17 มี.ค. 2021 เวลา 04:17 • หนังสือ
ในบทที่ 9 นี้ แต่โพสจะยาวหน่อยนะครับ
นีลถกเถียงกับพระองค์เรื่องการศึกษาของเด็กๆ ซึ่งเข้มข้นมาก ผมเลยไม่อยากตัดให้มันสั้นลง อดทนอ่านกันแบบยาวๆนิดนึงครับ เพราะเรื่องของลูกๆเป็นเรื่องที่สำคัญที่สุดในชีวิตเรื่องหนึ่งของคนเป็นพ่อแม่
หลังจากอ่านบทนี้จบคุณจะยังคงตามกระแสสังคมอยู่อีกหรือไม่? หรือว่าจะยอมทบทวนใหม่และไม่ใส่ใจกระแสสังคมอีกต่อไป
แอดมิน 😄
#23 เล่ม 2 บทที่ 9 หน้า 152 ~ 159
N : โอเค ผมพร้อมที่จะไปต่อแล้วครับ พระองค์เคยสัญญาเอาไว้ว่าจะพูดถึงเรื่องชีวิตบนโลกในประเด็นที่กว้างขึ้น และตั้งแต่ที่พระองค์ได้วิพากษ์วิจารณ์ถึงชีวิตในอเมริกา ผมก็เลยอยากจะพูดถึงประเด็นเหล่านี้ต่อให้มากกว่านี้อีกครับ
G : ใช่ ดีเลย ฉันต้องการให้เล่มสองนี้พูดถึงปัญหาใหญ่ๆบางประเด็นที่โลกกำลังเผชิญอยู่ ซึ่งไม่มีปัญหาไหนจะใหญ่ไปกว่าเรื่องการศึกษาของลูกหลานของพวกเธออีกแล้ว
N : พวกเราทำได้ไม่ค่อยดีเท่าไหร่ใช่มั้ยครับ❓ ที่พูดอย่างนี้ก็เพราะผมดูจากวิธีที่พระองค์พูดถึงประเด็นนี้ขึ้นมา
G : แน่นอนว่า...สรรพสิ่งนั้นสัมพันธ์กัน ถ้าเปรียบเทียบกับสิ่งที่เธอบอกว่าพวกเธอกำลังพยายามทำอยู่ ก็ใช่ พวกเธอทำได้ไม่ดีเอาเสียเลย
ทุกเรื่องที่ฉันพูดตรงนี้ รวมไปถึงทุกเรื่องที่ฉันได้วิพากษ์วิจารณ์มาจนถึงตอนนี้และทำให้ปรากฏอยู่ในเอกสารชุดนี้จะต้องถูกนำมาวางไว้ภายใต้บริบทที่ว่า : ฉันไม่ได้กำลังตัดสิน "ถูก" หรือ "ผิด" , "ดี" หรือ "ชั่ว"
✴️ฉันเพียงแค่สังเกตถึงผลประโยชน์ที่แท้จริงที่พวกเธอได้รับ จากการเปรียบเทียบกับสิ่งที่เธอบอกว่าพวกเธอกำลังพยายามทำอยู่เท่านั้น✴️
N : ผมเข้าใจครับ
G : ฉันรู้ว่าเธอบอกว่าเธอเข้าใจ แต่ว่าเวลานั้นจะมาถึง แม้กระทั่งก่อนที่การพูดคุยในประเด็นนี้จะจบลงด้วยซ้ำ ที่เธอจะกล่าวหาว่าฉันเป็นพวกที่ชอบตัดสิน
N : ผมจะไม่กล่าวหาพระองค์อย่างนั้นอย่างแน่นอน ผมรู้มากขึ้นแล้ว
G : ที่ผ่านมาการ "รู้มากขึ้น" ไม่ได้ช่วยให้เผ่าพันธุ์มนุษย์หยุดเรียกฉันว่า พระเจ้าจอมตัดสินพิพากษาหรอกนะ
N : แต่มันช่วยหยุดผมได้
G : แล้วเราจะได้เห็นกัน
N : พระองค์ต้องการพูดถึงเรื่องการศึกษา
G : แน่นอน ฉันสังเกตเห็นว่าพวกเธอส่วนใหญ่เข้าใจความหมาย จุดมุ่งหมาย รวมถึงบทบาทหน้าที่ของการศึกษาผิดไป นี่ยังไม่ได้พูดถึงกระบวนการทางการศึกษาที่รับประกันได้ว่าเป็นกระบวนการที่ดีที่สุดนะ
N : เรื่องใหญ่เลยนะครับเนี่ย และผมต้องการความช่วยเหลือในเรื่องนี้
G : เผ่าพันธุ์มนุษย์ส่วนใหญ่ได้ตัดสินใจว่า ความหมาย จุดมุ่งหมาย และบทบาทหน้าที่ของการศึกษาคือ "การถ่ายทอดความรู้"
นั่นคือ การให้การศึกษากับใครสักคนคือการมอบความรู้ให้กับพวกเขา โดยทั่วไปแล้วก็เป็นความรู้ที่สั่งสมมาจากข้อเท็จจริงของครอบครัวหนึ่ง ตระกูลหนึ่ง เผ่าพันธุ์หนึ่ง สังคมหนึ่ง ชนชาติหนึ่ง และโลกหนึ่ง
🔸ทว่าการศึกษานั้นเกี่ยวข้องกับตัวความรู้น้อยมากๆ🔸
N : อะไรนะครับ❓ พระองค์กำลังล้อผมเล่นอยู่แน่ๆ
G : เปล่า
N : ถ้าอย่างนั้นมันเกี่ยวกับอะไรล่ะครับ❓
G : ความฉลาด (ปัญญา)
N : ความฉลาด❓
G : ใช่
N : โอเคครับ ผมยอมแพ้ มันต่างกันตรงไหนครับ❓
G : ความฉลาดก็คือ :
✴️การนำความรู้มาประยุกต์ใช้✴️
N : ฉะนั้นพวกเราจึงไม่ควรพยายามสนับสนุนการให้ความรู้แก่ลูกหลาน แต่ควรพยายามสนับสนุนการให้ความฉลาดแก่ลูกหลานของพวกเรา
G : อย่างแรกนะ ไม่ต้อง "พยายาม" ทำอะไรทั้งนั้น 🔸ถ้าจะทำก็ทำไปเลย🔸
อย่างที่สอง 💢จงอย่าละทิ้งความรู้เพื่อไขว่คว้าความฉลาด💢 นี่เป็นเรื่องที่อันตรายมาก
ในทางตรงกันข้าม 💢จงอย่าละทิ้งความฉลาดเพื่อไขว่คว้าความรู้💢 นี่เป็นเรื่องที่อันตรายมากเช่นเดียวกัน
การศึกษาบนโลกของเธอกำลังพังก็เพราะเหตุนี้ล่ะ
N : พวกเรากำลังละทิ้งความฉลาดเพื่อไขว่คว้าความรู้อย่างนั้นหรือครับ❓
G : ส่วนใหญ่แล้ว ใช่
N : ยังไงครับ❓
G : เธอสอนเด็กถึง
"สิ่งที่ต้องคิด" (what to think)
แทนที่จะสอน "วิธีคิด" (how to think)
N : อธิบายด้วยครับ ได้โปรด
G : ได้แน่นอน เมื่อเธอถ่ายทอด "ความรู้" ให้แก่เด็กๆ 🔸เธอกำลังบอกพวกเขาว่าต้องคิดอะไร🔸
นั่นคือ 🔸เธอกำลังบอกว่าพวกเขาควรจะต้องรู้อะไรบ้าง สิ่งที่เธออยากให้พวกเขาเข้าใจก็มีแต่ความจริงทั้งนั้น🔸
แต่เมื่อเธอถ่ายทอด "ความฉลาด" ให้แก่เด็กๆ เธอไม่ได้บอกพวกเขาว่าควรจะต้องรู้อะไรหรือความจริงคืออะไร 🔹แต่บอกวิธีให้พวกเขาเข้าถึงความจริงของตนเอง🔹
N : แต่ถ้าไม่มีความรู้แล้วจะฉลาดได้ยังไง
G : เห็นด้วย ฉันถึงได้บอกไงว่า :
✴️เธอไม่อาจละทิ้งความรู้เพื่อไขว่คว้าความฉลาดได้✴️
ความรู้จำนวนหนึ่งจะต้องถูกถ่ายทอดจากคนรุ่นหนึ่งไปยังอีกรุ่น แต่ขอให้ "น้อยที่สุด" เท่าที่จะทำได้ ยิ่งน้อยเท่าไหร่ยิ่งดี
✴️จงให้เด็กได้ค้นพบด้วยตนเอง✴️
และจงรู้ไว้ว่า : 🌟ความรู้จะสูญหาย ทว่าความฉลาดไม่เคยหายไป🌟
N : ดังนั้นโรงเรียนจึงควรสอนให้น้อยที่สุดเท่าที่จะทำได้หรือครับ❓
G : ✴️โรงเรียนของพวกเธอควรเปลี่ยนจุดที่ต้องให้ความสำคัญเสียใหม่✴️ ในตอนนี้โรงเรียนให้ความสำคัญมากเหลือเกินกับความรู้ แต่ใส่ใจความฉลาดน้อยมากๆ
พ่อแม่พากันมองชั้นเรียนที่เกี่ยวกับ "การคิดเชิงวิพากษ์" "การแก้ไขปัญหา" และ "การคิดอย่างมีเหตุมีผล" ด้วย 🔹ความหวาดเกรง🔹 อยากให้เอาหลักสูตรพวกนี้ออก
ซึ่งคงต้องเป็นอย่างนั้นถ้าพ่อแม่ต้องการรักษาวิถีชีวิตของตัวเองเอาไว้ เพราะถ้ายอมให้เด็กๆพัฒนากระบวนการคิดเชิงวิพากษ์ขึ้นมา ก็มีแนวโน้มสูงมากว่าพวกเขาจะ`ละทิ้ง` หลักปฏิบัติ คำสั่งสอน รวมถึงวิถีชีวิตทั้งหมดของพ่อแม่ไป
เพื่อที่จะปกป้องวิถีการดำเนินชีวิตของตัวเอง พวกเธอจึงสร้างระบบการศึกษาที่มีพื้นฐานอยู่บน 🔹การพัฒนาความจำ🔹ของเด็กๆ ไม่ใช่ 🔸ความสามารถ🔸
เด็กๆถูกสอนให้`จดจำ`ข้อเท็จจริงและเรื่องปั้นแต่ง (เรื่องปั้นแต่งที่แต่ละสังคมแต่งแต้มเสริมสร้างขึ้นมาเพื่ออธิบายตัวเอง) ✴️แทนที่จะถูกสอนให้มีความสามารถในการค้นพบและสร้างความเป็นจริงของพวกเขาขึ้นมาเอง✴️
หลักสูตรไหนก็ตามที่เรียกร้องให้เด็กๆพัฒนา`ความสามารถ`และ`ทักษะ`ในด้านต่างๆแทนที่จะเป็น`ความจำ` จะถูกเยาะเย้ยถากถางจากผู้ที่จินตนาการเอาเองว่าเด็กจำเป็นต้องเรียนรู้อะไรบ้าง
 
ทว่าสิ่งที่พวกเธอคอยพร่ำสอนเด็กๆตลอดช่วงเวลาที่ผ่านมาได้นำโลกของพวกเธอเข้าสู่`ความหลงผิด` (ความโง่เขลา) ไม่ใช่ถอยห่างออกมา
N : โรงเรียนของพวกเราไม่ได้สอนเรื่องปั้นแต่งนะครับ พวกเขาสอนข้อเท็จจริงต่างหาก
G : ในตอนนี้เธอกำลังโกหกตัวเอง ไม่ต่างอะไรกันเลยกับที่โกหกลูกๆของพวกเธอ
N : พวกเราโกหกลูกๆของพวกเราเอง❓
G : ถูกต้อง พวกเธอโกหกกับลูกๆของพวกเธอเอง ไปเอาหนังสือประวัติศาสตร์เล่มไหนมาเปิดดูก็ได้ ประวัติศาสตร์ของพวกเธอถูกเขียนขึ้นจากผู้ที่ต้องการให้เด็กเห็นโลกจาก 🔹มุมมองใดมุมมองหนึ่งเท่านั้น🔹
ความพยายามใดๆที่จะขยายเรื่องราวทางประวัติศาสตร์ให้ครอบคลุมมุมมองของข้อเท็จจริงที่กว้างขึ้น จะต้องเผชิญกับการเยาะเย้ยถากถางและถูกตราหน้าว่าเป็น "พวกชอบบิดเบือน"
พวกเธอไม่ยอมเล่าความจริงเกี่ยวกับอดีตของตัวเองให้เด็กๆรับรู้ เพื่อไม่ให้พวกเขาเห็นเธออย่างที่เธอเป็นจริงๆ
💢ประวัติศาสตร์ส่วนใหญ่ถูกเขียนขึ้นจากมุมมองของคนกลุ่มหนึ่งในสังคม💢 ซึ่งพวกเธอเรียกว่า ชายชาวเยอรมันผิวขาวที่อพยพเข้ามาและมีบรรพบุรุษเป็นโปรเตสแตนท์★
★White Anglo Saxon Protestants : WASPs คนผิวขาวจากยุโรปที่อพยพเข้าไปตั้งรกรากในทวีปอเมริกาเหนือในคริสต์ศตวรรษที่ 15 ส่วนใหญ่ของผู้อพยพกลุ่มนี้จะนับถือศาสนาคริสต์นิกายโปรเตสแตนท์ และมาจากเกาะอังกฤษ ~ ผู้แปล
เมื่อผู้หญิง คนผิวดำ หรือชนกลุ่มน้อยอื่นๆร้องบอกว่า "เฮ้ เดี๋ยวสิ เรื่องราวไม่ได้เป็นอย่างนั้นสักหน่อย ความจริงหายไปส่วนใหญ่เลยนะเนี่ย" เธอจะลนลานตะโกนโหวกเหวกและเรียกร้องให้ "พวกชอบบิดเบือน" หยุดความพยายามที่จะปรับเปลี่ยนเนื้อหาในตำราเรียน
เธอไม่ต้องการให้เด็กๆรับรู้ว่าเรื่องราวที่แท้จริงเป็นอย่างไร★ พวกเธอต้องการให้เด็กๆรู้แค่ว่าพวกเธอ`มีความชอบธรรม`หรือ`มีความจำเป็นอย่างไร` ต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจากมุมมองของพวกเธอเองเท่านั้น
★เช่น เราเคยได้เรียนจากตำราเรียนว่า คริสโตเฟอร์ โคลัมบัส เป็นผู้ค้นพบทวีปอเมริกาเหนือเป็นคนแรก ทั้งๆที่ความจริงก็เห็นๆอยู่ว่าไม่ใช่ เป็นชาวอินเดียนแดงต่างหากที่ค้นพบเป็นพวกแรก ซึ่งค้นพบและอยู่ที่นั่นมานานแล้วด้วย อย่างคำพูดที่เราเคยได้ยินกันบ่อยๆว่า ผู้ชนะเป็นผู้เขียนประวัติศาสตร์ แต่เป็นประวัติศาสตร์จริงๆหรือเปล่าเราไม่มีวันรู้ ~ แอดมิน
ฉันจะยกตัวอย่างให้ดูเอาไหม❓
N : เชิญเลยครับ
G : ในสหรัฐอเมริกา พวกเธอไม่ได้บอกข้อเท็จจริงทั้งหมดแก่เด็กๆในเรื่องที่ประเทศของเธอตัดสินใจทิ้งระเบิดปรมาณูใส่เมืองทั้งสองของประเทศญี่ปุ่น ซึ่งทำให้ผู้คนนับแสนต้องล้มตายหรือพิการ แต่พวกเธอกลับบอกข้อเท็จจริงแก่เด็กๆในแบบที่เธอรู้...และในแบบที่พวกเธอต้องการให้พวกเขารู้
เมื่อมีความพยายามจะให้มุมมองจากอีกด้านเพื่อให้มุมมองในเรื่องนี้นั้นสมดุล (ซึ่งในที่นี้ก็คือมุมมองของชาวญี่ปุ่น) พวกเธอถึงกับแผดร้อง โวยวาย คลั่ง เดือดพล่าน กระโดดโลดเต้น และเรียกร้องให้โรงเรียนต่างๆอย่าได้แม้แต่จะ`คิดริอาจ`ให้ข้อมูลทางประวัติศาสตร์เหล่านั้นเพื่อใช้ประกอบการคิดพิจารณาในเหตุการณ์ที่สำคัญนี้ ทำอย่างนี้ไม่ถือว่าพวกเธอได้สอนประวัติศาสตร์หรอกนะ แต่กำลัง "สอนการเมือง" มากกว่า
ประวัติศาสตร์ควรจะเป็นการบอกเล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นจริงให้ถูกต้องและครบถ้วน การเมืองจะไม่มีวันบอกถึงสิ่งที่เกิดขึ้นจริงๆ แต่จะบอกแค่`มุมมองของใครบางคน`ต่อสิ่งที่เกิดขึ้นแทน
ประวัติศาสตร์จะเปิดเผย การเมืองจะอ้างความชอบธรรม ประวัติศาสตร์จะคลี่ออกบอกทุกด้าน การเมืองจะปกปิดและเลือกบอกแค่ด้านเดียว
นักการเมืองทั้งหลายจะเกลียดประวัติศาสตร์ที่ได้รับการบันทึกไว้อย่างเที่ยงตรง เพราะประวัติศาสตร์เช่นนั้นจะพูดถึงนักการเมืองทั้งหลายในแง่ที่ไม่ค่อยดีสักเท่าไหร่
ทว่าพวกเธอกำลังสวมใส่ฉลองพระองค์ชุดใหม่ของพระราชาอยู่★★ เพราะเด็กๆมองเห็นพวกเธอล่อนจ้อนหมดแล้ว เด็กๆที่ถูกสอนให้คิดเชิงวิพากษ์ได้มองไปยังประวัติศาสตร์ของพวกเธอและบอกว่า "โถ พ่อแม่และพวกผู้ใหญ่ทั้งหลายนี่ช่างหลอกตัวเองจริงๆ"
พวกเธอไม่สามารถทนอะไรแบบนี้ได้ ถึงได้ปิดกั้นไม่ให้พวกเขารู้ พวกเธอไม่ต้องการให้เด็กๆรับรู้ข้อเท็จจริงที่พื้นฐานที่สุดทั้งหลาย พวกเธอต้องการให้พวกเขารับรู้ข้อเท็จจริงจากพวกเธอเพียงอย่างเดียว
N : ผมว่าพระองค์ก็พูดเกินจริงและแรงเกินไปหน่อยนะครับ
G : เธอคิดอย่างนั้นจริงๆหรือ❓ คนส่วนใหญ่ในสังคมของพวกเธอไม่ต้องการแม้กระทั่งจะให้เด็กๆรับรู้ข้อเท็จจริงที่พื้นฐานที่สุดของชีวิต ผู้คนถึงกับสติแตกเมื่อโรงเรียนทั้งหลายแค่เริ่มสอนให้เด็กๆรู้ว่าร่างกายมนุษย์ทำงานอย่างไร
ในตอนนี้พวกเธอก็ไม่ยอมบอกกับลูกๆของตัวเองว่า โรคเอดส์ติดต่อผ่านทางไหน หรือทำอย่างไรถึงจะไม่ติด แน่นอน จะเว้นไว้ก็แต่ว่าพวกเธอจะบอกพวกเขาจากมุมใดมุมหนึ่งเท่านั้นว่าจะหลีกเลี่ยงการติดเอดส์ได้อย่างไร อย่างนั้นถึงจะรับได้
✴️แต่ทำไมพวกเธอถึงไม่เพียงแค่ให้ข้อเท็จจริงทั้งหมดไปแล้วปล่อยให้พวกเขาตัดสินใจด้วยตัวเอง โดยไม่ต้องมาเลียนแบบชีวิตของพวกเธอ✴️
N : เด็กๆยังไม่พร้อมที่จะตัดสินใจในเรื่องพวกนี้ด้วยตัวเองหรอกครับ พวกเขาต้องได้รับการชี้แนะอย่างเหมาะสมเสียก่อน
G : เธอได้มองดูโลกรอบตัวของเธอเองบ้างหรือเปล่า❓
N : มันทำไมครับ❓
G : นั่นล่ะคือวิธีที่พวกเธอชี้แนะลูกๆของตัวเองในช่วงเวลาที่ผ่านมา
N : ไม่ใช่ครับ มันเป็นเพราะพวกเราทำให้พวกเขาเข้าใจผิดต่างหาก ถ้าทุกวันนี้โลกมันเน่าเฟะ (ซึ่งก็ดูจะเป็นอย่างนั้นในหลายๆทาง) มันก็ไม่ได้เป็นเพราะพวกเราพยายามสอนค่านิยมเก่าๆให้แก่เด็กๆ แต่เป็นเพราะพวกเรายอมให้พวกเขาไปรับเอาไอ้พวก "นวัตกรรมและค่านิยมใหม่ๆ" พวกนั้นเข้ามานี่แหละ!
G : เธอเชื่ออย่างนั้นจริงๆหรือ❓
...
...
...
★★The Emperor's New Clothes นิทานสอนใจของนักประพันธ์ชาวเดนมาร์ก ฮันส์ คริสเตียน แอนเดอร์สัน (1805 - 1875) เป็นเรื่องของพระราชาผู้ทรงโปรดการแต่งองค์ด้วยเสื้อผ้าสวยๆใหม่อยู่ตลอดเวลา ไม่ได้สนใจเรื่องการทหาร การบ้านการเมือง การละเล่น หรือสิ่งอื่นใดเลย หมกมุ่นอยู่เพียงเรื่องเดียวคือ ต้องมีฉลองพระองค์ชุดใหม่ที่ดูดีอยู่เสมอ เปลี่ยนชุดบ่อยจนในที่สุดก็ไม่รู้จะไปหาชุดไหนมาใส่ได้อีก จึงติดประกาศว่าใครที่สามารถประดิษฐ์ฉลองพระองค์ชุดใหม่ของพระราชาได้สวยโดนใจจะมีรางวัลให้อย่างงาม
จากนั้นก็มีนักต้มตุ๋นสองคนปลอมตัวเป็นช่างทอผ้าเข้ามาเฝ้าพร้อมข้อเสนอว่ามีเนื้อผ้าพิเศษที่นอกจากจะงามสุดยอดแล้วยังมีคุณสมบัติพิเศษคือ คนที่ไม่คู่ควรกับตำแหน่งและคนโง่เขลาจะมองไม่เห็นผ้าชนิดนี้ พอถึงวันที่ทั้งสองหลอกพระราชาว่าจะนำชุดที่ตัดเสร็จแล้วมาให้พระราชาสวมใส่
เมื่อมาถึงก็ทำทีนำฉลองพระองค์ที่ว่างเปล่านั้นมาให้พระราชาสวมใส่แล้วก็ชมว่าสวยว่างามต่างๆนาๆ ซึ่งเอาเข้าจริงก็ไม่มีใครมองเห็นฉลองพระองค์นี้เลยสักคน แต่เหล่าขุนนางและเสนาบดีต่างก็เกรงว่าถ้าบอกออกไปว่าตนมองไม่เห็นก็หมายความว่าตนไม่คู่ควรกับตำแหน่งและเป็นคนโง่ จึงกล่าวเยินยอความงามกันยกใหญ่ พระราชาเองก็พลอยเคลิ้มไปด้วย
นักต้มตุ๋นทั้งสองจึงบอกให้พระราชาถอดฉลองพระองค์ที่กำลังสวมอยู่ออก เพื่อสวมชุดใหม่ที่พวกตนทำมาแทน หลังจากทำทีหลอกว่าสวมใส่ให้แล้ว พระองค์ก็เสด็จออกไปนอกพระราชวัง ประชาชนทั้งหลายต่างก็กลัวว่าตนจะเป็นคนโง่ จึงแซ่ซ้องในความงามของฉลองพระองค์ไปตลอดทาง
จนเมื่อมีเด็กคนหนึ่งพูดขึ้นว่า "พระราชาแก้ผ้า" คนต่อๆมาก็เลยเริ่มพูดออกมาเหมือนกันด้วยความขบขันว่า "พระราชาแก้ผ้า" พระองค์ถึงเริ่มรู้ตัวและทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ฝืนเสด็จให้จบขบวน
~ ผู้แปล ~
ขอบคุณคลิปจากต้นทางด้วยครับ
✴️ควรดูนะครับ คลิปทำได้ดีมาก✴️

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา