12 ก.พ. 2021 เวลา 19:01 • หนังสือ
พุทธศักราชอัสดงกับทรงจำของทรงจำของแมวกุหลาบดำ
เขียนโดย วีรพร นิติประภา
สนพ. มติชน
จำนวน 421 หน้า
เคยละเลียด เก็บของอร่อยไว้กินตอนท้าย ๆ กันมั้ยคะ
หรือเคยเก็บสมุดเล่มสวยที่สุด
ไว้ใช้ในโอกาสพิเศษที่สุดมั้ยคะ
กับหนังสือเล่มนี้ก็เช่นนั้นแหละค่ะ
มดซื้อหนังสือเล่มนี้ในปีที่ประกาศว่าได้รับรางวัลซีไรท์
ซื้อมาก็ไม่ได้รีบอ่าน
เพราะเพิ่งอ่านเล่มก่อนหน้าที่ได้ซีไรท์
ของนักเขียนคนเดียวกันนี้ไป
รู้ว่าการอ่านหนังสือของนักเขียนคนนี้
จำต้องเป็นช่วงที่ชีวิตไม่เร่งรีบเร่งร้อน
หัวสมองปลอดโปร่งโล่งสบาย
เพราะภาษาและเทคนิคที่เธอใช้นั้น
ละเมียดละไม สลับซับซ้อน
เกินกว่าที่จะอ่านในช่วงเวลาที่ชีวิตไม่สงบสุข
หนังสือเล่มนี้เป็นนิยายกึ่งจริงกึงมหัศจรรย์
เป็นประวัติชีวิตของสาแหรกตระกูลตั้งตง
ตั้งแต่ปู่ทวดตง
มายังผู้เล่าคือเด็กชาย "ดาว"
อันเล่าผ่านทรงจำของทรงจำยายศรี
ผู้เลี้ยงดูคุณหนูดาวอีกทอดนึง
1
ว่ากันจริง ๆ ก็คือ
ประวัติชีวิตของคนหลาย ๆ คนในตระกูล
ไล่ลงมาตั้งแต่ตาทวด ลูก ๆของตาทั้งห้า
มายังรุ่นหลาน และเหลน
แต่ละคนมีเส้นทางชีวิตอันเป็นโศกนาฎกรรม
ปวดร้าว ทุกข์ระทม ขมขื่นกันทั้งนั้น
แต่คนอ่านนั้นสนุก ความสนุกนอกจากจะได้รับชม
การเดินทางของชีวิตทุกคนแล้ว
ยังสนุกไปกับการวางเค้าโครงเรื่อง
การเรียงร้อยภาษาที่เหนือมนุษย์
แต่ก็เต็มไปด้วยชีวิตชีวา
และความมหัศจรรย์ เป็นประวัติชีวิตคนที่ล้อไปกับประวัติศาสตร์ชาติไทยและจีนร่วมร้อยปี
ไม่แน่ใจว่าคนรุ่นใหม่
ที่ชีวิตเสพติดกับการอ่านอะไรกระชับสั้นฉับไว
จะชอบวิธีการใช้ภาษาอันสวยสดหยดย้อย
แต่ก็เวิ่นเว้อยืดยาวนี้หรือไม่
อีกทั้งบางคราก็ต้องขบคิดแปลภาษาที่สละสลวยนั้นให้ออกมาว่าหมายถึงอะไรนั่นอีก
จะยกมาสักย่อหน้าแล้วกัน
"จนจิตรไสวกลับมาจากเมืองจีน
เลือนลางจับต้องไม่ได้ของชีวิตก็ดูจะรางเลือนลงในขมีขมันหมกมุ่นทำกับข้าวเอาใจลูกไปแต่ละวัน
ปักใจแข็งขันว่าจะได้ลูกรักกลับมาอยู่ข้างกาย
...คอยปิดตาเวลาตายอย่างในกลอน
แต่ก็กลับเป็นลูกแค่ผ่านมาพอได้เห็นหน้า ...
แล้วก็จากไปเป็นทหารอีก ทิ้งแกไว้ในละมุนหมอกมัวซัวอันเข้าใจไม่ได้นั่นไปแต่ตามลำพังอีกครั้ง"
1
ถ้าจะเขียนแบบนิยายทั่วไปก็ได้ง่าย ๆ เลยว่า
"จนจิตรไสวกลับมาจากเมืองจีน
ความหวังที่เคยเลือนลางก็กลับชัดขึ้นในตอนที่ตั้งอกตั้งใจทำกับข้าวเอาใจลูกทุกวัน ด้วยมั่นใจว่า
ลูกรักจะกลับมาอยู่ด้วย
แต่ก็ต้องพบว่าลูกได้ทิ้งแกและ
จากกลับไปเป็นทหารอีกครั้ง"
ซึ่งเสน่ห์ของ วีรพร นิติประภา นั้น
อยู่ตรงการใช้ภาษานี่แหละ
"เลือนลางจับต้องไม่ได้ของชีวิต ก็ดูจะรางเลือนลง"
โอ๊ยยยย มีแบบนี้ทั้งเล่มอ่ะ
ใครผู้ใดหลงรักภาษาไทย
สมควรอ่านหนังสือของเธอทั้งสองเล่ม
แต่ใครไม่ชินกับอะไรแบบนี้ก็ต้องทำใจเยอะ ๆ
อ่านให้ได้สัก 50 หน้าแรก แล้วจะชินเอง
หลังจากนั้นก็จะเพลิดเพลินกับเนื้อเรื่องในหนังสือเป็นที่สุด
สิ่งที่นึกถึงระหว่างอ่านคือ
1. หนังสือนิยายเรื่อง "หลายชีวิต" ของหม่อมราชวงค์คึกฤทธิ์ ปราโมทย์ เล่มนี้คุณชายเขียนเล่าย้อนถึงชีวิตของคนแต่ละคนที่อยู่ในเรือ
ที่สุดท้ายมาประสบชะตากรรมเดียวกัน เป็นเล่มเดียวของคุณชายที่เราอ่านหลายรอบมาก สนุกมาก ใช้ภาษาคนธรรมดานี่และ อ่านง่าย สนุก เคล้าน้ำตา
2. หนังสือเล่มยักษ์ "
หนึ่งร้อยปีแห่งความโดดเดี่ยว" โดย กาเบรียล การ์เซีย มาร์เกซ ที่เล่าถึง เรื่องราวเจ็ดรุ่นของครอบครัวบวนเดียกับเมืองในจินตนาการ “มาก็อนโด”
เป็นนิยายที่แนวสัจนิยมมหัศจรรย์ (magic realism) คิดว่าวีรพร นิติประภาน่าจะได้แนวทางการเขียนมาจากเล่มนี้ไม่มากก็น้อย
3. นึกถึง "แดนอรัญ แสงทอง" นักเขียนผู้รุ่มรวยภาษาอีกคนหนึ่ง มีสไตล์การเขียนที่ให้คำฟุ่มเฟือย สละสลวยเช่นกัน
วีรพร นิติประภา
คือนักเขียน"หญิง" คนแรกที่ได้ 2 ซีไรต์
จากเล่ม ไส้เดือนตาบอดในเขาวงกตเมื่อปี 2558
และ พุทธศักราชอัสดงกับทรงจำของทรงจำของแมวกุหลาบดำ ในปี 2561
ซึ่งความมหัศจรรย์คือ
ทั้ง 2 เล่มนี้ เป็น 2 เล่มแรกที่เธอเขียน
เธอไม่เคยเขียนนิยายเล่มขนาดยาวมาก่อน เขียนปุ๊บได้รางวัลเลย พอเขียนต่ออีกเล่มก็ได้รางวัลอี๊กกกกก
มีคนไปสัมภาษณ์เธอว่า
กดดันมั้ย กับเล่มที่ 3 เธอบอกว่า
ไม่กดดันแล้วเพราะเขียน 2 เล่มแล้ว ได้รางวัลไปแล้ว
เล่มที่ 3 ก็จะมีอิสระเขียนให้เต็มที่ไปเลย เพราะไม่มุ่งหวังรางวัลแล้วล่ะ ... คนสัมภาษณ์ก็งง ทำไมไม่มุ่งหวังรางวัลแล้วอ่ะ??
" ก็ได้มาสองเล่มแล้ว เล่มที่สามจะเอาอีกเหรอ ถ้าเธอเป็นกรรมการ เธอไม่คิดเหรอว่าเธอต้องให้ชาวบ้านบ้าง"
1
เออ ก็จริงนะ
**** SPOILER ALERT *****
เรื่องที่จะเขียนต่อไปนี้
เป็นการเปิดเผยเนื้อเรื่องที่สำคัญมั่กๆๆๆๆๆๆๆๆ
ถ้าคิดว่าจะไปหาหนังสือมาอ่าน
ก็ควรข้ามตรงนี้ไป เพราะถ้ารู้แล้วจะเสียอรรถรสในการอ่านอย่างมาก
หนังสือเปิดเรื่องด้วย "ดาว" เด็กอายุ 12
ที่เล่าเรื่องราวที่ได้ยินจากยายศรีให้เราฟัง
แล้วดาวก็ยังสามารถสื่อสารกับ
แมวสีดำลายกุหลาบได้ด้วย
ซึ่งตอนแรกที่อ่านจากชื่อหนังสือ ก็คิดว่า
เดี๋ยวแมวกุหลายดำนี้
ก็คงจะเล่าเรื่องราวให้ฟังต่ออีกล่ะมั้ง
เปล๊าาาา แมวมีบทบาทไม่เยอะเท่าไหร่เลย
คนที่เล่าเรื่องส่วนใหญ่คือยายศรีนี่แหละ
เล่าถึงปู่ทวดตง
เล่าถึงพี่น้องของยายศรีเอง ที่มีทั้งหมดรวมกัน 5 คน
แต่ละคนก็มีชะตากรรมโศกสลดเป็นของตัวเอง ไม่เว้นแม้แต่ยายศรี
เราคนอ่านจะสงสัยไปเรื่อย ๆ ว่า
"ดาว" คือใคร คือลูกใคร อยู่ยังไงแบบไหน
เพราะมันจะมีตอนนึงที่
ลูกชายจากเมืองจีนของปู่ทวดตงที่เดินทางมาไทยเพื่อตามหาพ่อ
แล้วก็พบกับบ้านที่รกร้างว่างเปล่า ....
แล้ว "ดาว" ล่ะ หายไปไหน?
นอกจากเรื่องราวชีวิตของแต่ละคนในตระกูลแล้ว
ก็ยังมีเรื่องเบี้ยบ้ายรายทางของชีวิตคนนู้นคนนี้
ที่ผู้เขียนร้อยเรียงผู้โยงเข้ามาด้วยอย่างสนุก
เช่นเรื่องราวของตาเนียร คนสวนที่ดูแลนาบัว
ที่ปลูกกระท่อมอยู่ไม่ห่างไปนั้น
ทีแรกเป็นคนขับรถของลูกท่านหลานเธอ
เจ้าของเดิมของบ้านตระกูลตั้งตง
แล้วก็มาได้มรดกที่คุณท่านเจียดแบ่งที่ดินข้าง ๆ ไว้ให้ก่อนหนีไปบวช
เพื่อที่ตาเนียรจะได้คอยดูแลที่ทางไม่ให้รกร้าง
ตาเนียรในวัย 40 ที่เมียแรกหนีตามลิเกไป
ก็เกิดไปถูกใจสาวรุ่นอีกจังหวัดนึง
ที่พ่อแม่เค้าไม่ยอมยกให้
ก็พาพวกไปฉุดลักลูกสาวเค้ามาทำเมียจนได้
แต่อยู่กันมาเพียงปีกว่า เมียก็มาตายหลังคลอดลูก
ตาเนียรเลี้ยงลูกมาจนแตกวัยสาว
ก็ได้กลิ่นหอมดอกไม้ตลอดเวลา
เป็นกลิ่นเหมือนเมียที่ทำให้แกหลงรักหัวปักหัวปำ
เมื่อคราวกระนู้นจนต้องไปฉุดคร่ามา
ตาเนียรตามกลิ่นไปตามกลิ่นมา
จนเปิดไปเจอกลิ่นในห้องลูกสาวตัวเอง
จากนั้นแกก็จำต้องพึ่งพาเหล้า
เพื่อดับความปราถนาอันเล้นลับทุกเมื่อเชื่อวัน
จนถึงจุดขาดสะบั้น
ที่แกต้องพาลูกสาวมาฝากให้ทำงานอยู่กินที่บ้านใหญ่
เพราะแกเก็บเอาลูกสาวไปฝันมิดีมิร้ายในยามค่ำคืน
แต่แม้จะเอาลูกไปฝาก
ก็ยังแอบไปด้อม ๆ มอง ๆ เมื่อคิดถึง
จนวันหนึ่งเห็นลูกสาว
แอบไปพลอดรักกับชายหนุ่มจับกัง
ที่ทำงานที่โกดังของเถ้าแก่ตง
แกก็ขาดสติต่อยตีไอ้หนุ่มนั่น
ไม่มีใครรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นต่อจากนั้น
เพราะไม่มีใครได้เห็น หนุ่มและลูกสาวของแกอีก
ทั้งยังซักถามเอากับตาเนียรไม่ได้
เพราะแกผูกคอคายใต้ต้นนุ่นในวันต่อมา
 
ชาวบ้านล่ำลือกันว่า
แกข่มขืนลูกสาวแกยับ
และฆ่าหนุ่มคู่รักจนตาย
บ้างก็ว่า ลูกสาวและหนุ่ม
กระเสือกกระสนหนีตาย
จากการอาละวาดของตาเนียรจนเตลิดไป
1
เนี่ย ... แค่เรื่องของตาเนียรก็สนุกแล้ว
แต่นี่เป็นเพียงแค่เสี้ยวเดียวของในเล่มนี้เท่านั้นเอง
ตอนอ่านผ่านการเล่าของยายศรี
ซึ่งสมทบปิดท้ายว่า "สงสารตาเนียร"
แม้ดาวจะถามว่า สงสารตาเนียรทำไม ยายศรีก็ไม่ตอบ
แต่ผู้เขียนก็มาเฉลยตอนหลังว่า
เมื่อยายแสงกลับมาเอาโกดังของปู่ตง
ไปทำโรงงานทอผ้าไหม
ลูกสาวตาเนียรก็กลับมาขอทำงานด้วย
แล้วเล่าเรื่องที่ไม่มีใครได้รู้ให้ฟังว่า
เมื่อตาเนียรต่อยตีไอ้หนุ่มนั่นแล้ว ก็ได้สติ
ให้เงินแก่ลูกสาวและไอ้หนุ่ม
ให้ไปทำมาหากินที่อื่นต่างหากเล่า
ไม่ได้มีเรื่องอย่างชาวบ้านลือกัน
ยายศรีบอกว่า
" ฉันก็ว่าแล้ว คนอย่างตาเนียรน่ะรึถึงจะมีปัญญาทำระยำตำบอนกับลูกในไส้ได้ไหว ไอ้จะให้คนดี ๆ มาทำเรื่องชั่วช้าได้นี่น่ะแค่เมาไม่พอร้อก ต้องบ้าด้วยนา"
อ่านไปจนสามร้อยหน้าปลาย ๆ
ก็เริ่มจะพอเดาได้แล้วว่า
"ดาว" นั้นน่าจะเป็นลูกใคร
เพราะรุ่นหลานของยายศรีนั้นมีอยู่กันแค่ 2 คนคือ
ระริน กับ ระพินทร์
แต่ถึงจะพอเดาได้ ก็ต้องอดตกใจไม่ได้ว่า
ผู้เขียนให้ "ดาว" เป็นลูกของทั้ง ระริน และ ระพินทร์
แม้ว่าทั้งสองคนจะไม่ใช่พี่น้องท้องเดียวกัน
แต่ก็ถือเป็นลูกพี่ลูกน้องกัน
นอกจากจะช็อคจากจุดนี้ไม่พอ
ผู้เขียนยังทำให้คนอ่านขนลุกต่อ
ด้วยการเฉลยว่า "ดาว" นั้นได้ตายไปแล้ว
ตั้งแต่ยังไม่ได้ถือกำเนิดเกิดมาเลยด้วยซ้ำ
1
อ้าว ... แล้วที่อ่านมาทั้งหมดคืออะไร??
ดาว คุยกับ ยายศรี ตอนไหน??
แมวกุหลาบดำที่บางทีก็คุยกับดาวนั้น
คุยกันตอนไหน??
อ้อ ... คงเป็นวิญญาณที่คุยกันสินะ
เพราะยายศรีน่ะตายตั้งแต่ยังสาว
แต่ในเรื่องที่เล่าน่ะ
ยายศรีเนื้อหนังเหี่ยวย่นไปทั้งตัวแล้ว
ตกลง ผีแก่ได้ด้วยใช่มั้ย??
แต่จะบอกอะไรให้
ถ้าอ่านมาตั้งแต่ต้น
ถ้าได้อ่านเรื่องราวที่สุดแสนมหัศจรรย์ของทั้งเล่ม
เรื่อง ดาว เรื่อง ยายศรีแก่ชรา
หรือเรื่องแมวกุหลาบดำสื่อสารได้
ก็ไม่ใช่เรื่องสลักสำคัญอะไรเลยจริง ๆ
สมแล้วกับหนังสือรางวัลซีไรต์ปี 2561
******************* SPOILER END ********************

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา