29 มี.ค. 2021 เวลา 07:59 • หนังสือ
#30 เล่ม 2 บทที่ 11 หน้า 200 ~ 207
...
N : จะเป็นไปได้ยังไงครับ❓ มันก็ยังจะมีความไม่ลงรอยระหว่างกันอยู่ดี
...
...
...
G : มันจะเป็นอย่างนั้นต่อไป 💢ตราบที่มนุษย์ยังยึดติดอยู่กับสิ่งภายนอก💢
จริงๆแล้วหนทางที่จะขจัดสงครามให้หมดสิ้น รวมทั้งขจัดทุกประสบการณ์แห่งความสับสนว้าวุ่นและความไม่สงบภายใน ✴️ต้องแก้ด้วยวิถีทางทางจิตวิญญาณ✴️
แต่ตอนนี้เรากำลังคุยเรื่อง "ภูมิรัฐศาสตร์" กันอยู่
จริงๆมีเคล็ดลับอยู่นิดเดียวก็คือ "นำสองอย่างนี้มารวมกัน" ✴️ความจริงทางจิตวิญญาณจะต้องถูกนำมาปฏิบัติใช้ในชีวิตเพื่อจะเปลี่ยนประสบการณ์ชีวิตในแต่ละวัน✴️
เธอพูดถูกแล้วล่ะว่า จะยังคงมีความไม่ลงรอยระหว่างกัน จนกว่าการเปลี่ยนแปลงนี้จะเกิดขึ้น แต่มันก็ไม่จำเป็นต้องเกิดสงครามและการฆ่าฟัน
ยังมีสงครามแย่งชิงน้ำระหว่างแคลิฟอร์เนียกับโอเรกอนอยู่หรือเปล่า❓ ข้อพิพาทเรื่องการจับสัตว์น้ำระหว่างแมรี่แลนด์และเวอร์จิเนียล่ะยังมีอยู่ไหม❓ แล้วระหว่างวิสคอนซินกับอิลลินอยส์❓ โอไฮโอกับแมสซาซูเซ็ตส์ล่ะ❓
N : ไม่มีครับ
G : ทำไมถึงไม่มีล่ะ❓ ไม่มีกรณีพิพาทหรือปัญหาใดๆระหว่างรัฐเกิดขึ้นในช่วงที่ผ่านมาเลยหรือไง❓
N : ผมคิดว่ามีมาตลอดนะครับ
G : แน่อยู่แล้วว่ามี แต่รัฐต่างๆได้เห็นพ้องต้องกันโดยสมัครใจ (เป็นข้อตกลงอันเรียบง่ายที่ต่างฝ่ายต่างก็เห็นพ้องต้องกัน) ว่าจะยึดถือตัวบทกฎหมายและประนีประนอมในเรื่องที่มีความเกี่ยวข้องร่วมกัน แต่จะยังคงมีสิทธิออกกฎข้อบังคับได้อย่างอิสระในเรื่องเฉพาะตนของแต่ละรัฐ
เมื่อมีข้อพิพาทต่างๆระหว่างรัฐเกิดขึ้น ไม่ว่าจะเป็นเพราะตีความกฎหมายส่วนกลางต่างกันหรือเพราะมีใครจงใจละเมิดกฎหมาย เรื่องจะถูกนำขึ้นสู่ศาล ซึ่งได้รับ`อำนาจ` (ที่รัฐต่างๆมอบให้) เพื่อแก้ปัญหาข้อพิพาทที่เกิดขึ้น
ทว่าหากกระบวนการทางกฎหมายไม่ได้มาตรฐานหรือไม่มีความเป็นกลางในขณะที่ประเด็นข้อพิพาทต่างๆ ถูกนำขึ้นสู่ศาลเพื่อจะหาข้อยุติที่น่าพอใจได้ รัฐและประชาชนของรัฐนั้นๆจะส่งผู้แทนถึงรัฐบาลกลางเพื่อหาข้อตกลงเรื่องกฎหมายใหม่ ซึ่งจะนำไปสู่สถานการณ์ที่เป็นกลาง ไม่ลำเอียง หรืออย่างน้อยที่สุดก็เป็นการประนีประนอมที่สมเหตุสมผล
สมาพันธรัฐ (สหรัฐฯ) ของเธอดำเนินงานด้วยวิธีนี้ ระบบกฎหมายที่มีระบบศาลที่ได้รับอำนาจจากพวกเธอ (จากประชาน) ให้ตีความข้อกฎหมาย และระบบยุติธรรมที่มีเจ้าหน้าติดอาวุธหนุนหลังหากจำเป็น ที่คอยบังคับให้ปฏิบัติตามคำพิพากษาของศาล
แม้จะยังไม่มีใครพิสูจน์ได้ว่า ระบบนี้ไม่จำเป็นต้องปรับปรุงแก้ไขอะไรอีก แต่นวัตกรรมทางการเมืองนี้ (ระบบการเมืองที่ถูกสร้างขึ้นจากการผสมผสานในรูปแบบนี้) ได้ดำเนินสืบมากว่า 200 ปีแล้ว❗
ไม่มีเหตุผลให้ต้องสงสัยเลยว่า แนวทางเดียวกันนี้จะใช้ได้ผลกับประเทศต่างๆด้วยเหมือนกัน★
★ขยายขอบเขตจากแค่ระหว่างรัฐต่างๆในสหรัฐฯ เป็นระหว่างประเทศต่างๆทุกประเทศบนโลกใบนี้
~ แอดมิน
N : ถ้ามันง่ายขนาดนั้น ทำไมถึงไม่มีใครลองทำดูล่ะครับ❓
G : มีคนลองทำแล้ว "องค์การสันนิบาตชาติ"★ คือความพยายามในยุคแรก "องค์การสหประชาชาติ" คือความพยายามครั้งล่าสุด
★คือองค์กรที่ถูกตั้งขึ้นหลังสิ้นสุดสงครามโลกครั้งที่ 1 เมื่อวันที่ 10 ม.ค. 1920 (พ.ศ. 2463 ตรงกับสมัยรัชกาลที่ 6) มีสมาชิกแรกก่อตั้งจำนวน 32 ประเทศ (รวมทั้งสยาม) อ่านเพิ่มเติมได้ตามลิ้งค์ครับ (ควรอ่านจะได้เข้าใจว่าทำไมมันถึงล้มเหลว) ~ แอดมิน
องค์กรแรกล้มเหลวในขณะที่องค์กรหลังประสบความสำเร็จเพียงเล็กน้อย (เหมือนกับ 13 รัฐของอเมริกาในยุคแรกเริ่มที่รวมตัวเป็นสหพันธรัฐ) เพราะประเทศสมาชิก (โดยเฉพาะประเทศมหาอำนาจ) กลัวว่า "จะต้องเสียมากกว่าได้" จากการปรับโครงสร้างอำนาจ
ที่เป็นอย่างนั้นก็เพราะ "ผู้มีอำนาจ" ห่วงแต่การรักษาอำนาจของตัวเองแทนที่จะใส่ใจพัฒนาคุณภาพชีวิตของประชาชน
"ประเทศที่ร่ำรวย" รู้ดีว่า🔹สมาพันธ์โลก🔹 จะทำให้ "ประเทศที่ยากจน" ได้รับอะไรต่างๆมากขึ้นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ และ "ประเทศที่ร่ำรวย" เชื่อว่ามันจะต้องแลกมาด้วย`ความสูญเสีย`ของพวกเขาแน่... ทำให้พวกเขาไม่ยอมสละอะไรเลยสักอย่าง
N : ความกลัวของพวกเขาก็มีเหตุผลไม่ใช่หรือครับ การอยากยึดครองสิ่งที่เราเหนื่อยยากลำบากกว่าจะได้มานั้นมันไม่สมเหตุสมผลตรงไหน❓
G : อย่างแรก "ไม่จริงเสมอไป" ที่ว่า ถ้าเราให้สิ่งต่างๆแก่ผู้อดอยาก หิวโหย และไร้ที่พักพิงมากขึ้น "คนอื่นๆจะต้องจนลง"
อย่างที่ฉันชี้ให้เห็นนั่นล่ะว่า ทั้งหมดที่พวกเธอต้องทำก็คือ นำเงิน 1 ล้านล้านเหรียญดอลลาร์สหรัฐที่ทั่วโลกใช้ไปในแต่ละปีเพื่อเหตุผลทางการทหาร ให้เปลี่ยนมาใช้เพื่อเป้าหมายทางด้านมนุษยธรรมเสีย แล้วพวกเธอจะแก้ปัญหาได้โดยไม่ต้องใช้เงินเพิ่มเลยแม้แต่เหรียญเดียว หรือทำให้ความมั่งคั่งของใครก็ตามต้องหดหายไป
แน่นอน พวกเธออาจแย้งว่าพวกบริษัทข้ามชาติยักษ์ใหญ่ที่มีกำไรจากสงครามและการค้าอาวุธจะต้องเป็นฝ่าย "สูญเสีย" ไม่ต่างจากที่พนักงานและผู้ที่ร่ำรวยจากการที่โลกต้องมีความขัดแย้งเป็นฝ่ายที่จะต้องรับเคราะห์ 💢ถ้าอย่างนั้นที่มาของความมั่งคั่งคงอยู่ผิดที่ผิดทางแล้ว💢
💢ถ้าใครบางคนต้องพึ่งพาการเข่นฆ่ากันของผู้คนเพื่อให้ตัวเองมีชีวิตรอด นี่คงอธิบายด้วยความมั่นใจได้เลยว่า ทำไมโลกของเธอถึงต้องต่อต้าน`ความพยายามใดๆก็ตาม`ที่จะสร้างรูปแบบสำหรับสันติภาพที่ยั่งยืนขึ้นมา💢
สำหรับส่วนที่สองของคำถามที่เธอบอกว่า การอยากยึดครองสิ่งที่เหนื่อยยากลำบากกว่าจะได้มานั้น (ไม่ว่าจะในระดับส่วนบุคคลหรือระดับประเทศ) ก็สมเหตุสมผลดี
✴️ก็เพราะจิตสำนึกของพวกเธอเกิดขึ้นมาจากจิตสำนึกที่สนใจแต่เพียงโลกภายนอกเท่านั้น✴️
N : อะไรนะครับ❓
G : ถ้า 🔸ความสุขที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในชีวิตของเธอ🔸 เกิดขึ้นมาจากการอยากได้ใคร่มีประสบการณ์จากโลกภายนอกเพียงอย่างเดียว (โลกวัตถุทางกายภาพภายนอกตัวเธอ)
💢เธอจะ "ไม่มีวันต้องการสละสิ่งที่เธอหามากองเอาไว้แม้เพียงน้อยนิดเพื่อจะมีความสุข" ไม่ว่าจะในฐานะมนุษย์หรือในฐานะประเทศก็ตาม
💢ในขณะเดียวกันกับ "ผู้ไม่มี" ที่ยังคงรู้สึกว่าตัวเอง `ไม่มีความสุข` เพราะขาดวัตถุสิ่งของแล้วล่ะก็ พวกเขาก็จะติดกับไม่ต่างกัน พวกเขาจะต้องการแต่สิ่งที่เธอมีไม่มีวันจบสิ้น และเธอก็จะไม่มีวันยอมแบ่งให้พวกเขาอยู่ดี
นี่คือเหตุผลที่ทำไมฉันถึงได้บอกไปก่อนหน้านี้ว่า วิธีที่จะขจัดสงครามให้หมดสิ้น รวมทั้งขจัดทุกประสบการณ์แห่งความสับสนว้าวุ่นและความไม่สงบภายใน ✴️ต้องใช้วิถีทางทางจิตวิญญาณ✴️
ที่สุดแล้ว ทุกปัญหาทางภูมิศาสตร์การเมืองและปัญหาส่วนตัว เมื่อสืบเสาะลงไปจนลึกสุดแล้วจะพบว่า 💢เป็นปัญหาทางจิตวิญญาณทั้งสิ้น💢
✴️ทุกชีวิตคือจิตวิญญาณ✴️
🌟ฉะนั้นปัญหาทุกอย่างของชีวิตจึงมีต้นตอมาจากปัญหาทางจิตวิญญาณและจะแก้ไขได้ก็ด้วยวิธีทางจิตวิญญาณ🌟
💢สงครามถูกสร้างขึ้นบนโลกของเธอเพราะใครบางคนมีสิ่งที่ใครอีกคนต้องการ นี่คือสิ่งที่ส่งผลให้ใครบางคนทำบางสิ่งที่ใครอีกคนไม่อยากให้พวกเขาทำ
💢ความขัดแย้งทุกชนิดเกิดจากการวางความต้องการไว้ผิดที่
มีสันติภาพเพียงอย่างเดียวที่สามารถค้ำจุนโลกใบนี้เอาไว้ได้ก็คือ 🔸สันติภาพจากภายใน🔸
แต่ละคนต้องค้นให้พบความสงบสุขภายในใจของตน เมื่อเธอได้พบกับความสงบสุขจากภายใน เมื่อนั้นเธอจะพบด้วยว่า 🔸เธอไม่ต้องการอะไรอีก🔸
ความหมายก็คือ 🌟เธอจะรู้สึกว่าสิ่งต่างๆจากโลกภายนอกไม่จำเป็นสำหรับเธออีกต่อไป การรู้สึกว่า "ไม่จำเป็น" (Not needing) คืออิสระภาพอันยิ่งใหญ่ มันจะปลดปล่อยเธอให้เป็นอิสระ✴🌟
อย่างแรก
✴️มันจะปลดปล่อยเธอจากความกลัว "กลัวว่าจะไม่มีไม่ได้" "กลัวว่าจะสูญเสียในสิ่งที่มี" "กลัวว่าถ้าไม่มีสิ่งนั้นสิ่งนี้แล้วจะไม่มีความสุข"✴️
อย่างที่สอง
✴️การรู้สึกว่า "ไม่จำเป็น" จะปลดปล่อยเธอจากความโกรธ "ความโกรธคือความกลัวที่แสดงตัวออกมา" เมื่อไม่กลัวในสิ่งใดก็ไม่มีอะไรให้โกรธ✴️
🌟เธอจะไม่โกรธเมื่อเธอไม่ได้ในสิ่งที่เธอต้องการ เพราะว่า "ความต้องการ" เป็นเพียงแค่ความรู้สึกชื่นชอบ (ชอบอีกอย่างมากกว่าอีกอย่าง) ไม่ใช่ความรู้สึกว่าขาดไม่ได้ (หรือจำเป็นต้องมี) เธอไม่กลัวเมื่อไม่ได้รับในสิ่งที่ต้องการ เพราะฉะนั้นจึงไม่มีความโกรธ
🌟เธอจะไม่โกรธเมื่อเห็นผู้อื่นทำในสิ่งที่เธอไม่ต้องการให้พวกเขาทำ เพราะเธอรู้สึกว่า "ไม่จำเป็น" ต้องให้พวกเขาทำหรือไม่ทำในสิ่งใด เพราะฉะนั้นจึงไม่มีความโกรธ
🌟เธอจะไม่โกรธเมื่อมีใครบางคนใจดำกับเธอ เพราะเธอรู้สึกว่า "ไม่จำเป็น" ต้องให้พวกเขามีน้ำใจกับเธอ
🌟เธอจะไม่โกรธเมื่อมีใครบางคนไม่รักเธอ เพราะเธอรู้สึกว่า "ไม่จำเป็น" ต้องให้พวกเขามารัก
🌟เธอจะไม่โกรธเมื่อมีใครบางคนโหดร้ายกับเธอ ทำให้เธอต้องทุกข์ใจ หรือพยายามทำร้ายเธอ เพราะเธอรู้สึกว่า "ไม่มีความจำเป็น" ที่จะต้องให้พวกเขากระทำในแบบอื่น และเธอรู้ชัดว่าตัวเธอนั้นมิอาจโดนทำร้ายได้
🌟แม้กระทั่งว่าเธอจะไม่โกรธเมื่อมีใครบางคนพยายามจะเอาชีวิตเธอ เพราะเธอนั้นไม่เกรงกลัวต่อความตาย
✴️เมื่อความกลัวหายไปเธอจะไม่มีวันโกรธแม้ว่าทุกสิ่งทุกอย่างจะถูกพรากไปจากชีวิตเธอ✴️
เธอรู้อยู่ภายในและรู้โดยสัญชาตญาณว่า...ทุกสิ่งที่เธอเคยสร้างขึ้นสามารถสร้างขึ้นใหม่ได้อีก และที่สำคัญยิ่งกว่านั้นก็คือ 🔸รู้ว่ามันไม่ได้สลักสำคัญอะไรเลย🔸
เมื่อเธอได้พบกับความสงบสุขภายในแล้ว ไม่ว่าจะมีหรือไม่มีผู้คน สถานที่ สิ่งของ เงื่อนไขสภาวะ สภาพการณ์ หรือ สถานการณ์ใดๆ ก็ไม่อาจส่งผลกระทบต่อ "สภาวะจิตแห่งผู้สร้าง" ของเธอได้ หรือไม่อาจห้ามเธอไม่ให้มีประสบการณ์ถึงความมีอยู่ของพระผู้เป็นเจ้าได้
✴️นี่ไม่ได้หมายความว่ามันจะทำให้เธอปฏิเสธทุกอย่างที่เป็นเรื่องทางกายหรอกนะ✴️ ไม่ใช่อย่างนั้นเลย จริงๆแล้วเธอจะได้รับประสบการณ์ทางกายรวมไปถึงความสุขจากร่างกายได้อย่างเต็มเปี่ยมอย่างที่เธอไม่เคยได้รับมาก่อนเสียด้วยซ้ำ
และทุกสิ่งที่ร่างกายของเธอต้องเข้าไปเกี่ยวข้องจะมาจากเจตจำนงของเธอเอง 🔹ไม่ใช่จากการฝืนใจต้องทำ🔹
ประสบการณ์ทางกายภาพของเธอจะเกิดจาก`การเลือก`ของเธอ★ ไม่ใช่เพราะ`จำต้องทำ`เพื่อที่จะให้ตัวเองรู้สึกมีความสุข หรือจำต้องทำเพื่อไม่ให้เกิดความทุกข์
★ยอมรับกับผลทุกอย่างที่จะตามมา ไม่โทษคนอื่น ไม่โทษตนเอง เพราะได้ตัดสินใจเลือกทำแล้วด้วยความตั้งใจ
~ แอดมิน
✴️หากการเสาะแสวงหาและการค้นให้พบกับความสงบสุขภายในกลายเป็นภาระหน้าที่และความรับผิดชอบของมนุษย์ทุกคนแล้วล่ะก็✴️
⏺️"สงครามทั้งหมดจะจบสิ้นลง"
⏺️"ความขัดแย้งจะหายไป"
⏺️"ความอยุติธรรมจะไม่คงอยู่" และ
⏺️"โลกจะมุ่งสู่สันติภาพอันยั่งยืนไปตลอดกาล"
วิธีการอื่นใดก็ไม่จำเป็น...หรือกระทั่งเป็นไปได้ สันติภาพโลกเป็น 🔸เรื่องส่วนตัว🔸 ล้วนๆจริงๆ❗
✴️สิ่งจำเป็นไม่ใช่การเปลี่ยนแปลงโลกภายนอกแต่คือการเปลี่ยนแปลงโลกภายใน✴️
N : เราจะพบความสงบสุขภายในได้ยังไงในเมื่อท้องเรายังหิวอยู่❓ จะสงบเยือกเย็นอยู่ได้ยังไงเมื่อเรายังคงกระหายน้ำ❓ จะคงความสงบนิ่งอยู่ได้ยังไงเมื่อตัวเราเปียกและหนาวสั่นจากการไม่มีที่พักพิง❓ จะหลีกเลี่ยงความโกรธได้ยังไงเมื่อคนที่เรารักกำลังจะตายโดยไม่รู้สาเหตุ❓
พระองค์พูดได้อย่างจับใจอย่างกับบทกวี แต่บทกวีจะเอาไปใช้ในชีวิตจริงได้ยังไง❓ จะพูดอะไรกับคนเป็นแม่ในเอธิโอเปียที่เห็นลูกของตัวเองที่มีแต่หนังหุ้มกระดูกต้องตายลงเพียงเพราะหาขนมปังสักแผ่นกินยังไม่ได้❓ จะพูดอะไรกับชายชาวอเมริกากลางที่กำลังถูกกระสุนปืนฉีกร่างเพียงเพราะเขาพยายามหยุดพวกทหารไม่ให้เข้ายึดหมู่บ้านของตัวเอง❓
และบทกวีของพระองค์จะพูดอะไรกับผู้หญิงในบรู๊คลินที่ถูกข่มขืนถึงแปดครั้งโดยพวกแก็งค์โจร❓ หรือกับครอบครัวของชาวไอริชที่ร่างของสมาชิกทั้งหกต้องกระจัดกระจายไปด้วยแรงระเบิดที่พวกผู้ก่อการร้ายฝังไว้ในโบสถ์ในตอนเช้าวันอาทิตย์❓
G : เป็นเรื่องยากที่เธอจะรับฟัง แต่ฉันขอบอกเธอตรงนี้ว่า : ✴️มีความสมบูรณ์แบบอยู่ในทุกสิ่ง✴️
🌟จงมุ่งมั่นและพยายามเห็นถึงความสมบูรณ์แบบที่มีอยู่ในทุกสิ่งให้ได้ สิ่งนี้คือการเปลี่ยนโลกภายในที่ฉันพูดถึง
⏺️ จงอย่ายึดติดในสิ่งใด (ไม่มีสิ่งใดที่จำเป็น)
⏺️ จงมีเจตจำนงหรือตั้งใจกับทุกสิ่ง (มีสติ)
⏺️ จงเลือกไม่ว่าสิ่งใดก็ตามปรากฏขึ้น★
★เราต้องเลือกอย่างใดอย่างหนึ่งเสมอไม่ว่าสิ่งใดก็ตามปรากฏขึ้นในชีวิต ไม่มีสิ่งใดที่ขาดไม่ได้ จงเลือกทุกสิ่งด้วยความตั้งใจ และการไม่เลือกในสิ่งใดถือเป็นการเลือกอย่างหนึ่งเช่นกัน
~ แอดมิน
จงมีสติรับรู้ถึงทุกอารมณ์ความรู้สึก (ปล่อยออกมาอย่ากดมันไว้) ร้องไห้ในยามที่ต้องร้องไห้ หัวเราะในยามที่ต้องหัวเราะ เคารพและให้เกียรติต่อความจริงของตน และเมื่ออารมณ์ที่เกิดขึ้นทั้งหมดจบสิ้นลงแล้ว จงสงบนิ่งและรับรู้ว่า 🔸เธอคือพระเจ้า🔸
พูดอีกอย่างก็คือ ท่ามกลางโศกนาฏกรรมล้ำลึก ✴️จงเห็นถึงความยิ่งใหญ่ของกระบวนการ✴️
แม้เธอต้องตายจากกระสุนปืนที่ทะลุหน้าอก...แม้เธอต้องถูกข่มขืนจากเหล่าทรชนอยู่ก็ตาม
ฟังดูอาจรู้สึกว่าเป็นไปไม่ได้ที่จะทำ ทว่า...🔸เมื่อเธอเคลื่อนสู่จิตสำนึกของพระเจ้าเธอจะทำได้🔸
แน่นอน เธอ`ไม่ต้อง`ทำก็ได้ 🔹ขึ้นอยู่กับว่าเธอปรารถนาที่จะมีประสบการณ์ถึงห้วงขณะนั้นอย่างไร🔹
ในห้วงยามแห่งโศกนาฏกรรมอันลึกล้ำ ✴️ความท้าทายจะอยู่ที่การทำใจให้สงบและดิ่งลึกลงไปในจิตวิญญาณเสมอ✴️
"เธอทำอย่างนี้โดยอัตโนมัติในยามที่เธอควบคุมอะไรไม่ได้"
เธอเคยคุยกับคนที่เคยเกิดอุบัติเหตุขับรถตกสะพานไหม❓ หรือคนที่เคยโดนปืนจ่อ❓ หรือคนที่เคยเกือบจมน้ำตาย❓ คนเหล่านี้มักจะเล่าให้เธอฟังว่า เวลาดูเหมือนจะเดินช้าลง โดยพวกเขาเองรู้สึกสงบอย่างประหลาดและไม่มีความกลัวเลย
✴️จงอย่ากลัวเพราะฉันอยู่กับเธอเสมอ✴️
นี่คือสิ่งที่บทกวีจะพูดกับคนที่กำลังเผชิญหน้ากับโศกนาฏกรรม ในห้วงยามที่เธอหลงทางอยู่ในความมืดมิดจะมีฉันเป็นแสงนำทาง ในห้วงขณะที่เธอโศกเศร้าอย่างที่สุดจะมีฉันคอยปลอบประโลม ในช่วงเวลาที่เธอกำลังเหนื่อยยากลำบากจะมีฉันเป็นพละกำลังให้
ฉะนั้นจงมีศรัทธา❗
ฉันจะดูแลเธอดุจดั่งคนเลี้ยงแกะเพื่อเธอจะไม่ขัดสน ฉันจะให้เธอได้นอนลงบนทุ่งหญ้าเขียวชอุ่ม ฉันจะต้อนเธอไปดื่มน้ำยังริมน้ำนิ่ง
ฉันจะฟื้นฟูและบำรุงรักษาจิตวิญญาณของเธอและนำทางเธอไปบนหนทางที่ถูกต้องเพื่อเห็นแก่พระนามของฉัน
และใช่ แม้ว่าเธอจะเดินผ่านเงามัจจุราช แต่เธอจะไม่กลัวภยันตรายใดๆ เพราะฉันสถิตอยู่กับเธอ คทาและไม้เท้าของฉันจะคอยปลอบโยนเธอ
ฉันจะให้พละกำลังกับเธอก่อนที่เธอจะเผชิญหน้ากับศัตรูภายใน ฉันจะรักษาพลังใจของเธอด้วยการอวยพร
แน่นอนที่หัวใจอันเที่ยงธรรมและความเมตตากรุณาจะเติบโตอยู่ในใจของเธอทุกวันไปตลอดชีวิต และเธอจะสถิตอยู่กับฉัน (ภายในใจของฉัน) ไปชั่วนิจนิรันดร์...
(จบ)(บทที่ 11)

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา