Blockdit Logo
Blockdit Logo (Mobile)
สำรวจ
ลงทุน
คำถาม
เข้าสู่ระบบ
มีบัญชีอยู่แล้ว?
เข้าสู่ระบบ
หรือ
ลงทะเบียน
คีตาแห่งสยาม
•
ติดตาม
7 มี.ค. 2021 เวลา 05:31 • หนังสือ
✴️ บทที่ 1 ความท้อแท้ของอรชุน
(ตอนที่ 7) ✴️
หน้า 33 – 36
🌸 “พวกเขาได้ทำอะไรกัน” — สำรวจสนามรบในจิตใจและจิตวิญญาณ 🌸
⚜️ โศลก 1 ⚜️ (ตอนที่ 6)
เมื่อเริ่มวงจรการเนรมิตสร้างนั้น พระเจ้าทรงรังสรรค์รูปทรงทั้งหลายด้วยพระบัญชา : “พระวาทะ”★ หรือพลังสั่นสะเทือนแห่ง 'โอม' หรือพลังสั่นสะเทือนแห่งจักรวาล ซึ่งทรงอำนาจในการรังสรรค์ การรักษา และการทำลาย พระเจ้าทรงสร้างมนุษย์ตามฉายาและพลังสร้างสรรค์แห่งพระองค์ แต่อดัมกับอีฟ (สัญลักษณ์ของมนุษย์คู่แรก) ยอมสยบต่อความเย้ายวนของผัสสอินทรีย์ จึงได้สูญเสียอำนาจ “การสร้างสรรค์อันบริสุทธิ์" ที่พวกเขาสามารถใช้พลังและชีวิตเสกสร้างทายาทจากอากาศธาตุ (ทำให้พวกเขามีชีวิตจากโลกแห่งความคิด) ได้เช่น เดียวกับพระเจ้า
★ “ในปฐมกาลพระวาทะทรงดำรงอยู่ และพระวาทะทรงอยู่กับพระเจ้า และพระวาทะทรงเป็นพระเจ้า...พระเจ้าทรงสร้างสรรพสิ่งขึ้นมาโดยพระวาทะ ในบรรดาสิ่งที่เป็นอยู่นั้น ไม่มีสักสิ่งเดียวที่เป็นอยู่นอกเหนือพระวาทะ” (ยอห์น 1:1,3)
แทนที่มนุษย์ชายหญิงจะแสวงหาอิสรภาพด้วยการเป็นวิญญาณหนึ่งเดียวกับพระเจ้า พวกเขากลับแสวงหาความพอใจทางเนื้อหนัง เมล็ดพันธุ์ความผิดพลาดของ “อดัมกับอีฟ” ยังคงมีอยู่ในมนุษย์ทุกคนในลักษณะความเย้ายวนทางเนื้อหนัง ซึ่งอยู่ฝ่ายตรงกันข้ามกับกฎแห่งจิตวิญญาณอันบริสุทธิ์ (“ผลของต้นไม้ที่อยู่กลางสวนนั้น ห้ามพวกเจ้ากินและถูกต้องเลย!”) นับแต่ยุคหม่นมัวนั้นเป็นต้นมา วิญญาณของมนุษย์แต่ละคนจึงต้องผจญอยู่กับสงครามความเย้ายวนทางเพศ พลังสร้างสรรค์ในมนุษย์กลายเป็นพลังเผด็จการ
▪️สัญชาตญาณเพศที่ไร้การควบคุมทำให้มนุษย์ติดอยู่กับการรับรู้ผ่านกาย ▪️
แรงกระตุ้นทางเพศเป็นพลังหลักหนึ่งเดียวในการฉุดชีวิตและจิตสำนึกจากบรมวิญญาณที่จักระระดับสูงในสมองลงมาผ่านจักระที่ก้นกบมาสู่สำนึกทางวัตถุและทางกาย ผู้เริ่มมีประสบการณ์กับการปฏิบัติโยคะสมาธิจะยึดมั่นอย่างดื้อรั้นอยู่กับชีวิตและพลังทางกาย จนบางครั้งพวกเขาไม่ตระหนักว่าความคิดและการกระทำทางเพศที่ขาดการควบคุมนั้นแหละคือสาเหตุหลักที่ทำให้เขาต้องตกอยู่ในภาวะติดข้องอยู่ในโลกโลกีย์
ผู้แสวงหาการหยั่งรู้ตนจึงต้องอาศัยโยคะมาควบคุมพลังฝ่ายกบฏนี้ คู่สมรสพึงฝึกการปฏิบัติสายกลาง โดยมีความรักและมิตรภาพเป็นเครื่องนำทาง ส่วนคนโสดต้องใช้ชีวิตตามกฎพรหมจรรย์อันบริสุทธิ์ - ทั้งในความคิดและการกระทำ
ผู้ที่มีชัยชนะเหนือสัญชาตญาณทางเพศคือผู้ที่ได้รับพร เพราะการเก็บกดอาจยิ่งเพิ่มความยุ่งยากมากขึ้น เพราะโยคะสอนสิ่งประเสริฐ คนทั่วไปอาจพ้นจากความเย้ายวนได้ด้วยการหลีกหนีจากการคลุกคลีกับหมู่เหล่า สภาพแวดล้อม หนังสือ ภาพยนตร์ ที่กระตุ้นความคิดทางเพศ และด้วยการฝึกควบคุมตนเอง ด้วยการแสวงหาหมู่เหล่าที่ดี ด้วยการกินอาหารอย่างเหมาะสม (กินน้อย ไม่กินเนื้อสัตว์ กินผลไม้และผักสดให้มากขึ้น) ด้วยการบริหารกายอย่างสม่ำเสมอ ทำกิจกรรมที่สร้างสรรค์ เช่น ศิลปะ การประดิษฐ์คิดค้น การเขียน เป็นต้น
แต่เหนืออื่นใดคือให้ความคิดอยู่กับสิ่งงดงาม สันติสุข และการรักพระเจ้าซึ่งให้ความพอใจทุกเมื่อ ส่วนการปรารถนาความเพลิดเพลินทางเพศอย่างไม่รู้อิ่มนั้นอาจเปลี่ยนให้เป็นความรักแห่งสวรรค์และความเกษมสุขได้ด้วยการอยู่ใน 'สมาธิลึก'
ศาสดาพยากรณ์ผู้กล้าหาญที่สุด กล้าที่จะฝ่าเสียงที่ไม่น่ายินดีนี้ เข้าสู่อาณาแห่งสัญชาตญาณธรรมชาติ เพื่อเตือนตนตามคำสอนของพระคัมภีร์ที่ให้ระวังพฤติกรรมการสำส่อน การเป็นชู้ และพฤติกรรมการปล่อยตัวอย่างผิดปกติที่โลกสมัยใหม่เรียกกันว่า “รักเสรี” #การเป็นทาสของเพศรสมักไม่อยู่บนรากฐานของความรัก และนั่นไม่ใช่เรื่อง “เสรี”
การตำหนิติเตียนโดยนักสอนศีลธรรมตามหลักศาสนา ไม่ได้ช่วยอะไรได้มากนัก นอกจากการสร้างความรู้สึกผิดให้แก่คนที่ถูกเรียกว่า “คนบาป” ไม่ก็ทำให้เขาหันหลังให้ศาสนาไปเลย — หรือที่พบเห็นกันทั่วไปคือ การสร้างความชอบธรรมให้แก่พฤติกรรมของตนโดยการสมาคมกับคนที่อยู่ในมาตรฐานเดียวกัน ซึ่งเป็นสิ่งที่พบเห็นอยู่ตลอดเวลา
ศีลธรรมก็เป็นเช่นเดียวกันกับกิ้งก่า ที่เปลี่ยนสีได้ตามสภาพแวดล้อมของสังคม #แต่กฏอันเร้นลับของธรรมชาติที่พระเจ้าทรงธำรงสิ่งสร้างแห่งพระองค์ #ไม่เคยเปลี่ยนไปตามการกำหนดของมนุษย์ ข้อเท็จจริงง่ายๆก็คือ ทันทีที่มนุษย์ละเมิดกฏศักดิ์สิทธิ์ของธรรมชาติ เขาจะตกเป็นทาสของบ่วงกรรม และเมื่อได้รับทุกข์จากผลกรรมนั้น เขาจะร้องอย่างละห้อยสร้อยเศร้า “พระเจ้า ทำไมจึงต้องเป็นฉันด้วย” 'ความเข้าใจ' คือศิลปะการแก้ปมที่เกิดจากอวิชชา 'โยคะ' จึงสอนความสำเร็จสูงสุดของธรรมชาติให้แก่มนุษย์ นั่นคือการเคารพขนบความศักดิ์สิทธิ์ของการสืบพันธุ์ ซึ่งเป็นสิ่งที่ไม่ควรละเมิด
▪️สร้างความกลมกลืนระหว่างธรรมชาติฝ่ายหญิงกับฝ่ายชาย▪️
ลองเริ่มด้วยการพิจารณาว่า ทุกชีวิตคือวิญญาณ ที่ถูกสร้างตามฉายาของพระเจ้า แต่ปรากฏในภาวะหญิงชายตามธรรมชาติที่แตกต่างกัน เพศชายมีแนวโน้มที่จะมีอำนาจในการแยกแยะ ควบคุมตนเอง และตัดสินได้อย่างแม่นยำ คุณลักษณะของฝ่ายเหตุผลและสติปัญญา — ส่วนธรรมชาติของฝ่ายหญิงนั้น มีแนวโน้มไปทางฝ่ายอารมณ์ ความรักละมุนละไม ความเห็นอกเห็นใจความเมตตากรุณา ซึ่งล้วนเป็นคุณลักษณะฝ่ายความรู้สึก
ถ้าคุณลักษณะของทั้งสองฝ่ายนี้ 'ไม่ประสานกันอย่างกลมกลืน' #การสืบพันธุ์ทางจิตวิญญาณที่ทายาทจะมีสันติสุขอยู่เป็นปกตินั้นย่อมเป็นไปไม่ได้ การสืบพันธุ์ทางจิตวิญญาณต้องอาศัย “การจับคู่” ที่เหมาะสม – ภายในตัวของเราเอง – นั่นคือ #ต้องมีธรรมชาติที่หนักแน่นของฝ่ายชายและธรรมชาติที่อ่อนโยนของฝ่ายหญิง จึงจะส่งผลให้เกิดความรู้และความยินดีที่แท้จริง
'ผู้ที่เข้าถึงการหยั่งรู้ตน' คือ #ผู้ที่เข้าถึงความกลมกลืนอันสมบูรณ์นี้ ในคนทั่วๆไป ความไม่สมดุลทำให้เขาขาดความพอใจ กระวนกระวายไม่เป็นสุข การมีใจให้กันระหว่างหญิงกับชาย เมื่ออยู่บนรากฐานของความรักที่แท้ที่ไม่ใช่ความใคร่ นั่นคือ #ความพยายามของวิญญาณที่จะกลับสู่ความกลมกลืนตามปกติของมัน ซึ่งเป็นเหตุผลที่ควรนำมาอ้างเพื่อการหาคู่ทางจิตวิญญาณของตน แต่ที่เป็นอยู่บ่อย ๆ คือการอ้างเหตุผลอย่างผิด ๆ ซึ่งทำให้ได้คู่ทางกายเสียมากกว่า!
แบบแผนของกรรมซึ่งสร้างโดยการกระทำในอดีตของบุคคล – ทั้งทางกายและจิต – เป็นตัวกำหนดการเกิดของวิญญาณของผู้นั้น ไม่ว่าจะเกิดมาในร่างของหญิงหรือชาย วิญญาณที่ไร้เพศมีประสบการณ์ในรูปแบบต่าง ๆ นานามาตลอดการเวียนว่ายตายเกิดหลายภพชาติ — นี่เป็นเหตุผลที่ดีอย่างหนึ่งที่จะเคารพความเท่าเทียมและคุณธรรมของทั้งสองเพศที่พระเจ้าทรงสำแดงให้ปรากฏ
เป้าหมายของการแต่งงานกันระหว่างหญิงกับชายคือ ต่างฝ่ายต่างช่วยกันเชิดชูมิตรภาพ ความรัก ความภักดีอันเป็นสิ่งทิพย์ #ที่จะชักนำวิญญาณของทั้งสองฝ่ายให้เข้าใกล้ธรรมชาติแท้จริง ที่เขาทั้งคู่ได้มาอยู่ร่วมกันในภพชาตินี้ — ทั้งยังเปิดทางให้แก่สภาพแวดล้อมที่เหมาะสมในการจะเชื้อเชิญวิญญาณอื่นๆ ที่กำลังแสวงหาการเกิดใหม่ในโลกนี้ ให้เข้ามาอยู่ในแวดวงความรักอันไพศาลนี้ด้วย
ไม่ว่าเรากำลังแสวงหาความกลมกลืนทางวิญญาณด้วยการแต่งงานอย่างถูกต้องเหมาะสม หรือใช้ชีวิตพรหมจรรย์ #ที่สุดแล้วก็คือการเข้าถึงความเป็นหนึ่งเดียวกับพระเจ้า นั่นคือ #การรวมเป็นหนึ่งระหว่างหญิงหรือชาย – และทั้งคู่คือผลผลิตของธรรมชาติ ซึ่งเป็นพลังฝ่ายลบ หรือ พลังฝ่ายสตรี – กับพลังฝ่ายบวก ศักดิ์สิทธิ์ หรือพลังแห่งบรมวิญญาณ ซึ่งเป็นที่รักของทุกวิญญาณผู้ใฝ่หาความรัก
▪️อหังการไม่สามารถปกครองได้ตลอดไป▪️
การต่อสู้เชิงจิตวิทยาหลายครั้งเกิดขึ้นก่อนการเข้าปกครองของวิญญาณราชา หรือก่อนที่อหังการราชาจะเข้ายึดครองอาณาจักรกาย
ในชีวิตหนึ่งหรือในหลาย ๆ ภพชาติที่เราเกิดมาแล้วนั้นเสมือนว่าอหังการราชามีอำนาจเต็มที่เหนืออาณาจักรกายเรา แต่ราชาองค์นี้ไม่อาจปกครองเราได้ตลอดไป แต่ถ้าวิญญาณราชาสามารถควบคุมอาณาจักรกายของมนุษย์ได้อย่างเต็มที่แล้วละก็ ท่านจะปกครองตลอดไป ทั้งนี้เป็นไปตามความจริงอันประเสริฐที่ว่า 'บาปและอวิชชา' #เป็นแค่ม่านบังวิญญาณเพียงชั่วครั้งคราว แต่ญาณปัญญากับความเกษมสุขนี่สิที่เป็นธรรมชาติแท้จริง
แม้ว่ามนุษย์เราอาจเป็นคนบาปได้บางเวลา แต่เป็นไปไม่ได้ที่เขาจะเป็นคนบาปตลอดไป หรือจะทนทุกข์อยู่ในนรกตลอดไป มนุษย์ถูกสร้างตามฉายาของพระเจ้า เขาอาจทำให้ภาพลักษณ์นั้นเสียหายไป เพราะการใช้เสรีภาพในการเลือกอย่างผิดๆ #แต่เขม่าดำของอวิชชาไม่อาจทำลายภาพลักษณ์อมตะของพระเจ้าในมนุษย์ได้เลย
ในเมื่อทิพยลักษณ์ในมนุษย์ไม่อาจซ่อนเร้นปิดบัง แม้ในอาณาจักรมืดมิดที่สุดก็ยังมีแสงแห่งความดีอยู่บ้าง เมื่อเราใคร่ครวญเกณฑ์ที่ไม่พลั้งพลาด จากการเปรียบเทียบทั้งสองตัวอย่างข้างต้น ผู้ภักดีควรวิเคราะห์การกระทำทั้งทางกาย และทางจิตของตนทุกวัน เพื่อจะตัดสินได้ว่าชีวิตของตนถูกปกครองโดยมายากับสำนึกฝ่ายกายมากน้อยแค่ไหน และเขาสามารถแสดงธรรมชาติของทิพยปัญญาแห่งวิญญาณได้มากน้อยเพียงใดด้วย
❇️ 'นิสัย' ต่อสู้กับ 'การเลือกเสรีอย่างรู้จักแยกแยะ' ❇️
ไม่ว่าการกระทำจะไปกันได้หรือไม่กับวิญญาณที่มีปัญญาแยกแยะ หรือกับอหังการที่หลอกลวง ทั้งหมดนี้ขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของบุคคลคนนั้น ไม่ว่าจะตัดสินใจอย่างมีสติหรือไม่มีสติ เมื่อการกระทำได้เกิดขึ้น
การกระทำของมนุษย์แต่ละคนถูกกำหนดได้หลายๆทาง คนเราอาจถูกชักนำโดยการเลือกอย่างเสรี หรือโดยอิทธิพลของกรรมที่เคยทำมาแต่ชาติ ปางก่อน หรือโดยการชักนำของความเคยชินในชาตินี้ หรือเพราะแรงสั่นสะเทือนของสภาพแวดล้อม
ความย้อนแย้งและความวิปริตใหญ่หลวงของชีวิต อาจเห็นได้ในความแตกต่างอย่างเห็นได้ชัด ระหว่างคนรวยแต่สุขภาพทรุดโทรม กับคนจนแต่สุขภาพดี บางคนอายุยืน บางคนตายตั้งแต่อายุยังน้อย บางคนประสบความสำเร็จในทุกสิ่ง บางคนล้มเหลวครั้งแล้วครั้งเล่า บางคนมีความสงบสุขอย่างเป็นธรรมชาติ บางคนฉุนเฉียวตลอดเวลา — ทั้งหมดนี้เป็นผลจากการกระทำทั้งแต่ชาติปางก่อนและการกระทำในชาตินี้ของเขาเหล่านั้น
คนเลวชั่วช้า ศิลปิน นักธุรกิจ นักทฤษฎี ปัญญาชน คนดีที่เอาแต่พูดแต่ไม่ทำ ผู้หยั่งรู้ตน คนเหล่านี้ล้วนทำตัวของเขาเองทั้งนั้น มีมนุษย์น้อยมากที่ใช้แค่การเลือกอย่างเสรีที่พระเจ้าประทานให้เพียงอย่างเดียว เพื่อทำให้เขาเป็นบุคคลอย่างที่เขาต้องการจะเป็น คนส่วนใหญ่จะปล่อยให้ลักษณะ นิสัยของตนเปลี่ยนไปตามบุญตามกรรม ตามอารมณ์และสภาพแวดล้อมนั้นๆ หรือขึ้นอยู่กับอิทธิพลของนิสัยที่ติดมาแต่ชาติปางก่อน และนิสัยในชาตินี้ที่เป็นไปได้ทั้งในทางเกื้อกูลหรือในทางทำลาย
นิสัยที่ติดมาตั้งแต่ก่อนเกิดจะฝังอยู่ในจิตใต้สำนึก และพยายามจะครอบงำอำนาจการแยกแยะของจิตสำนึก ข้าพเจ้าเชื่อว่าคนทุกคนสามารถกลายเป็น 'บุคคลในอุดมคติ' ได้ ถ้าไม่ปล่อยให้นิสัยที่ติดมาตั้งแต่ก่อนเกิดที่มาในคราบของพันธุกรรมมีอิทธิพลเหนือทิพยอำนาจในการเลือกอย่างเสรีของเขา
มนุษย์ทุกคนควรที่จะกระทำการได้อย่างเสรี เมื่อมีปัญญาประเสริฐนำ ไม่ถูกครอบงำโดยนิสัยไม่พึงประสงค์ที่ติดตัวมาตั้งแต่ก่อนเกิด อิทธิพลของนิสัยดีที่ติดตัวมานั้นไม่มีอันตรายใดๆ แต่แน่นอนที่ดีที่สุดคือ #กระทำความดีด้วยแรงบันดาลใจของวิญญาณการเลือกเสรีในปัจจุบัน
ในทำนองเดียวกัน เราไม่ควรปล่อยให้วิจารณญาณที่ดีตกเป็นทาสของนิสัยเลวที่ได้มาในชาตินี้ คนส่วนใหญ่ไม่รู้ผลของการกระทำภายใต้อิทธิพลของนิสัยเลว จนกว่าจะได้รับความทุกข์ทรมานทางกายอย่างแสนสาหัส หรือ ต้องพบกับความโศกเศร้าอย่างแทบใจสลาย ความเจ็บปวดกับความโศกเศร้านี่เองที่ทิ่มแทงมนุษย์ – ทุกอย่างสายเกินไป สายเกินกว่าจะสืบหาสาเหตุของสภาพการณ์ที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน
มนุษย์แทบไม่ตระหนักว่าส่วนใหญ่แล้ว สุขภาพ ความสำเร็จ และปัญญาที่มี ขึ้นอยู่กับประเด็นการต่อสู้ระหว่างนิสัยดีกับนิสัยเลวของตน ผู้ที่จะสถาปนาหลักแห่งวิญญาณไว้ภายในตนต้องไม่ปล่อยให้อาณาจักรกายถูกยึดครองโดยนิสัยที่ไม่ดี ความเลวทั้งหลายเหล่านั้นจะต้องถูกขจัดด้วยการฝึกนิสัยดี ๆ หลากหลายในศิลปะการต่อสู้ในสงครามจิตวิทยาเพื่อให้ได้ชัยชนะ
ทหารฝ่ายนิสัยไม่ดี สุขภาพทรุดโทรม และคนเลวมักใช้พลังไปในทางลบ — ส่วนทหารฝ่ายนิสัยดีนั้นจะถูกกระตุ้นให้มีความสุขกับการกระทำที่ดี ดังนั้นจึงต้องไม่หล่อเลี้ยงนิสัยเลวด้วยการกระทำที่ไม่ดี ต้องปล่อยให้มันอดตาย ด้วยการควบคุมตน และบำรุงเลี้ยงนิสัยดีด้วยการให้อาหารดีซึ่งก็คือการกระทำที่ดีนั่นเอง
ไม่มีการกระทำใด ไม่ว่าภายนอกหรือภายในจะเป็นไปได้โดยไม่มีพลังเจตจำนงที่แน่วแน่ #พลังเจตจำนงคือสิ่งที่เปลี่ยนความคิดเป็นพลังงาน★ “มนุษย์ถูกสร้างให้มีเจตจำนงเสรี” เขาจึงไม่ควรสละเสรีภาพในการเลือกและการกระทำ เพื่อจะมั่นใจได้ว่าเรากระทำสิ่งที่ถูกต้อง 'ความท้าทายของผู้แสวงหาการหยั่งรู้ตน' ก็คือ #การใช้นิสัยดีเอาชนะนิสัยเลวที่ติดตัวมาตั้งแต่ก่อนเกิดและที่ได้มาเมื่อเกิดในชาตินี้ #และเพิ่มพูนการกระทำที่เกิดจากการเลือกเสรีด้วยปัญญา #ปลดปล่อยตนจากกรรม #จากความเคยชิน #และอิทธิพลของสิ่งแวดล้อมทั้งปวง
เซอร์ จอห์น เอ็กเคลส หนึ่งในบรรดานักวิทยาศาสตร์ยุคใหม่ ผู้ได้รับรางวัลโนเบล ได้ยืนยันความสัมพันธ์ระหว่างเจตจำนงกับการกระทำของมนุษย์ บทความในวารสาร Dallas Times-Herald ตีพิมพ์เมื่อปี 1983 รายงานว่า “เซอร์ จอห์น เอ็กเคลสรู้ได้จากผลการวิจัย ว่าเมื่อคุณขยับนิ้วซึ่งเห็นกันว่าเป็นเรื่องธรรมดา แต่แท้จริงแล้วการเคลื่อนไหวนี้เกิดจากปฏิสัมพันธ์ซึ่งสั่งสมกันอย่างซับซ้อน ระหว่างสารเคมีกับประจุไฟฟ้านับล้านๆ ที่เกิดขึ้นอย่างเป็นระเบียบในสมองภายในเวลาแค่หนึ่งในล้านของวินาที การค้นพบนี้ทำให้เขาได้รับรางวัลโนเบลประจำปี 1963 ในฐานะผู้สำรวจนำร่องเกี่ยวกับ การถ่ายทอดคำสั่งจากเซลล์หนึ่งสู่อีกเซลล์หนึ่งโดยวิธีของสารเคมี
งานวิจัยเมื่อเร็วๆนี้ชี้ให้เห็นว่า กระบวนการเคลื่อนไหวนิ้ว ที่เอ็กเคลสเรียกว่า “กลไกการจุดชนวน” เริ่มที่บริเวณส่วนบนของสมองที่เรียกว่า ศูนย์สั่งการเคลื่อนไหวเสริม เขากล่าวว่า “แต่นั่นก็ ยังไม่ตอบคำถามสำคัญที่ว่า กลไกการจุดชนวนนี้เกิดขึ้นได้อย่างไร”
“การวิจัยขั้นต่อมาได้ให้ร่องรอยเกี่ยวกับเรื่องนี้ ถ้าผู้เข้ารับการทดลองไม่ได้ขยับนิ้วจริง แค่เขาคิดว่าขยับ เครื่องจับการเคลื่อนไหวก็จะบ่งบอกว่า ศูนย์สั่งการเคลื่อนไหวเสริมได้จุดชนวนขึ้น แม้กลไก ของสมองที่ควบคุมการเคลื่อนไหวของกล้ามเนื้อจะไม่... เอ็กเคลสจึงกล่าวอย่างผู้ชนะว่า “#ศูนย์สั่งการเคลื่อนไหวเสริมถูกจุดจากความตั้งใจ #จิตควบคุมสมอง #ความคิดทำให้เซลล์เกิดประกาย”
“กระบวนการทางสรีรวิทยาได้ยืนยันการค้นพบของเอ็กเคลสว่า มนุษย์มีเจตจำนงที่เป็นอิสระ การกระทำของเราเกิดจากสิ่งอื่นซึ่งไม่ใช่แค่การกระทำแบบกลไก เขากล่าวว่า “คุณมีสมรรถภาพทางจิตที่จะตัดสินใจได้ว่าจะทำสิ่งใด ถ้าคุณสามารถทำได้ในระดับธรรมดา ๆ เช่น การขยับนิ้ว ก็แสดงว่าคุณต้องสามารถทำอะไรในระดับที่ซับซ้อนมากขึ้นได้ ทั้งในเชิงการกระทำและการมีปฏิสัมพันธ์”
{หมายเหตุผู้จัดพิมพ์}
❇️ การเปลี่ยนแปรความอยาก ❇️
ความสัมพันธ์อันแนบแน่นระหว่าง 'ผัสสอินทรีย์กับนิสัย' คือตัณหา นักปราชญ์เรียกสิ่งนี้ว่า “ศัตรูตัวร้ายของมนุษย์” เพราะตัณหานี่เอง ที่ผูกรัดวิญญาณให้เวียนตายเวียนเกิดอย่างไม่จบสิ้นในแดนมายา
ดังนั้น การต่อสู้ที่สำคัญอีกอย่างหนึ่งที่วิญญาณต้องเอาชนะให้ได้ คือ การอยู่เหนือตัณหาส่วนตนทั้งหลาย ไม่ว่า เงิน อำนาจ สุขภาพ ทรัพย์สมบัติ ชื่อเสียงเกียรติยศ – #ทุกสิ่งที่ผูกมัดวิญญาณไว้กับวัตถุและทำให้จิตสำนึกลืมพระเจ้า
การสิ้นตัณหาไม่ได้หมายความว่ามีชีวิตอย่างไร้เป้าหมาย ไร้ความทะเยอทะยาน หากแต่หมายถึง #การทำงานเพื่อเป้าหมายที่ประเสริฐสูงส่งอย่างไม่ยึดมั่นถือมั่น ตัวอย่างเช่น ความอยากที่จะขจัดความยากไร้และภาวะไร้สุขภาพเป็นสิ่งที่ควรสนับสนุนและยกย่อง แต่เมื่อสุขภาพดีและมีความมั่งคั่งแล้ว เราต้องยกตัวให้อยู่เหนือเงื่อนไขวัตถุทางกายทั้งหลาย เพื่อว่าสุดท้ายแล้วจะได้เข้าถึง บรมวิญญาณ
แนวโน้มในยุคใหม่นี้คือการใช้ศาสนาและพระเจ้าเป็น “เหยื่อล่อ” ความมีสุขภาพ ความมั่งคั่ง และความสุขด้วยวัตถุ เราควรแสวงหาพระเจ้าทั้งเบื้องต้น เบื้องปลาย และตลอดเวลา ต้องแสวงหาเป้าหมายสูงสุดนั้น ไม่ใช่การแสวงหารางวัลจากพระองค์ และด้วยความรักอันท่วมท้นของพระเจ้า ผู้แสวงหาพระองค์จะได้พบสิ่งที่เขาปรารถนา “#แต่พวกท่านจงแสวงหาแผ่นดินของพระเจ้าและความ ชอบธรรมของพระองค์ก่อน #แล้วพระองค์จะทรงเพิ่มเติมสิ่งทั้งปวงนี้ให้”★ เมื่อเป็นหนึ่งเดียวกับพระเจ้า มนุษย์เราจะได้รับความพอใจในทุกๆความปรารถนา
★ มัทธิว 6:33
ในฐานะ “บุตรผู้รู้ตื่นของพระเจ้า” มนุษย์มีสิทธิที่จะเรียกร้องสุขภาพ ความมั่งคั่งและทุกสิ่งที่จำเป็นจากพระเจ้าผู้ทรงรักเรา ก่อนพบพระเจ้า ผู้คนมักอยากได้ของเล่นที่เป็นวัตถุ แต่เมื่อพบพระองค์แล้ว ความต้องการทางวัตถุ แม้ที่ว่าดีเลิศก็กลายเป็นสิ่งจืดชืด ซึ่งไม่ใช่เกิดจากความไม่ใส่ใจไยดี #หากแต่เกิดจากการเปรียบเทียบกับบรมเกษมสุขที่ล้วนให้ความพอใจและดับความอยากทุกประการ
ผู้คนจำนวนมากที่ดิ้นรนเพื่อเป้าหมายทางวัตถุตลอดชีวิต ต่างไม่ตระหนักกันเลยว่า ถ้าเขาใช้เพียงหนึ่งในสิบของความตั้งใจที่ใฝ่หาโลกียทรัพย์ มาใช้ในความพยายามที่จะแสวงหาพระเจ้าแล้ว พวกเขาจะได้รับความเต็มอิ่มไม่แค่ 'บางส่วน' เท่านั้น แต่ความปรารถนา 'ทุกประการ' ของพวกเขาจะได้รับการตอบสนอง
การแสวงหาพระเจ้าอย่างสุดจิตสุดใจไม่ได้หมายความว่าเราจะละเลยการต่อสู้ในชีวิตทางโลก ในเมื่อกล่องเพชรเม็ดงามไม่อาจเห็นได้ในที่มืด หัวใจที่มืดมัวด้วยความโง่หลง จิตไร้ความกลมกลืน หรือวิญญาณที่เผชิญกับโรคร้ายก็ไม่อาจสัมผัสพระเจ้าได้เช่นกัน
#ผู้แสวงหาทางจิตวิญญาณจึงต้องเรียนรู้ที่จะพิชิตทุกสงคราม #เพื่อให้อาณาจักรแห่งชีวิตเป็นอิสระจากสาเหตุแห่งความมืดทุกอย่าง #เพื่อจะรับรู้ได้ว่าพระเจ้าทรงสถิตอยู่แล้วอย่างบริบูรณ์
(มีต่อ)
1 บันทึก
2
ดูเพิ่มเติมในซีรีส์
ภควัทคีตา เล่ม 1 บทที่ 1
1
2
โฆษณา
ดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน
© 2024 Blockdit
เกี่ยวกับ
ช่วยเหลือ
คำถามที่พบบ่อย
นโยบายการโฆษณาและบูสต์โพสต์
นโยบายความเป็นส่วนตัว
แนวทางการใช้แบรนด์ Blockdit
Blockdit เพื่อธุรกิจ
ไทย