือกคนที่เก่งกาจที่สุดให้เป็นองครักษ์ประจำตัว และคุ้มครองบุคคลสำคัญในชีวิตของตนเองเสมอมา ดังนั้น นักรบผู้มาใหม่ อิกิ๋ม งักจิ้น จึงถูกทดสอบให้ทำหน้าที่นี้ให้กับตัวโจโฉอย่างใกล้ชิด ควบคู่กันกับโจงั่ง ผู้บุตร และโจอันบิ๋น ผู้หลาน ในช่วงแรกเช่นกัน
ส่วนเหตุผลที่โจโฉมักใช้แนวทางการดึงรั้งคนใหม่ไว้ใกล้ตัว เพราะจะทำให้มันเรียนรู้อุปนิสัยใจคอ และจุดอ่อนจุดแข็งของลูกน้องได้ดียิ่งขึ้นก่อน พอมีโอกาสแล้ว มันจึงค่อยส่งคนใหม่ลงไปทำหน้าที่ที่เหมาะสมกับนิสัยบุคลิก ดังนั้น คนที่ผ่านการกลั่นกรองเช่นนี้ จึงทำงานได้ผลดีเยี่ยมกว่าวิธีการทั่วไป
นับว่า พวกสี่เทวะ และอิกิ๋ม งักจิ้น โชคดีที่ได้เข้ามาอยู่ใกล้ชิดกับโจโฉตั้งแต่ช่วงตั้งต้น ทำให้โจโฉเรียนรู้ และดึงเอาจุดเด่นมาใช้งาน ที่จริงแล้ว ขุนพลบางคนมิได้มีฝีมือในการรบโดดเด่นทัดเทียมคนอื่น หากแต่มีทักษะพิเศษด้านอื่นๆมาชดเชย จึงสามารถช่วยงานในภาพรวมได้เป็นอย่างดี
ทางด้านบุคคลากรทางฝ่ายบุ๋นนั้นเล่า นอกจากโจโก๋และนักปราชญ์ที่ไม่ยอมเปิดเผยตัวตนแล้ว สุดท้าย โจโฉได้ตัวบัณฑิตอมโรค กุยแก จากการเปิดรับอาสาสมัคร แบบส้มหล่นฟ้าประทานจริงๆ
กุยแกเดิมเคยทำงานอยู่กับอ้วนเสี้ยวมาก่อน แต่ทักท้วงขัดแย้งทางความคิดกับกุนซือคนอื่นๆบ่อยครั้ง จนอ้วนเสี้ยวไม่พอใจ และขับไล่ออกจากที่ประชุมทหาร กุยแกจึงกลับมาอยู่ที่บ้านเดิมด้วยความผิดหวัง พอได้ยินข่าวนักฆ่ากระบี่เจ็ดดาวต้องการระดมพล มันจึงตัดสินใจสุ่มเสี่ยงอีกครั้ง
กุนซือกุยแกจึงกลายเป็นที่ปรึกษาหลักคนแรกให้กับโจโฉ ช่วยวางแผนกลยุทธ์การสงครามได้ตรงใจกัน แต่ด้วยความที่ป่วยไข้เรื้อรัง กุยแกจึงไม่อาจเดินทัพร่วมออกศึกได้ นั่นจึงกลายเป็นจุดอ่อนในขุมกำลังนี้ในช่วงตั้งต้น นั่นคือ การขาดกุนซือสายกลยุทธ์ร่วมทัพ เพื่อคอยปรับเปลี่ยนยุทธวิธีตามสถานการณ์รบ
...
ที่จริงแล้ว กองทัพโจรโพกผ้าเหลืองใหม่ครั้งนี้ คือแผนปฏิบัติการฟ้าเหลืองอำไพของเตียวจูล่งที่อุตส่าห์วางเครือข่ายโยงใยไว้ตั้งเนิ่นนานแล้ว กองทัพพรรคฟ้าเหลืองเดิมที่ถูกฝังตัวหลบซ่อนในเมืองต่างๆจึงกลับมารวมตัวกันได้อย่างรวดเร็ว และฮึกเหิมที่จะกอบกู้ชื่อเสียงกลับคืน พร้อมใช้คำขวัญดั้งเดิมที่ว่า “สิ้นสุดฟ้าน้ำเงิน ฟ้าเหลืองจะปรากฏ แผ่นดินใหม่จักรุ่งเรือง”
ถึงแม้กองทัพพรรคฟ้าเหลืองจะถูกตราหน้าจากทางการว่าเป็นขบถล้มล้างแผ่นดินฮั่น หากแต่ยังเป็นความหวังของราษฎรที่จะพลิกฟื้นชีวิตความเป็นอยู่ของตนเอง ทำให้ทุกครั้งที่มีการชูธงระดมทัพ ก็ยังได้รับความสนับสนุนจากผู้คนที่เบื่อหน่ายต่อไฟสงคราม และการกดขี่ข่มเหงจากเหล่าทหารหลากหลายกองทัพมาโดยตลอด นอกเสียจากว่า บางคนที่เคยประสพเคราะห์กรรมความโลภหลงของกองทหารโจร ซึ่งบางครั้งก็มีให้เห็น ไม่ต่างไปจากทหารกองอื่นๆแต่อย่างใด
ยามนั้น ขั้วอำนาจกองทัพพันธมิตรรอบสองของเจ้าเมืองสำคัญทั้งหลาย จึงถูกสกัดไว้ด้วยกองกำลังที่พรรคฟ้าเหลืองแทรกซึมอยู่ เช่น อ้วนเสี้ยวกับกองซุนจ้าน นั้นเป็นเตียวจูล่ง ประมุขใหญ่ ชักใยอยู่ ซุนเซ็กกับเงียมแปะฮอ เป็นผลงานยุยงของเตียวเจียว ดาวนักปราชญ์ เล่าเปียวกับอ้วนสุดก็เป็นผลงานปั่นป่วนของเตียวสิ้ว ดาวองครักษ์ และเล่าเอี๋ยน เป็นเตียวล่อ ดาวปกครอง ลงมือเอง
ส่วนโตเกี๋ยมที่ป่วยกระทันหันนั้น ทำให้เตียวคี ดาวอำพรางไม่อาจเคลื่อนกำลังมาร่วมสงครามด้วย จึงไม่ได้เกิดภาพของกองทัพสามประสานตามที่วางแผนไว้ และเป็นเพียงจุดเดียวในแผนการเท่านั้นเองที่ผิดพลาดไปโดยบังเอิญ
แผนการที่แท้จริงคือ ปล่อยให้กองกำลังหลักของลิฉุย กุยกี กาเซี่ยงแยกย้ายกำลังออกไปต้านรับกองทัพพันธมิตรของม้าเท้ง หันซุย และโตเกี๋ยม เป็นการเปิดช่องว่างให้กองทัพใหญ่พรรคฟ้าเหลืองมุ่งตรงเข้ายึดเมืองหลวงจากอีกทิศทางหนึ่งได้โดยง่าย ในเมื่อทัพโตเกี๋ยมไม่มา จึงขาดกองหนุนไปหนึ่งเส้นทาง กาเซี่ยงหรือกองทัพหัวเมืองรายทางจึงยังอาจจะออกมาตั้งรับทัพใหญ่ได้อยู่
ซึ่งกองทัพใหญ่นี้ ตามแผนเดิม จะกำกับมาโดยเตียวเลี้ยว ดาวนักรบที่ฝีมือการรบดีที่สุดในกลุ่ม แต่ปรากฏว่า เตียวเสี้ยน ดาวนางงามกลับสามารถเกลี้ยกล่อมลิโป้ให้มาช่วยรับตำแหน่งเป็นผู้นำทัพลึกลับ โดยสวมหน้ากากปีศาจปกปิดฐานะได้ด้วยอีกแรงหนึ่ง ยิ่งทำให้กองทัพนี้แข็งแกร่งมากขึ้นหลายเท่านัก
ภายใต้การนำทัพของทวนไร้น้ำใจ ลิโป้และดาวนักรบ เตียวเลี้ยว สองขุนพลชั้นดี ปฏิบัติการครั้งนี้ไม่น่าผิดพลาดได้ เมื่อขุมกำลังสัตตดาราพร้อมใจกันลงมือเช่นนี้ ฟ้าเหลืองกำลังจะกลับมาแล้ว
จุดที่น่าสังเกตก็คือ พวกสัตตดารากลับลืมประเมินความสามารถของขุมกำลังโจโฉอย่างไม่น่าให้อภัย คิดเพียงว่า โจโฉที่ได้ยินว่าป่วยไข้อยู่นั้น จะยอมเป็นแค่ทางผ่านของกองทัพเตียวคีจากฟากตะวันออกเท่านั้น
...
แต่แล้ว เหมือนฟ้าดินเป็นใจให้แผ่นดินฮั่น หรือพวกกังฉินที่ครองเมืองก็สุดจะคาดเดา เมื่อเกิดพายุลมฝนหลงฤดูกาลโหมกระหน่ำเข้าใส่กองทัพโพกผ้าเหลืองอย่างหนัก ท้องทุ่งหนทางกลายสภาพเป็นดินโคลนเหนียวหนัก ทำให้การเดินทัพเป็นไปด้วยความลำบากกว่าเดิม ทั้งยังเกิดโรคท้องร่วงระบาดอย่างรุนแรงซ้ำขึ้นภายในกองทัพ จนบั่นทอนกำลังทหารไปเป็นจำนวนมาก
ยิ่งไปกว่านั้น ยังมีข่าวลือเซียนผู้วิเศษปรากฏกายกลางกองทัพเพื่อเตือนสติไพร่พลบ้าง มีภูตราตรีลอบดูดเลือดฆ่านายทัพนายกองบ้าง มีสายฟ้าคะนองคร่าชีวิตผู้คนบ้าง ซึ่งจำนวนคนที่พบเห็นเป็นวงกว้าง ไม่อาจทึกทักคิดเอาเองเป็นแน่ จนขวัญกำลังใจของกองทัพอันเกรียงไกรนี้ลดทอนลงไปอย่างมาก
แน่นอนว่าทั้งหมดนี้เป็นการลงมือของพวกปักษาสวรรค์ อีกามีความสามารถเรียกลมฝนได้ นกฮูกชำนาญการวางยาพิษยาสั่ง กระเรียนล่องหนหายตัว และเหยี่ยวดำคือมือสังหารชั้นเยี่ยม พอปักษาทั้งสี่ประสานกันก่อกวนจนกองทัพใหญ่ปั่นป่วนไปหมด แต่ก็ยังไม่มีพลังมากพอจะทำลายกองทัพได้อย่างสิ้นเชิง
และแล้ว ในค่ำคืนหนึ่งก็ยังมีไฟไหม้กองเสบียงเกิดขึ้นกลางกองทหารที่อ่อนแรงและเสียขวัญซ้ำเติมยิ่งไปอีก พร้อมกันกับที่โจโฉ เจ้านครกุนจิ๋ว และสี่ขุนพลเทวะ แอบนำกองทัพเคลื่อนที่เร็วร่วมหมื่นคน ตรงเข้าจู่โจมกองทัพพรรคฟ้าเหลืองใหม่ในยามที่ย่ำแย่ท้อแท้นั้นด้วย ทำให้กองทัพใหญ่แตกพ่ายไปในทันที ผู้นำทั้งสองไม่อาจควบคุมกองทัพเสียขวัญ ต้องพากันรีบหนีตายออกไปก่อน เป็นการจบสิ้นการเดินทางไกลของกองทัพโจรโพกผ้าเหลืองรอบสองไปในที่สุด
การลงมือจัดการกับพรรคฟ้าเหลืองใหม่อย่างกระทันหันในยามที่ขุนพลอื่นติดภารกิจนั้น เป็นก้าวย่างสำคัญที่ทำให้โจโฉมีชื่อเสียงเลื่องลือขึ้นอีกครั้งหนึ่ง จากการที่แสร้งล้มป่วยในเบื้องต้น กลับกลายเป็นแผนการลวงเพื่อเผด็จศึกโจรฟ้าเหลือง ซึ่งเป็นศัตรูร่วมของผู้นำทุกฝ่าย ทำให้ขุมกำลังโจโฉและกุนซือกุยแกดูลุ่มลึก เหนือล้ำไปกว่าคนอื่นหลายขั้น
และเมื่อข่าวกองทัพฟ้าเหลืองล่มสลายด้วยขุมกำลังโจโฉแพร่สะพัดออกไป การรบพุ่งระหว่างเมืองต่างๆก็พลอยสิ้นสุดลงไปด้วยอย่างกระทันหันเช่นกัน เหมือนฟากฟ้ายามสนธยาที่เปลี่ยนสีจากเหลืองเป็นแดงแล้วดำมืดไปอย่างรวดเร็ว แต่นัดหมายการศึกเจ้าเมืองพันธมิตรรอบสองก็พลอยล่มสลายไปด้วย
คนเดียวที่ได้รับคำยกย่องแซ่ซ้อง จึงเป็น เจ้านครกุนจิ๋ว โจโฉ ที่เปลี่ยนแปลงจากสมญานาม “นักฆ่ากระบี่เจ็ดดาว” กลายเป็น “วีรบุรุษผู้ปราบขบถโจรโพกผ้าเหลือง” ไปในชั่วข้ามคืน
หลังจากนั้น ลิฉุยกุยกีก็สามารถต้านทัพเสเหลียงได้สำเร็จ กลุ่มม้าเท้งหันซุยขาดเสบียงจริงตามที่คาดไว้ และล่าทัพกลับไปแล้ว ทั้งสองจึงถือว่าโจโฉมีความชอบใหญ่หลวงถึงสองประการ และโจโก๋ พ่อของโจโฉ ยังออกโรงแอบส่งมอบทรัพย์สินตรงมาเปิดทางสว่างให้ด้วยอีกทางหนึ่ง เพื่อขอให้ลบล้างคดีเก่าที่ค้างคาอยู่ หวังให้โจโฉสามารถกลับมามีหน้ามีตาในวงราชการได้อีกครั้ง
ทั้งสองทรราชย์น้อยถึงกับยินยอมลืมเลือนเรื่องคดีเก่าก่อน เสนอให้พระเจ้าเหี้ยนเต้แต่งตั้งโจโฉขึ้นเป็นเจ้านครกุนจิ๋ว ปกครองดินแดนทั้งมณฑลอย่างเป็นทางการ เพื่อติดตามปราบโจรโพกผ้าเหลืองที่ยังหลงเหลือต่อไป
อีกทั้งยังส่งกระบี่สั้นสัตตดารา ที่โจโฉเคยใช้ลอบสังหารตั๋งโต๊ะให้ไปด้วย เพื่อแสดงให้เห็นว่า โทษทัณฑ์ในครั้งเก่าก่อนได้ถูกลบล้างไปหมดสิ้นแล้ว ตามคำแนะนำของกาเซี่ยง กุนซืออันดับหนึ่งของแผ่นดินในยุคนี้
เหมือนกับโชคชะตาเล่นตลกกับผู้คน กระบี่สั้นสัตตดารา ถูกมอบคืนให้กับผู้ครอบครองคนเดิม “นักฆ่ากระบี่เจ็ดดาว” ที่กลายมาเป็นวีรบุรุษ ผู้ปราบกองกำลังสัตตดาราโดยบังเอิญ และยังไม่มีใครล่วงรู้ถึงชื่อผู้นำลึกลับของกลุ่มก้อนนี้ด้วยซ้ำ
...
โจโฉ สำนึกขอบคุณต่อเอียวปิด สหายเก่าที่กลายเป็นผู้แทนพระองค์ กับกาเซี่ยง กุนซือคนสำคัญของรัฐบาลที่ตนยังไม่เคยเห็นหน้า ในฐานะที่ส่งมอบตำแหน่งและสิ่งของสำคัญให้แก่ตน และได้จัดงานเลี้ยงส่วนตัว ตอบแทนให้กับกุยแก ที่ปรึกษาของตนผู้วางแผนจากแดนไกลให้นำทัพบุกโจมตีกองทัพโพกผ้าเหลืองในครั้งนี้
มันเติบโตขึ้นกว่าเดิมมากนัก และเริ่มรับรู้ถึงวังวนการเมืองแล้ว จึงไม่ถือสาที่จะอาศัยร่มชายคาของอดีตลูกน้องทรราชย์ คนที่ตนเองเคยล้มเหลวในการลอบสังหาร เพื่อตัวเองได้ไต่เต้าขึ้นมาเป็นใหญ่ทางการเมืองได้อีกครั้ง
“ไม่โหดเหี้ยม ไม่อาจเป็นใหญ่ บางคนในอดีตเคยกล่าวไว้ เราจะใช้จุดนี้ทะยานขึ้นสู่ตำแหน่งสูงสุดให้ได้” โจโฉนึกอยู่ในใจ ด้วยจังหวะชีวิตที่เปลี่ยนไป มันได้พลิกผันจากคนร้ายหนีคดีลอบสังหาร มาเป็น วีรบุรุษผู้กอบกู้แผ่นดินฮั่น ไปแล้ว
...
เมื่อกุยแกได้รับของกำนัลเพิ่มเติมจากโจโฉมากมาย จึงขออนุญาตให้พ่อบ้านใหญ่สกุลโจช่วยเหลือนำส่งให้ถึงที่บ้านพักด้วย ทั้งสองจึงนั่งรถเทียมม้าเคียงคู่กันเพราะเทียลิด พ่อบ้านใหญ่ในวัยเกือบสามสิบปี เริ่มงานรับใช้สกุลโจในเวลาไล่เลี่ยกันกับกุยแก ทั้งสองคนจึงชอบพอคล้ายกับสหายต่างวัยที่รู้ใจกันมานาน
ครั้งนี้ กุยแกเป็นฝ่ายเริ่มบทสนทนาขึ้น “พี่เทีย ท่านจะงำประกายไปอีกนานเพียงไร บัดนี้ ขุมกำลังของนายท่านก็เติบโตเข้มแข็งขึ้นมากแล้ว สมควรที่ท่่านจะได้แสดงฝีมือบ้าง ก่อนที่คนอื่นจะชิงกินตำแหน่งสำคัญไปเสียหมดสิ้น”
เทียลิดแย้มยิ้มอย่างมีเลศนัย ยกฝ่ามือบอบบางของกุยแกมาลูบคลำไปมาอย่างมีเลศนัย พลางตอบ “เราซ่อนตัวอยู่ในเงามืด ช่วยระวังราชสีห์ให้ท่านอีกทาง มิดีกว่าหรือ น้องฟงเสี้ยว”
เมื่อส่งของถึงที่พักเรียบร้อยแล้ว พ่อบ้านใหญ่จึงขอตัวอำลาตามปกติ สวนทางกันกับอาคันตุกะอีกคนหนึ่งในชุดหมอยาเร่ร่อนพอดี เป็นหมอฮัวโต๋!!
“ขอบคุณท่านที่ชี้แนะเส้นทาง และข่าวคราวภายในของกองทัพโจรในครั้งนี้ ตัวข้าได้แนะนำให้ท่านโจโฉไปทันเวลา และเป็นไปตามคาดที่พวกเราสามารถเอาชนะได้อย่างง่ายดายนัก” กุยแกกล่าวยกย่องแพทย์เทพยดาด้วยน้ำเสียงแหบแห้ง ตามประสาคนป่วยเรื้อรัง หรืออาจจะหักโหมต่อสุขภาพจนเกินแรง
“ตัวข้าเป็นเพียงหมอรักษาโรคธรรมดาๆ ที่เผอิญไปรับรู้ข้อมูลสำคัญเข้าเท่านั้นเอง อันผลงานความคิดจู่โจมทัพยามคับขันนั้น เป็นเรื่องของท่านกุนซือคิดขึ้นเอง ตัวข้าไม่กล้ารับเอาไว้หรอก” หมอฮัวโต๋บอกปัด พลางจับชีพจรที่ข้อมือของกุยแก เหมือนดั่งคนที่คุ้นเคยกันดี “ให้ข้าช่วยจ่ายยารักษาโรคโลหิตให้ท่านกุนซือได้อยู่รับใช้ท่านโจโฉไปนานๆจะดีกว่ากระมัง ฮ่าฮ่าฮ่า”
ที่แท้ หมอฮัวโต๋ก็แทรกซึมเข้ามาเป็นหมอประจำตัวให้กับกุยแก กุนซือคนสำคัญของโจโฉนี่เอง จึงสามารถดำเนินแผนการที่ส่งผลกระทบเข้าสู่การเคลื่อนไหวของโจโฉได้อย่างแนบเนียน
เมื่อนกฮูกร่วมประสานกับการทำงานด้วยพลังพิเศษของหน่วยปักษาคนอื่นๆ คือ กระเรียน อีกา และเหยี่ยวดำ จึงทำให้งานใหญ่ระดับการถล่มกองทัพพรรคฟ้าเหลืองในครั้งนี้สำเร็จไปโดยง่าย
...
ย้อนกลับไปที่ กุนซือตันก๋ง ซึ่งหนีออกจากเมืองหลวงไปอีกทาง ในช่วงเวลาที่ลิฉุยกุยกียึดอำนาจคืนจากลิโป้ อ้องอุ้น นั้น ได้กลับไปพบปะปรึกษากับสุมาเต๊กโช เพื่อประเมินสถานการณ์ใหม่ เพราะลิโป้เท่ากับสิ้นไร้ซึ่งอำนาจทางการเมืองไปแล้ว พร้อมทั้งสารภาพเรื่องการเสียสละลิยู เพื่อแลกตำแหน่งให้กับตนเองด้วย ซึ่งสุมาเต๊กโชก็ไม่ได้ว่ากล่าวตำหนิอันใด และให้รอฟังข่าวอยู่ก่อน ตันก๋งจึงมีโอกาสได้แวะเยี่ยมเยียนตันฮก ลูกชายที่เติบใหญ่ขึ้นตามวัย
ภาพที่ตันก๋งมองเห็นในสวนด้านหลังบ้านพัก คือ เหล่าทายาทมังกรทั้งห้าเพลิดเพลินอยู่ในอากัปกิริยาที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง
ชายหนุ่มคนหนึ่งใช้ลมปราณยืนกรีดนิ้วมือ วาดภาพบนผาหินจำลอง คนหนึ่งนอนร่ายบทกลอนอยู่กับพื้น พร้อมขวดสุราเมรัยสีทึบ คนหนึ่งฝึกฝนเพลงกระบี่ จนเหงื่อโทรมกาย คนหนึ่งกลับเล่นพิณกู่ฉิน ปลุกเร้าอารมณ์ศิลปิน และคนสุดท้าย ยังคล้ายเป็นเด็กน้อย แต่กลับประหลาดที่สุด ถึงกับเล่นหมากล้อมขาวดำอยู่คนเดียว วิ่งวนอยู่รอบกระดานใหญ่ แถมคล้ายพูดจากับคู่ต่อสู้ที่มองไม่เห็นตัวตนเสียด้วย
ตันก๋งได้แต่ส่ายหน้าส่งเสียงกระแอมขึ้น เหล่าทายาทมังกรค่อยรู้สึกตัวว่ามีผู้อาวุโสมาเยือน จึงปรับท่าทีให้ดูเรียบร้อย โดยเฉพาะคนเมานั้น กลับมีใบหน้าแดงฉานยิ่งกว่าเดิม ไม่ต้องบอกก็เดาได้ว่า คือ ตันฮก แน่นอน
ตันก๋งปั้นหน้านิ่ง กวักมือเรียกหาขวดสุรา ตันฮกได้แต่ก้มหน้าประคองส่ง เห็นตันก๋งยกขวดสุราขึ้นเทกรอกปากตนเองจนหมด แล้วโยนขวดทิ้งไปด้านข้าง พลางกล่าว “สุราชั้นเลว ไม่คู่ควรต่อการดื่มกินสักนิด ช่างทำร้ายบรรยากาศยิ่งนัก”
พอหันหลังกลับเข้าบ้านพัก ห้าทายาทวัยคะนองต่างกลั้นหัวร่อ ชี้หน้าล้อเลียนใส่กันตามประสาเด็กหนุ่มไร้เดียงสา รู้ว่าตันก๋งแสร้งตำหนิตักเตือนต่อบุตรชาย นั่นนับเป็นช่วงเวลาที่มีความสุขที่สุดในชีวิตของพวกมันแล้ว อีกไม่กี่ปีข้างหน้าหรอกที่สายตาในการมองโลกจะผันเปลี่ยนไปตามวัย และกาลเวลา
รอคอยจนเหตุการณ์กองทัพโจรโพกผ้าเหลืองผ่านพ้นไปก่อน สุมาเต๊กโชจึงเรียกตันก๋งเข้ามารับคำสั่งรอบใหม่
“เจ้าจงกลับไปอยู่เป็นกุนซือให้กับลิโป้ สายของข้าในกลุ่มสัตตดาราแจ้งมาว่า ลิโป้กำลังได้รับการส่งเสริมจากกลุ่มนั้น จนน่าจะกลับมีบทบาทในแผ่นดินได้อีกครั้งหนึ่ง ผู้นำลึกลับภายใต้หน้ากากปีศาจแห่งกองทัพโจรผ้าเหลืองใหม่ ที่จริงก็คือลิโป้นี่เอง” สุมาเต๊กโชเล่าเหมือนรู้ชัดในเหตุการณ์ภายในกลุ่มสัตตดารา “และคอยจับตาดูเตียวเสี้ยนไว้ด้วย นางคือหนึ่งในกลุ่มสัตตดารา”
เมื่อตันก๋งจากไปแล้ว สุมาเต๊กโชจึงรำพึงเบาๆ “เจ้าตันก๋งมันอำมหิตยิ่งนัก ถึงกับลงมือต่อพวกเดียวกัน โดยไม่จำเป็นแม้แต่น้อย หากมันรู้มากเกินไป อาจจะเป็นผลร้ายกระทบต่อแผนการใหญ่ของเรา สมควรต้องระวังมันไว้บ้าง”
นี่คือสาเหตุที่มันไม่บอกให้ตันก๋งล่วงรู้ว่าใครบ้างคือพวกสัตตดารา และใครคือสายลับสองหน้าของมันในกลุ่มสัตตดารานั้นด้วย ทั้งๆที่เป็นคนสนิทใกล้ชิดมาตั้งแต่ต้น อาจะเป็นเพราะมันยังไม่ถึงเวลา และตัวตันก๋งเองก็ไม่น่าไว้วางใจ รวมทั้ง ตันฮก ทายาทของมันด้วย
สุมาเต๊กโชนึกยินดีที่ตนเองตัดสินใจบ่มเพาะจุดอ่อนให้กับตันฮก หนึ่งในห้าทายาทมังกรตั้งแต่แรกเริ่ม อย่างน้อย ตันฮกก็ไม่น่าจะมีพิษภัยรุนแรงต่อเครือข่ายสุมาในอนาคตได้อย่างแน่นอน
จอมปราชญ์สูงวัยมองผ่านกรอบหน้าต่าง พบเห็นทายาทมังกรทั้งห้าเดินผ่านไปพร้อมยั่วเย้ากันอย่างสนุกสนาม จึงเกิดรอยยิ้มลี้ลับขึ้นบนใบหน้า
...

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา