Blockdit Logo
Blockdit Logo (Mobile)
สำรวจ
ลงทุน
คำถาม
เข้าสู่ระบบ
มีบัญชีอยู่แล้ว?
เข้าสู่ระบบ
หรือ
ลงทะเบียน
หนังสือสนทนากับพระเจ้า
•
ติดตาม
27 มี.ค. 2021 เวลา 07:36 • หนังสือ
#29 เล่ม 2 บทที่ 11 หน้า 193 ~ 200
N : พระองค์สัญญาว่าในเล่ม 2 พระองค์จะพูดถึงประเด็นภูมิรัฐศาสตร์ในระดับที่กว้างขึ้นซึ่งโลกกำลังเผชิญอยู่ (ซึ่งตรงข้ามกับประเด็นส่วนบุคคลในเล่ม 1) แต่ผมไม่คิดว่าพระองค์จะเข้าร่วมการโต้เถียงในเรื่องนี้ด้วย❗★
★เรื่องหนึ่งโลกรัฐบาลเดียว
~ แอดมิน
G : ถึงเวลาแล้วที่โลกจะต้องหยุดล้อเล่นกับตัวเองเสียที ได้เวลาตื่นขึ้นมาเพื่อตระหนักว่า "ปัญหาเพียงอย่างเดียวของมนุษยชาติ" ก็คือ 💓การขาดความรัก💓
ความรักก่อให้เกิดความอดทนอดกลั้น ความอดทนอดกลั้นก่อให้เกิดสันติภาพ การขาดความอดทนก่อให้เกิดสงครามและเฝ้ามองสภาพอันโหดร้ายได้โดยไม่รู้สึกอะไร
💓 รักมิอาจทนนิ่งเฉย
💓 รักไม่รู้วิธีทำเช่นนั้น
หนทางที่เร็วที่สุดที่จะมุ่งสู่ความรักและความใส่ใจต่อมนุษยชาติทั้งมวลก็คือ ✴️ให้มองว่าพวกเขาเป็นคนในครอบครัวเดียวกันกับเธอ✴️
หนทางที่เร็วที่สุดที่จะเห็นว่ามนุษยชาติทั้งมวลเป็นคนในครอบครัวก็คือ 💢ให้หยุดแบ่งแยกตัวเอง💢 ชาติรัฐต่างๆที่รวมกันเป็นโลกต้องผนึกเข้าเป็นหนึ่ง
N : พวกเรามีสหประชาชาติ (UN) อยู่แล้วนี่ครับ
G : ซึ่งไร้อำนาจและอ่อนปวกเปียก ถ้าจะให้ใช้งานได้ผลอย่างที่ต้องการ องค์กรนี้จะต้องปรับเปลี่ยนโครงสร้างใหม่หมด ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้ แต่อาจยากและทุลักทุเลหน่อย
N : โอเค พระองค์จะเสนอให้ทำอะไรครับ❓
G : ฉันไม่มี "ข้อเสนอ" ให้หรอกนะ เพียงแค่ให้ "ข้อสังเกต" ก็เท่านั้น ในการพูดคุยนี้ เธอบอกกับฉันว่าทางเลือกใหม่ของเธอคืออะไร และฉันก็เพียงให้ข้อสังเกตถึงวิธีที่จะทำให้มันเป็นจริงขึ้นมา
ในตอนนี้เธอจะพิจารณา`เลือก`ความสัมพันธ์แบบไหนในปัจจุบันระหว่างผู้คนและประเทศต่างๆบนโลก❓
N : ผมขอใช้คำของพระองค์นะครับ ถ้าเป็นไปได้ ผมจะเลือกให้พวกเรา "มุ่งสู่ความรักและความใส่ใจต่อมนุษยชาติทั้งมวล"
G : ถ้าเลือกอย่างนั้น ฉันสังเกตว่าวิธีที่จะได้ผลก็คือ ต้องสร้างระบบทางการเมืองในระดับโลกขึ้นมาใหม่ โดยให้แต่ละประเทศมีสิทธิออกเสียงอย่างเท่าเทียมในประเด็นปัญหาต่างๆของโลก และได้รับส่วนแบ่งจากทรัพยากรโลกอย่างที่สมควรจะได้รับ★
★แบ่งอย่างสมเหตุสมผลตามความจำเป็นของแต่ละประเทศ ~ แอดมิน
N : ไม่มีทางได้ผลหรอกครับ ประเทศที่ "มี" ไม่มีทางยอมแบ่งอำนาจทางอธิปไตย ความมั่งคั่งและทรัพยากรให้กับประเทศที่ "ไม่มี" หรอกครับ และก็อาจโต้แย้งด้วยว่า ทำไมต้องแบ่ง❓
G : เพราะมันจะ 🔸เป็นประโยชน์ที่สุดกับตัวพวกเขาเอง🔸
N : คนพวกนี้มองไม่เห็นหรอกครับ และผมก็ไม่แน่ใจเหมือนกันว่าผมจะเห็นด้วย★
★ไม่เห็นว่ามันจะเป็นประโยชน์ที่สุดได้ยังไง ~ แอดมิน
G : ถ้าเธอสามารถเพิ่มเงินเข้าไปในระบบเศรษฐกิจของประเทศได้เป็นพันๆล้านเหรียญต่อปี ซึ่งเป็นเงินที่สามารถนำไปใช้เลี้ยงดูผู้อดอยาก หาเครื่องนุ่มห่มให้แก่ผู้ที่ขาดแคลน จัดหาที่พักอาศัยให้แก่ผู้ยากไร้ ให้ความปลอดภัยแก่ผู้สูงวัย ทำให้ประชานชนมีสุขภาพที่ดีขึ้น และสร้างมาตรฐานการครองชีพขั้นพื้นฐานที่ดีสำหรับทุกคน...เธอว่านั่นจะเป็นประโยชน์ที่สุดต่อประเทศของเธอหรือเปล่า❓
N : คืออย่างนี้ครับ ในอเมริกาจะมีคนโต้แย้งว่านี่เป็นการช่วยคนจนบนความสูญเสียของคนรวยและผู้เสียภาษีที่มีรายได้ปานกลาง ในขณะที่ทั้งประเทศจะเอาตัวไม่รอดอยู่แล้ว อาชญากรรมก็ท่วมประเทศ เงินเฟ้อก็ทำเอาเงินออมของประชาชนหายไปต่อหน้าต่อตา อัตราการว่างงานก็พุ่งกระฉูด รัฐบาลก็ใหญ่โตเทอะทะขึ้นทุกวัน และในโรงเรียนก็แจกถุงยางกันเกลื่อน
G : พูดอย่างกับเป็นนักจัดรายการวิทยุเลยนะ
N : แต่นี่คือความวิตกกังวลของชาวอเมริกันจำนวนมากนะครับ
G : ถ้าอย่างนั้นพวกเขาก็สายตาสั้นไปหน่อยแล้ว เธอไม่เห็นหรือว่าถ้าเงินนับพันล้านเหรียญต่อปี (นั่นหมายถึงร้อยล้านต่อเดือน หลักล้านต่อสัปดาห์ ไม่ต้องพูดถึงว่าจำนวนเท่าไหร่ต่อวัน) ถูกดูดกลับเข้าไปในระบบ ว่าถ้าเธอสามารถใช้เงินก้อนนี้เพื่อเลี้ยงดูผู้อดอยาก หาเครื่องนุ่งห่มให้แก่ผู้ขาดแคลน จัดหาที่พักอาศัยให้แก่ผู้ยากไร้ ให้ความปลอดภัยแก่ผู้สูงวัย ให้การดูแลสุขภาพและศักดิ์ศรีแก่ทุกคน...ต้นเหตุของ`อาชญากรรม`จะหายไปตลอดกาล❓
เธอไม่เห็นหรือว่าตำแหน่งงานใหม่ๆจะผุดขึ้นเป็นดอกเห็ดเมื่อเงินถูกปั๊มกลับสู่ระบบเศรษฐกิจของเธอ❓ และรัฐบาลอาจถึงขั้นต้องลดขนาด`เพราะมีอะไรให้ทำน้อยลง`❓
N : ผมก็อยากให้อะไรบางอย่างพวกนั้นเกิดขึ้นจริงนะครับ นึกภาพรัฐบาลมีขนาดเล็กลงไม่ออกเลยพับผ่าสิ❗ แต่ปัญหาคือจะไปเอาเงินเป็นพันๆล้านมาจากไหน❓ จากภาษีที่รัฐบาลใหม่ของโลกที่พระองค์บอกเก็บได้อย่างนั้นหรือ❓ ต้องไปรีดเพิ่มเอาจากคนที่ "ทำงานด้วยความยากลำบาก" กว่าจะหามาได้ แล้วเอาไปให้คนที่ไม่ยอม "ยืนอยู่บนลำแข้งของตัวเอง" อย่างนั้นหรือครับ❓
G : นี่เธอเชื่ออย่างนั้นอยู่ใช่ไหม❓
N : เปล่าครับ แต่นี่คือสิ่งที่คนจำนวนมากกำลังรู้สึกอยู่ และผมต้องแสดงมุมมองของพวกเขาออกมาด้วยเพื่อความเท่าเทียม
G : เราจะคุยเรื่องนี้กันทีหลัง ตอนนี้ฉันยังไม่อยากออกนอกประเด็น แต่เดี๋ยวเราจะกลับมาคุยเรื่องนี้กัน
N : เยี่ยม
G : เธอถามว่าจะเอาเงินพวกนี้มาจากไหน ฉันจะบอกให้ว่าเงินพวกนี้ไม่ได้เอามาจากภาษีที่ชุมชนโลกแบบใหม่เรียกเก็บ (แม้สมาชิกของชุมชนโลกแบบใหม่...สมาชิกแต่ละคน...ภายใต้การปกครองที่เจริญแล้วจะต้องการปัน 10 % ของรายได้ตัวเองแก่สวัสดิการของสังคมโลก) หรือเอามาจากภาษีก้อนใหม่ที่รัฐบาลท้องถิ่นทั้งหลายเรียกเก็บหรอกนะ จริงๆแล้วบางรัฐบาลท้องถิ่นอาจถึงขั้นลดภาษีลงได้ด้วยซ้ำ
ทั้งหมดนี้ (ผลประโยชน์ทั้งหมดนี้) เกิดขึ้นได้เพียงแค่พวกเธอปรับเปลี่ยนโลกทัศน์ของตัวเองใหม่ เพียงแค่พวกเธอจัดระเบียบองค์กรทางการเมืองของโลกเสียใหม่เท่านั้น
N : ยังไงครับ❓
G : เงินที่ประหยัดได้จากการสร้างระบบป้องกันตนเองและจากอาวุธยุทโธปกรณ์ที่ใช้โจมตีทั้งหลาย
N : โอ้ ผมเข้าใจล่ะ! พระองค์ต้องการให้พวกเรา`ยกเลิกกิจการทางทหารเสีย`❗
G : ไม่ใช่แค่พวกเธอเท่านั้นนะ แต่ทั้งโลกเลย
และไม่ใช่ให้ยกเลิกกิจการทางทหาร เพียงแต่ลดขนาดลงมามากๆ เพราะระเบียบภายในประเทศเป็นเพียงสิ่งเดียวที่จำเป็น พวกเธอต้องทำให้ตำรวจท้องถิ่นเข้มแข็ง (ซึ่งเป็นเรื่องที่พวกเธอต้องการทำอยู่ แต่ก็ต้องโอดครวญกันทุกปีช่วงปิดงบประมาณว่าไม่มีเงินจะทำ)
ในขณะเดียวกันก็ต้องลดปริมาณเงินที่จะนำไปจัดซื้ออาวุธสงครามและเตรียมการรบลงให้มาก ซึ่งในที่นี้ก็คือ "อาวุธทำลายล้างวงกว้างทั้งเชิงรุกและเชิงรับ"
N : อย่างแรกเลยนะครับ ผมคิดว่าพระองค์พูดเรื่องเงินที่จะประหยัดได้จากการทำอย่างนั้นแบบเกินจริงไปหน่อย อย่างที่สอง ผมไม่คิดว่าพระองค์จะทำให้ใครคล้อยตามได้หรอกกับการให้พวกเขายกเลิกสมรรถภาพที่จะปกป้องตัวเองทิ้งไป
G : มาดูตัวเลขกันดีกว่า ปัจจุบัน (ขณะที่เขียนอยู่นี้คือวันที่ 25 มีนาคม 1994)★ รัฐบาลจากทั่วโลกใช้เงินราวๆ 1 ล้านล้านเหรียญดอลลาร์สหรัฐฯต่อปี ไปเพื่อเหตุผลทางการทหาร นั่นคือทั่วทั้งโลกใช้เงินไป "1 ล้านเหรียญดอลลาร์สหรัฐฯต่อนาที"
★งบประมาณทางการทหารในปี 2016 ดูได้ตามลิ้งค์ครับ ปล. อย่าลืมคิดถึงค่าเงินที่เพิ่มมากขึ้นจาก 20 กว่าปีก่อนด้วย ~ แอดมิน
อ่านเพิ่มเติม
bbc.com
เปิดงบทหารโลก ปี 2016 สหรัฐฯ ครองแชมป์ - BBC News ไทย
งบการทหารของรัฐบาลทั่วโลกเมื่อปีที่แล้วมีวงเงิน 58.8 ล้านล้านบาท ในจำนวนนี้ 36% เป็นของสหรัฐฯ จีนมีสัดส่วนราว 13% ส่วนไทยใช้ไป 2.1 แสนล้านบาท
ประเทศที่ใช้เงินเพื่อการนี้มากที่สุดสามารถ "โยกย้าย" เงินตรงนี้ไปทำประโยชน์ด้านอื่นตามที่พูดถึงได้ ฉะนั้นประเทศที่ใหญ่กว่าและรวยกว่าควรจะเห็นได้ว่ามันจะเป็นประโยชน์ที่สุดต่อตัวพวกเขาเองที่จะทำอย่างนั้น...ถ้าพวกเขาคิดว่ามันเป็นไปได้
แต่ประเทศที่ใหญ่กว่าและร่ำรวยกว่าเหล่านี้ก็ไม่ต้องการเห็นประเทศของตัวเองต้องไร้เกราะป้องกัน เพราะยังกลัวว่าจะถูกรุกรานและถูกโจมตีจากประเทศที่อิจฉาและ 🔹อยากได้สิ่งที่พวกเขามี🔹
มีอยู่สองทางที่จะขจัดภัยคุกคามนี้ได้
1️⃣ แบ่งปันความมั่งคั่งและทรัพยากรของโลกให้กับทุกผู้คนบนโลกอย่างเพียงพอ เพื่อจะได้ไม่มีใครต้องการในสิ่งที่คนอื่นมี ทุกคนจะได้ใช้ชีวิตได้อย่างเต็มภาคภูมิและจะได้ขจัดความกลัวของพวกเขาออกไป
2️⃣ สร้างระบบเพื่อยุติความแตกต่างและความขัดแย้งโดยที่ไม่ต้องก่อสงคราม และแม้กระทั่งขจัดความเป็นไปได้ใดๆที่จะก่อให้เกิดสงคราม
N : ผู้คนบนโลกคงไม่มีวันทำหรอกครับ
G : มีกลุ่มคนที่ทำแล้ว
N : มีแล้วหรือครับ❓
G : ใช่ มีการทดลองอันยิ่งใหญ่เกี่ยวกับระบบทางการเมืองลักษณะนี้อยู่บนโลกของเธอในตอนนี้ การทดลองนี้มีชื่อว่า "สหรัฐอเมริกา"
N : ซึ่งพระองค์บอกว่ามันล้มเหลวไม่เป็นท่า
G : ใช่ ยังอีกไกลกว่าจะเรียกได้ว่าสำเร็จ (อย่างที่ฉันได้สัญญาไว้ก่อนหน้านี้ว่าเราจะมาคุยเรื่องนี้กันทีหลัง รวมถึงเรื่องทัศนคติที่เป็นตัวกีดขวางไม่ให้ไปสู่จุดนั้น) แต่ถึงอย่างนั้นมันก็ยังเป็นการทดลองที่ดีที่สุดที่กำลังดำเนินอยู่
อย่างที่ วินสตัน เชอร์ชิลล์★ เคยพูดไว้ว่า : 💢ประชาธิปไตยคือระบบที่เลวร้ายที่สุด💢 เขาประกาศ "ยกเว้นระบบอื่นที่เหลือทั้งหมด"
★เซอร์ วินสตัน เชอร์ชิลล์ (1864 - 1965) : อดีตนายกรัฐมนตรีของสหราชอาณาจักรในช่วงปี ค.ศ. 1940 - 1945 และ 1951 - 1955 และเจ้าของรางวัลโนเบลสาขาวรรณกรรมในปี 1953 ~ ผู้แปล
อเมริกาคือประเทศแรกที่ลองให้รัฐอธิปไตยอิสระต่างๆมาร่วมกันเป็นสมาพันธรัฐแบบหลวมๆ และรวมเข้าด้วยกันเป็นกลุ่มก้อนที่เหนียวแน่น (ประเทศ) ได้สำเร็จ โดยแต่ละรัฐต่างขึ้นต่ออำนาจจากส่วนกลาง★
★ถ้าลองเอามาเทียบกับประเทศไทยก็คงจะประมาณว่า ให้แต่ละจังหวัดมีอำนาจในการบริหารและออกกฎหมายเป็นของตัวเองอย่างเป็นอิสระจากกัน โดยมีรัฐบาลกลางคอยดูแลช่วยเหลือในภาพรวมและในเรื่องการต่างประเทศเท่านั้น ~ แอดมิน
เวลานั้น ไม่มีรัฐไหนเลยที่อยากเข้าร่วม ต่างฝ่ายต่างต่อต้านกันยกใหญ่ เพราะกลัวจะเสียความยิ่งใหญ่ของตัวเองไป แถมยังบอกอีกว่าสมาพันธ์นี้จะไม่เกิดประโยชน์สูงสุดแก่พวกตน
เธออาจจะเข้าใจได้มากขึ้นถ้ารู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับรัฐต่างๆในช่วงเวลานั้นบ้าง
ขณะที่เข้าร่วมเป็นสมาพันธรัฐกันแบบหลวมๆ ตอนนั้นยังไม่มีรัฐบาลกลางของสหรัฐฯหรอก ฉะนั้นจึงไม่มีศูนย์กลางทางอำนาจใดที่จะมาบังคับใช้ "บทบัญญัติแห่งสมาพันธรัฐ" ที่รัฐอธิปไตยต่างๆได้ตกลงกันไว้
แต่ละรัฐต่างดำเนินนโยบายด้านต่างประเทศไปตามแนวทางของตัวเอง หลายรัฐบรรลุข้อตกลงส่วนตัวทางการค้าและอื่นๆ กับฝรั่งเศส สเปน อังกฤษ และประเทศอื่นๆ
แต่ละรัฐยังค้าขายกันด้วย ถึงแม้บทบัญญัติจะห้ามเอาไว้ไม่ให้เก็บภาษีศุลกากรจากสินค้าที่นำเข้าจากรัฐอื่น (ไม่ต่างจากที่เก็บจากสินค้านำเข้าจากอีกฟากมหาสมุทร!) แต่ก็มีบางรัฐไม่สนใจ
พ่อค้าวานิชไม่มีทางเลือกนอกจากต้องจ่ายเงินที่ปากอ่าวถ้าอยากจะซื้อขายสินค้า ไม่มี "ผู้มีอำนาจจากส่วนกลาง" มาควบคุมดูแล แม้จะมีข้อตกลงเป็น`ลายลักษณ์อักษร`ไม่ให้เก็บภาษีประเภทนี้ก็ตาม
ระหว่างนี้มีการสู้รบระหว่างรัฐอยู่ด้วยเหมือนกัน แต่ละรัฐต่างมีทหารที่เรียกว่ากองทัพประจำการ เก้ารัฐมีกองทัพเรือเป็นของตัวเอง และคำว่า "อย่าล้ำเข้ามานะโว้ย" อาจถือเป็นคำขวัญอย่างเป็นทางการของทุกรัฐในสมาพันธ์ได้เลย
รัฐเกินกว่าครึ่งถึงขั้นพิมพ์ธนบัตรของตัวเองออกมา (แม้สมาพันธรัฐจะตกลงกันแล้วว่าการทำแบบนี้ถือเป็นเรื่องผิดกฎหมาย!)
พูดสั้นๆก็คือ แม้จะเข้าร่วมภายใต้บทบัญญัติแห่งสมาพันธรัฐ แต่รัฐดั้งเดิมของพวกเธอทำตัวเหมือนที่ประเทศอิสระในปัจจุบันทำอย่างไรอย่างนั้นเลย
แม้ทุกฝ่ายจะเห็นอยู่ว่าข้อตกลงที่สมาพันธรัฐทำร่วมกันนั้น (เช่น การให้รัฐสภามีอำนาจแต่เพียงผู้เดียวในการผลิตเหรียญกษาปณ์) จะไม่ได้ผล แต่พวกเขาก็ยังคงยืนหยัดอย่างแข็งขันที่จะสร้างและมอบอำนาจแก่รัฐบาลกลางของสมาพันธรัฐ เพื่อบังคับใช้ข้อตกลงและเพิ่มประสิทธภาพให้แก่บทบัญญัตินั้น
และในที่สุด ผู้นำหัวก้าวหน้าบางคนก็เริ่มทำการชักจูง โดยโน้มน้าวให้เพื่อนสมาชิกเห็นว่าการสร้างสมาพันธรัฐใหม่นี้ขึ้นมานั้น ทุกฝ่ายจะ`ได้`มากกว่าเสีย
พ่อค้าจะประหยัดเงินและมีกำไรมากขึ้น เพราะแต่ละรัฐจะไม่สามารถเก็บภาษีจากสินค้าของกันและกันได้อีก
รัฐบาลจะประหยัดเงินและเอาเงินนั้นไปใช้ในโครงการหรือให้บริการที่จะช่วยเหลือประชาชนได้จริงๆ เพราะไม่ต้องเสียทรัพยากรไปเพื่อการปกป้องรัฐจากเงื้อมมือของกันและกัน
ประชาชนจะมีความมั่นคงและปลอดภัยมากขึ้น ทั้งยังรุ่งเรืองเพิ่มขึ้นจากการร่วมมือแทนที่จะสู้รบกัน ห่างไกลจากการต้องสูญเสียความยิ่งใหญ่ของตัวเองไป และแต่ละรัฐสามารถคงความยิ่งใหญ่ไว้ได้มากกว่าที่เคยเป็นเสียอีก
และแน่นอน "ทั้งหมดนี้คือสิ่งที่เกิดขึ้นแล้วจริงๆ"
สิ่งเดียวกันนี้สามารถเกิดขึ้นได้กับ 160 ประเทศทั่วโลกในปัจจุบัน★ ถ้าประเทศต่างๆจะเข้าร่วมกันเป็นสหพันธรัฐ (United Federation) และอาจหมายถึงการสิ้นสุดสงคราม
★ปัจจุบันปี 2018 มีทั้งหมด 193 ประเทศ (รวมนครรัฐอิสระวาติกันด้วย) และอีก 10 ดินแดนที่ยังไม่ผ่านการรับรอง ดูได้ตามลิ้งค์ครับ
ปล. ยิ่งนานวันยิ่งแตกแยกแฮะ...
~แอดมิน
อ่านเพิ่มเติม
board.postjung.com
ทั่วโลกเรามีกี่ประเทศ
ภาพจาก Worldpress.org ในปัจจุบันโลกของเรานี้มี 193 ประเทศ แยกตามทวีป ดังนี้ ทวีปเอเชีย มี 48 ประเทศ 1.อัฟกานิสถาน 2.อาร์เมเนีย 3.อาเซอร์ไบจาน 4.บาห์เรน 5..
N : จะเป็นไปได้ยังไงครับ❓ มันก็ยังจะมีความไม่ลงรอยระหว่างกันอยู่ดี
...
...
...
บันทึก
1
ดูเพิ่มเติมในซีรีส์
สนทนากับพระเจ้า เล่ม 2
1
โฆษณา
ดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน
© 2024 Blockdit
เกี่ยวกับ
ช่วยเหลือ
คำถามที่พบบ่อย
นโยบายการโฆษณาและบูสต์โพสต์
นโยบายความเป็นส่วนตัว
แนวทางการใช้แบรนด์ Blockdit
Blockdit เพื่อธุรกิจ
ไทย