Blockdit Logo
Blockdit Logo (Mobile)
สำรวจ
ลงทุน
คำถาม
เข้าสู่ระบบ
มีบัญชีอยู่แล้ว?
เข้าสู่ระบบ
หรือ
ลงทะเบียน
หนังสือสนทนากับพระเจ้า
•
ติดตาม
26 ก.พ. 2021 เวลา 04:41 • หนังสือ
#11 เล่ม 2 บทที่ 4 หน้า 78 ~ 83
N : โอ เราออกนอกประเด็นกันไปใหญ่แล้วครับ เราเริ่มคุยกันที่เรื่องของเวลาแต่ดันมาจบลงที่เรื่องศาสนาเฉยเลย
G : ใช่ คุยกับพระเจ้าก็เป็นอย่างนี้แหละ มันยากที่จะจำกัดขอบเขตของการสนทนา
N : ผมขอสรุปประเด็นของพระองค์ในบทที่ 3 สักนิดนะครับ
1️⃣ ไม่มีเวลาอื่นนอกจาก "เวลานี้" ไม่มีห้วงขณะอื่นเว้นแต่ "ห้วงขณะนี้"
2️⃣ เวลา ไม่ใช่สิ่งต่อเนื่องตามกัน แต่เป็นหน่วยของสัมพันธภาพที่ดำรงอยู่ในแนวตั้ง "บนและล่าง" ซึ่ง "ห้วงขณะ" หรือ "เหตุการณ์ต่างๆ" จะเรียงซ้อนกันอยู่เป็นชั้นๆ เกิดขึ้นหรือปรากฏขึ้น "ในเวลาเดียวกัน"
3️⃣ เราเดินทางไปยังโลกความจริงแห่งห้วงกาลเวลาต่างๆ (ที่ไร้กาลเวลา) ในทุกห้วงขณะอยู่ตลอดเวลาเป็นปรกติในระหว่างที่เรานอนหลับ "เดจาวู" เป็นประสบการณ์หนึ่งของการรับรู้ถึงการเดินทางนี้
4️⃣ ไม่มีช่วงเวลาใดเลยที่เรา "มิได้ดำรงอยู่"...และจะไม่มีช่วงเวลานั้นด้วย
5️⃣ แนวคิดเรื่อง "อายุ" ของดวงวิญญาณจะพิจารณาจากระดับของการตื่นรู้ ไม่ใช่จาก "ระยะเวลา"
6️⃣ ไม่มีสิ่งชั่วร้ายหรือมาร
7️⃣ เราต่างสมบูรณ์แบบ...ในแบบที่เราเป็น
8️⃣ "ผิด" เป็นแนวคิดที่ถูกสร้างขึ้นโดยจิต (mind) มีพื้นฐานจากประสบการณ์ที่ได้สัมพันธ์กับสิ่งต่างๆ
9️⃣ เรากำลังสร้างกฏขึ้นมาตลอดเส้นทางที่เดินไปและปรับเปลี่ยนอยู่ตลอดเพื่อให้เข้ากับความจริง ณ ปัจจุบันของตัวเรา และนั่นก็ไม่เป็นอะไรเลย มันควรเป็น `และต้องเป็น` อย่างนั้นอยู่แล้ว หากเราเป็นสิ่งมีชีวิตที่กำลังวิวัฒน์ตัวเอง
1️⃣0️⃣ ฮิตเลอร์ได้ขึ้นสวรรค์ (❗)
1️⃣1️⃣ ทุกๆสิ่งที่เกิดขึ้นล้วนเป็นเจตจำนงของพระเจ้า ทุกสิ่งเลย และก็ไม่ใช่เพียงแค่เรื่องของเฮอร์ริเคน ทอร์นาโด และแผ่นดินไหวเท่านั้น แต่ยังรวมไปถึงเรื่องของฮิตเลอร์ด้วย เคล็ดลับแห่งความเข้าใจอยู่ที่การรู้ถึง`จุดมุ่งหมายที่อยู่เบื้องหลังในทุกๆเหตุการณ์`
1️⃣2️⃣ ไม่มี "การลงทัณฑ์" หลังความตาย และผลสืบเนื่องต่างๆจะให้ผลเป็นประสบการณ์ในโลกสัมพัทธ์เพียงเท่านั้น ไม่มีอยู่ในโลกแห่งความสัมบูรณ์ (โลกปรมัตถ์)
1️⃣3️⃣ หลักการทางศาสนาหรือทฤษฎีทางเทววิทยาของมนุษย์คือการพยายามอันวิกลจริตที่จะอธิบายถึงพระเจ้าจอมวิกลจริตที่ไม่มีอยู่จริง
1️⃣4️⃣ วิธีการเดียวที่หลักคิดทางศาสนาของมนุษย์จะฟังดูสมเหตุสมผลขึ้นมาได้ก็คือ เราต้องยอมรับพระเจ้าผู้ไร้เหตุผลโดยสิ้นเชิง
เป็นยังไงบ้างครับ❓
ผมสรุปได้ดีอีกแล้วใช่มั้ย❓
G : เยี่ยมมาก
N : ดีครับ เพราะตอนนี้ผมมีคำถามเป็นล้านข้อเลย อย่างข้อที่ 10 และ 11 เป็นต้น อยากจะขอความกระจ่างเพิ่มเติมว่า ทำไมฮิตเลอร์ถึงได้ขึ้นสวรรค์❓ (ผมรู้ว่าพระองค์พยายามอธิบายแล้วแต่ผมยังอยากฟังเพิ่มอีก)
และอะไรคือจุดมุ่งหมายที่อยู่เบื้องหลังในทุกๆเหตุการณ์❓ แล้วจุดมุ่งหมายที่ใหญ่กว่านั้นในเรื่องนี้เกี่ยวข้องกับฮิตเลอร์และทรราชคนอื่นๆได้ยังไง❓
G : ไปที่เรื่อง "จุดมุ่งหมาย" กันก่อน
ในทุกๆเหตุการณ์และทุกๆประสบการณ์มีจุดมุ่งหมายเพื่อสร้าง`โอกาส` 🔸เหตุการณ์และประสบการณ์ต่างๆก็คือโอกาส🔸 ไม่มากหรือน้อยไปกว่านั้น
ถือเป็นเรื่องผิดผลาดที่จะไปตัดสินเรื่องเหล่านั้นว่าเป็น "ผลงานของปีศาจ" "การลงทัณฑ์จากพระเจ้า" "รางวัลจากสวรรค์" หรืออะไรทำนองนั้น
✴️ มันเป็นเพียงแค่เหตุการณ์และประสบการณ์...เป็นเพียงแค่สิ่งที่เกิดขึ้นเท่านั้น ✴️
🔸การที่เรา`คิด`ถึงมันในลักษณะไหน
🔸`ปฏิบัติ`ต่อมันอย่างไร หรือ
🔸เรา`เป็น`อะไรถึงได้ตอบสนองต่อสิ่งที่เกิดขึ้นออกไปแบบนั้น
✨ด้วยสิ่งนี้เป็นการให้นิยามต่อสิ่งเหล่านั้นว่ามีความหมายอย่างไร✨
เหตุการณ์และประสบการณ์ต่างๆคือโอกาสที่ถูกดึงดูดเข้าสู่ชีวิตเธอ (ถูกสร้างขึ้นด้วยตัวของเธอเองคนเดียวหรือแบบรวมหมู่ผ่านจิตสำนึก) 🔸จิตสำนึกคือผู้สร้างประสบการณ์🔸
1
✴️เธอกำลังพยายามยกระดับจิตสำนึกของตัวเอง เธอได้ดึงดูดโอกาสเหล่านี้เข้าหาตัวเพื่อใช้เป็นเครื่องมือในการสร้างสรรค์และมีประสบการณ์ว่าเธอคือใคร
✴️"ใครที่เธอเป็น" (จริงๆ) คือตัวตนแห่งจิตสำนึกที่สูงส่งกว่าที่ตัวเธอกำลังแสดงออกอยู่ในตอนนี้
✴️เพราะเป็นเจตจำนงของฉันที่เธอควรจะได้รู้และมีประสบการณ์ว่าเธอคือใคร
✴️ฉันได้อนุญาตให้เธอดึงดูดเอาเหตุการณ์และประสบการณ์แบบไหนก็ได้เข้าสู่ชีวิตที่เธอเลือกจะสร้างสรรค์
1
✴️ผู้เล่นรายอื่นในเกมแห่งเอกภพนี้ได้เข้าร่วมเล่นไปกับเธอเป็นครั้งคราว
▶️ ไม่ว่าจะเป็นผู้ที่พบกันเพียงชั่วระยะเวลาสั้นๆ
▶️ ผู้ที่มีส่วนร่วมในชีวิตเพียงผิวเผิน
▶️ ผู้ที่เป็นเพื่อนกันเพียงชั่วคราว
▶️ เพื่อนที่คบกันในระยะยาว
▶️ ครอบครัวและเครือญาติ
▶️ บุคคลอันเป็นที่รักหรือผู้ร่วมทางชีวิต
✴️เธอเองเป็นผู้ดึงดูดจิตวิญญาณเหล่านี้เข้าสู่ชีวิตตน
✴️พวกเขาเองก็ดึงดูดเธอเข้าสู่ชีวิตของพวกเขาด้วยเช่นเดียวกัน
นี่คือ 🌟ประสบการณ์ของการร่วมกันสร้างซึ่งแสดงถึงการเลือกและความปรารถนาของทั้งสองฝ่าย🌟
❇️ ไม่มีใครเข้าสู่ชีวิตเธอด้วยความบังเอิญ
❇️ ไม่มีสิ่งที่เรียกว่าความบังเอิญ
❇️ ไม่มีสิ่งใดที่เกิดขึ้นด้วยการเดาสุ่ม
❇️ ชีวิตไม่ใช่ผลผลิตของการเดาสุ่ม
✴️เหตุการณ์ก็เหมือนกันกับผู้คนที่ถูกดึงดูดเข้าสู่ชีวิตเธอโดยตัวเธอ...เพื่อรับใช้จุดมุ่งหมายของตัวเธอเอง
ส่วนประสบการณ์และวิวัฒนาการในระดับสังคมโลก 🔸ก็เป็นผลผลิตมาจากจิตสำนึกแบบรวมหมู่หรือจิตสำนึกแบบกลุ่ม🔸
1
✴️ สิ่งเหล่านั้น (เหตุการณ์และผู้คน) จะถูกดึงดูดเข้าสู่`กลุ่มของเธอ`โดยผลรวมของการเลือกและความปรารถนาของคนทั้งกลุ่ม
N : ที่พระองค์บอกว่า "กลุ่มของเธอ" มันหมายความว่ายังไงครับ❓
G : "จิตสำนึกแบบกลุ่ม" เป็นสิ่งซึ่งยังไม่เป็นที่เข้าใจกันมากนัก ทว่ามันมีอานุภาพและศักยภาพเป็นอย่างยิ่ง หากเธอไม่ระมัดระวังให้ดี บ่อยครั้งที่มันจะมีอิทธิพลอยู่เหนือจิตสำนึกส่วนบุคคล
ด้วยเหตุนี้เธอจึงต้องมานะบากบั่นที่จะสร้างจิตสำนึกแบบกลุ่มในทุกๆที่ที่เธอไปและในทุกๆสิ่งที่เธอทำ ถ้าเธอปรารถนาให้ประสบการณ์ชีวิตในระดับสังคมโลกของเธอเป็นไปอย่างกลมกลืนและปรองดอง
1
หากเธออยู่ในกลุ่มที่มีจิตสำนึกซึ่งไม่เข้ากันกับตัวเธอ และหากตัวเธอในตอนนี้ยังไม่มีศักยภาพเพียงพอที่จะเปลี่ยนแปลงจิตสำนึกของกลุ่มได้ จะเป็นการฉลาดกว่าที่จะออกมาจากกลุ่มนั้นเสีย ไม่อย่างนั้นกลุ่มจะนำ`เธอ` ให้ต้องเดินตามกลุ่มไป แทนที่เธอจะได้ไปยังที่ที่ตัวของเธอเองนั้นต้องการ
หากเธอไม่สามารถค้นหากลุ่มที่มีจิตสำนึกซึ่งเข้ากันได้กับเธอพบ ก็จงเป็นจุดกำเนิดให้กับมัน (สร้างกลุ่มขึ้นมาเอง) คนอื่นๆที่มีจิตสำนึกแบบเดียวกันกับเธอก็จะถูกดึงดูดเข้ามาหาเธอเอง
ถ้าอยากให้โลกใบนี้ของเธอเปลี่ยนแปลงไปอย่างมั่นคงถาวรและมีความหมายแล้วล่ะก็ เหล่าปัจเจกชนและชนกลุ่มเล็กๆทั้งหลายจำเป็นจะต้องสร้างผลกระทบไปยังกลุ่มที่ใหญ่กว่า และในท้ายที่สุดมันก็จะส่งผลกระทบไปถึงกลุ่มที่ใหญ่ที่สุดซึ่งก็คือ "มนุษยชาติทั้งมวล"
โลกของเธอ (และสภาพที่เป็นอยู่ของมัน) ✨คือภาพสะท้อนของจิตสำนึกรวมหมู่ของมนุษย์ทั้งหมดบนโลก✨
1
ถ้าเธอมองไปรอบๆตัว เธอคงเห็นแล้วใช่ไหมว่ายังมีงานที่ต้องทำเหลืออยู่อีกมาก แน่นอน นอกเสียจากว่าเธอจะพอใจอยู่แล้วกับโลกแบบนี้
ที่น่าประหลาดก็คือ ✴️คนส่วนใหญ่ต่างพอใจอยู่กับโลกที่เป็นอยู่ในตอนนี้ นี่คือเหตุผลว่าทำไมโลกถึงไม่เคยเปลี่ยนไป✴️
1
คนส่วนใหญ่ต่าง`พอใจ`อยู่กับโลกที่ความแตกต่างจะถูกยกย่องไม่ใช่ความคลึงคล้าย โลกที่แก้ปัญหาความไม่เห็นพ้องด้วยการต่อสู้และสงคราม
1
คนส่วนใหญ่ต่าง`พอใจ`อยู่กับโลกที่ "ผู้เข้มแข็งเท่านั้นถึงจะอยู่รอด" โลกที่ "อำนาจคือความชอบธรรม" โลกที่ "การแข่งขันคือสิ่งจำเป็น" และ "ชัยชนะถูกเรียกว่าสิ่งที่ดีที่สุด"
หากระบบแบบนั้นได้สร้าง "ผู้แพ้" ขึ้นมา ก็ช่างหัวมันปะไร ตราบเท่าที่เธอไม่ได้เป็นหนึ่งในนั้น
คนส่วนใหญ่ต่าง`พอใจ` แม้ว่าสังคมแบบนั้นจะทำให้ผู้คนต้องโดนเข่นฆ่าอยู่เป็นนิจเมื่อพวกเขาถูกตัดสินว่า "ผิด" ต้องอดอยากและไร้ที่พักพิงเมื่อเป็น "ผู้แพ้" ต้องถูกกดขี่และถูกเอารัดเอาเปรียบเมื่อไม่ได้เป็น "ผู้เข้มแข็ง"
คนส่วนใหญ่นิยามคำว่า "ผิด" ให้หมายถึง "สิ่งซึ่งต่างไปจากพวกของตน" โดยเฉพาะต้องไม่ยอมให้กับความต่างทางศาสนา ต้องไม่ยอมให้กับความหลากหลายทางสังคม ทางเศรษฐกิจ และทางวัฒนธรรม ที่แตกต่างกัน
การเอารัดเอาเปรียบชนชั้นล่างถือเป็นเรื่องที่ชอบด้วยเหตุผล ด้วยคำประกาศอันแสนภาคภูมิใจจากชนชั้นบนว่า ชีวิตในปัจจุบันของเหยื่อเหล่านี้ดีขึ้นมากแค่ไหนแล้วเมื่อเทียบกับชีวิตก่อนที่จะโดนเอารัดเอาเปรียบ
ด้วยวิธีคิดแบบนี้ทำให้ชนชั้นบนไม่สนใจในประเด็นที่ว่ามนุษย์ทุกคนควรจะได้รับการปฏิบัติอย่างไรถ้าเรา`เป็นธรรม`กับพวกเขาจริงๆ แทนที่จะเพียงแค่ทำให้สถานการณ์อันเลวร้ายดีขึ้นมาสักเล็กน้อย...แล้วก็หาประโยชน์จากพวกเขาอย่างต่ำช้า
คนส่วนใหญ่ต่าง`หัวเราะเยาะ` เมื่อมีใครสักคนแนะนำถึงระบบสังคมแบบที่ต่างไปจากปัจจุบัน และพากันร้องบอกว่าพฤติกรรมเช่นการแข่งขัน การเข่นฆ่า และ "ผู้ชนะย่อมได้ไป" คือสิ่งที่ทำให้อารยธรรมของพวกตนนั้น `ยิ่งใหญ่❗`
คนส่วนใหญ่ถึงขั้นคิดว่ามันไม่มีหนทางอื่นอีกแล้ว คิดว่านี่แหละคือ`ธรรมชาติของมนุษย์`ที่จะต้องมีพฤติกรรมในลักษณะนี้ และการมีพฤติกรรมในแบบอื่นจะฆ่าจิตวิญญาณภายในที่เป็นตัวขับเคลื่อนมนุษย์สู่ความสำเร็จ (ไม่เห็นมีใครถามเลยว่า "ความสำเร็จที่ต้องแลกมาด้วยอะไร❓")
มันยากที่จะทำให้มนุษย์`เข้าใจได้อย่างแท้จริง` เพราะคนส่วนใหญ่บนโลกของเธอเชื่อในปรัชญาการใช้ชีวิตแบบนี้ และนี่จึงเป็นเหตุผลที่ว่าทำไมคนส่วนใหญ่ถึงไม่สนใจต่อคนมากมายที่กำลังทนทุกข์ ไม่สนใจการกดขี่ข่มเหงชนกลุ่มน้อย ไม่สนใจความขุ่นแค้นของชนชั้นล่าง ไม่สนใจกับความจำเป็นต่อ`การอยู่รอด`ของใครก็ตามที่ไม่ใช่ของตัวเองและครอบครัว
คนส่วนใหญ่มองไม่เห็นเลยว่าพวกเขากำลังทำลายโลกของพวกเขาเองอยู่ (โลกที่ให้`ชีวิต`แก่พวกเขานั่นล่ะ) เพราะพวกเขามุ่งแต่จะหาทางยกระดับคุณภาพชีวิตของตัวเองเพียงเท่านั้น
ที่น่าทึ่งก็คือ คนเหล่านี้ไม่ได้มองการณ์ไกลพอที่จะสังเกตได้เลยว่าผลประโยชน์เฉพาะหน้าอาจก่อให้เกิดความสูญเสียในระยะยาว ซึ่งผลก็มักจะเป็นแบบนั้นและจะเป็นแบบนั้นต่อไปด้วย
คนส่วนใหญ่`รู้สึกถูกคุกคาม`จากจิตสำนึกแบบกลุ่มที่มีแนวคิดอย่างเช่น "ผลประโยชน์ของส่วนรวม" "ความคิดเห็นเกี่ยวกับโลกที่เป็นหนึ่งเดียว" หรือ "พระเจ้าผู้เป็นหนึ่งเดียวกับทุกสรรพสิ่ง" (ดำรงอยู่ในทุกสรรพสิ่ง) แทนที่จะแยกขาดจากกัน
ความกลัวในทุกๆเรื่องที่จะนำไปสู่การรวมตัว และ การเห็นดีเห็นงามไปกับทุกๆเรื่องของการแบ่งแยกบนโลกจึงทำให้เกิดการแตกแยก ไม่ปรองดอง และความบาดหมาง
ทว่าดูเหมือนพวกเธอก็ยังไม่สามารถแม้แต่จะเรียนรู้จากประสบการณ์ของตน และยังคงมีพฤติกรรมที่ให้ผลลัพธ์ในแบบเดิมๆของตนต่อไป
✴️การไร้ซึ่งความสามารถในการเข้าใจถึงความทุกข์ยากของผู้อื่นว่าเป็นดั่งความทุกข์ยากของตนเช่นเดียวกันนี้เอง "ได้ทำให้ความทุกข์นั้นยังคงดำเนินอยู่ต่อไป"✴️
🔹การแบ่งแยก🔹 ก่อให้เกิดความรู้สึกไม่แยแส และความรู้สึกว่าสูงส่งกว่าแบบผิดๆ
🔹ความเป็นหนึ่ง🔹 ก่อให้เกิดความเมตตากรุณาและความเท่าเทียมกันที่แท้จริง
เหตุการณ์ต่างๆที่เกิดขึ้นบนโลกของเธอ (ซึ่งเกิดขึ้นอยู่ตลอดมาร่วม 3,000 ปีแล้ว) อย่างที่ฉันได้พูดเอาไว้ คือ ภาพสะท้อนของจิตสำนึกแบบรวมหมู่ของ "กลุ่มของเธอ" เป็นกลุ่มของมนุษย์ทั้งหมดบนโลกของเธอ
ซึ่งจิตสำนึกในระดับนี้นั้น
คำอธิบายที่เหมาะสมที่สุดก็คือ
🔸ล้าหลังและป่าเถื่อน🔸 ★ (primitive)
★ถ้าใช้คำแบบนุ่มๆหน่อยจะใช้เป็น "ยังไม่พัฒนา" หรือ จิตสำนึกในระดับ "เตรียมอนุบาล" อะไรแบบนั้นก็ได้ครับ
—แอดมิน—
...
...
...
1 บันทึก
2
ดูเพิ่มเติมในซีรีส์
สนทนากับพระเจ้า เล่ม 2
1
2
โฆษณา
ดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน
© 2024 Blockdit
เกี่ยวกับ
ช่วยเหลือ
คำถามที่พบบ่อย
นโยบายการโฆษณาและบูสต์โพสต์
นโยบายความเป็นส่วนตัว
แนวทางการใช้แบรนด์ Blockdit
Blockdit เพื่อธุรกิจ
ไทย