28 มี.ค. 2021 เวลา 08:16 • หนังสือ
✴️ บทที่ 1 ความท้อแท้ของอรชุน
(ตอนที่ 10) ✴️
🌸 “พวกเขาได้ทำอะไรกัน” — สำรวจสนามรบในจิตใจและจิตวิญญาณ 🌸
⚜️ โศลก 1 ⚜️ (ตอนที่ 9)
หน้า 46 – 52
❇️ วิญญาณได้อาณาจักรคืนมา ❇️
นี่จึงเป็นการสู้รบทางจิตที่ทุกคนต้องต่อสู้ – สงครามระหว่างจิตมนุษย์ที่เห็นสุขทุกข์สลับสับเปลี่ยนกันไปในโลกมายา ในสสารที่มี การเปลี่ยนแปร และจิตจักรวาลในวิญญาณของเรา เพื่อจะได้เห็นอาณาจักรนิรันดร์อันเกษมศานติ์และทรงพลานุภาพ
ยิ่งโยคีบำเพ็ญสมาธิลึกซึ้งเท่าใด ท่านยิ่งสามารถอยู่กับการรับรู้และวิญญาณที่รู้ตื่นมากขึ้นเท่านั้น และสามารถแสดงออกได้ในชีวิตประจำวัน และอาณาจักรกายของท่านก็จะยิ่งมีมิติทางจิตวิญญาณมากขึ้น การหยั่งรู้ตนของท่านคือชัยชนะ ซึ่งจะสถาปนาอาณาจักรแห่งวิญญาณราชาขึ้นมาใหม่ การเปลี่ยนแปลงอย่างน่าฉงนจะเกิดขึ้นในปุถุชน เมื่อวิญญาณราชากับข้าราชบริพารของท่านคือ 'สหัชญาณ' 'สันติภาพ' 'ความสงบ' 'การควบคุมตน' 'การควบคุมพลังชีวิต' 'พลังเจตจำนง' 'สมาธิ' 'พุทธิปัญญา' และ 'ความรอบรู้' ได้เป็นผู้ปกครองอาณาจักรกาย!
▪️การเห็นทางจิตวิญญาณของโยคีผู้รู้แจ้ง▪️
โยคีผู้ชนะศึกในการต่อสู้ทางจิตจะก้าวข้ามความยึดมั่นผิด ๆของอหังการ เช่น “ฉันเป็นผู้ชาย ฉันเป็นชาวอเมริกัน ฉันมีเนื้อหนังมาก ฉันเป็นเศรษฐีของเมืองนี้” หรืออะไรทำนองนี้ และปลดปล่อยความสนใจที่เคยเป็นนักโทษอยู่ในกรงมายา ความสนใจที่เป็นอิสระซึ่งเคยเห็นการเนรมิตสร้างแค่ด้วยไฟฉายอินทรีย์ภายนอก จะกลับสู่อาณาจักรไร้เขตซึ่งจะเห็นได้ก็ด้วยไฟฉายการเห็นภายในเท่านั้น
ในมนุษย์ทั่วๆไป อหังการหรือวิญญาณจอมปลอม จะไหลลอยไปกับความเพลิดเพลินในผัสสารมณ์ และสุดท้ายจะจมหายไปในกระแสเชี่ยวกรากของความอิ่มแปล้และโมหะ ส่วนใน 'อภิมนุษย์' นั้น กระแสพลังชีวิต ความสนใจ และปัญญาจะหลั่งไหลไปหาวิญญาณ จิตจะแหวกว่ายอยู่ในทะเลแห่งความเกษมสุขและสันติภาพนิรันดร์แห่งพระเจ้า
ในมนุษย์ทั่วๆไป อินทรีย์ (ไฟฉายส่องสสาร) จะส่องให้เห็นแต่ความเพลิดเพลินจอมปลอม เห็นแต่ความน่าสนใจเพียงผิวเผินของวัตถุ ส่วนใน 'อภิมนุษย์' นั้น ไฟฉายการเห็นภายในจะเผยให้เห็นสถานปลีกเร้นของโยคี #ที่สิ่งเนรมิตสร้างทั้งปวงมีบรมวิญญาณความงามและความเบิกบานอยู่ด้วยตลอดกาล
#เมื่อบุคคลเข้าสู่ประตูวิญญาณจักษุ★ เขาเข้าถึง “จิตแห่งพระคริสต์” (เป็นหนึ่งเดียวกับนิรันดรภาพแห่งพระเจ้าในทุกสิ่งสร้าง) และเข้าถึง “จิตจักรวาล” (เป็นหนึ่งเดียวกับนิรันดรภาพแห่งพระเจ้าในทุกสิ่งสร้างและที่เหนือกว่าสิ่งสร้าง)
★“วิญญาณจักษุ” คือ เอกเนตรแห่งสหัชญาณและการรู้แจ้ง #ซึ่งอยู่ระหว่างคิ้ว ณ ศูนย์พระคริสต์ หรือ กุฏสถะ (อชนจักระ) เป็นจักษุที่เชื่อมตรงกับจักระท้ายสมอง
ผู้แสวงหาทางจิตวิญญาณที่บำเพ็ญสมาธิภาวนาอย่างลึกซึ้ง จะเห็น “วิญญาณจักษุ” เป็นวงแสงสีทองล้อมรอบวงกลมสีน้ำเงินเหลือบวาว ซึ่งมีดาวห้าแฉกอยู่ตรงกลาง ในแง่จักรวาลวิทยาแล้วรูปทรงและสีนี้คือภาพจำลองของ 1️⃣อาณาการสร้างของพระเจ้า (ประกฤติ – ธรรมชาติ) ซึ่งทรงอยู่ได้ด้วยพลังสั่นสะเทือน; 2️⃣อาณาแห่งพระปัญญาในการรังสรรค์ของพระเจ้า (กุฏสถะ ไจตันยะ, จิตแห่งพระเจ้าหรือจิตแห่งพระกฤษณะ): และ 3️⃣อาณาแห่งบรมวิญญาณที่ไร้การสั่นไหว ซึ่งอยู่เหนือการสร้างสรรค์ทั้งปวง (พรหมัน)
เมื่อบำเพ็ญสมาธิอย่างลึกซึ้ง จิตของผู้ภักดีจะผ่านวิญญาณจักษุเข้าสู่ "อาณาทั้งสาม" นั้น
“บุรุษผู้มีจิตจักรวาล” จะไม่รู้สึกว่าตนถูกจำกัดโดยกาย หรือไปถึงแค่สมองหรือแค่แสงแห่งดอกบัวพันกลีบในสมอง แต่จะรู้สึกด้วยพลังสหัชญาณแท้จริงถึงความเกษมสุขตลอดกาลที่เริงร่ายอยู่ในทุกอณูของกายน้อยๆของเขาและในกายใหญ่แห่งจักรวาล และรู้ว่าธรรมชาติของเขาเป็นหนึ่งเดียวกับบรมวิญญาณสากลซึ่งอยู่เหนือรูปใด ๆ ที่อาจสำแดงได้
บุรุษผู้ยกตนเข้าสู่อาณาจักรกายอันเป็นทิพย์เช่นนี้ จะไม่กลับเป็นมนุษย์ผู้มีจิตอหังการคับแคบอีกต่อไป และจริงๆแล้ว เขาคือ "วิญญาณ" คือ "ชีวาตมัน" อันดำรงนิรันดร คือจิตที่หยั่งรู้อยู่ตลอดกาล คือความเกษมสุขใหม่ ๆ ตลอดกาล คือภาพสะท้อนอันบริสุทธิ์ของบรมวิญญาณ บริบูรณ์ด้วยจิตจักรวาล เขาจะไม่เป็นเหยื่อของการฝันเฟื่อง ไม่เป็นเหยื่อของแรงบันดาลใจเลื่อนลอย หรือภาพหลอนของ “ปัญญา” อภิมนุษย์เช่นนี้จะรู้สึกอย่างแรงกล้าถึงบรมวิญญาณที่ไร้การแสดงตน รวมถึงจักรวาลอันอุดมด้วยความหลากหลายอย่างน่าฉงน
ด้วยจิตที่ตื่นและแผ่ไพศาลในทุกอณูของพื้นที่และอวกาศ โยคีผู้เกษมสุขจะรู้ว่ากายเนื้อน้อย ๆ และการรับรู้ของท่านไม่แค่เป็นกายของมนุษย์ธรรมดาเท่านั้น แต่เป็นหนึ่งเดียวกับบรมวิญญาณผู้ทรงเป็นสัพพัญญอีกด้วย
เมื่อเป็นอิสระจากความมัวเมาในมายา และความจำกัดอันลวงหลงของมตชน อภิมนุษย์รู้ชื่อและทรัพย์สมบัติทางโลกของท่าน แต่ท่านไม่ครอบครองหรือจำกัดอยู่กับสิ่งนั้น #ท่านอยู่ในโลกแต่ไม่เป็นของโลก ท่านรู้จักความหิว ความกระหาย และสภาพต่าง ๆ ของร่างกายมนุษย์ แต่จิตของท่านไม่ผูกอยู่กับกาย หากแต่อยู่กับบรมวิญญาณ โยคีผู้ก้าวหน้าอาจมีทรัพย์สินมากมาย แต่ท่านไม่เสียใจเมื่อต้องสูญเสียสิ่งเหล่านั้นไป ถ้าท่านยากจน ท่านรู้ว่าในบรมวิญญาณนั้นท่านมั่งคั่ง ยิ่งกว่าความฝันใด ๆ ของคนโลภ
มนุษย์ฝ่ายจิตวิญญาณย่อมกระทำถูกต้องต่อผัสสอินทรีย์ทั้งปวง — รูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส ท่านฟังโดยไม่เอาความรู้สึกหรือจิตเข้าไปผูกยึด วิญญาณของท่านล่องลอยอยู่เหนือน้ำเน่าของประสบการณ์อันมืดมนของโลก — เหนือความเศร้าของมนุษย์ผู้ไม่สนใจพระเจ้า — ดุจเดียวกับดอกบัวไร้มลทินทั้ง ๆ ที่เกิดจากน้ำโคลนในทะเลสาบ
อภิมนุษย์รับรู้ “เวทนา” #ไม่ใช่ด้วยประสาทสัมผัสแต่รับรู้ในสมอง ปุถุชนรู้สึกร้อนหนาวที่ผิวกาย เขาเห็นดอกไม้สวยงามในสวนก็เห็นแต่ภายนอก เขาได้ยินเสียงด้วยหู เขาลิ้มรสด้วยลิ้น เขาได้กลิ่นด้วยประสาทรับกลิ่น แต่ 'อภิมนุษย์' มีประสบการณ์กับเวทนาเหล่านี้ในสมอง เขาสามารถแยกแยะได้ระหว่างเวทนาบริสุทธิ์กับปฏิกิริยาต่อการคิด เขารับรู้เวทนา ความรู้สึก เจตจำนง ร่างกาย การรับรู้ — ทุกสิ่ง — ในความคิด เช่นเดียวกับที่พระเจ้าทรงสุบินผ่านทางจิตสำนึกของมนุษย์
อภิมนุษย์เห็น “ร่างกาย” ไม่ใช่ในลักษณะของเนื้อหนัง #แต่เห็นในลักษณะการรวมกันเป็นกลุ่มก้อนของอิเล็กตรอนกับปราณ #พร้อมที่จะสลายหรือประกอบกันได้ตามความปรารถนาของโยคี เขาไม่รู้สึกถึงน้ำหนักของกาย แต่เห็นเนื้อหนังว่า เป็นเพียงพลังไฟฟ้า #เขาเห็นภาพของจักรวาลเคลื่อนไหวไปมาบนจอจิตของเขา เขารู้ด้วยวิธีของเขาเองว่า กาละและเทศะ (เวลา) เป็นมิติในความคิดที่แสดงภาพการเคลื่อนไหวของจักรวาล เป็นความฝันใหม่ ๆ ตลอดกาล แสดงการเปลี่ยนแปรไปอย่างไม่สิ้นสุด – และเป็นจริงต่อการสัมผัส ต่อเสียง กลิ่น รส และรูป
อภิมนุษย์เห็นว่า #การเกิดของกายตนนั้นเป็นแค่การเริ่มต้นของการเปลี่ยนแปลง เขารู้ว่าการตายคือการเปลี่ยนแปลงที่จะติดตามมากับชีวิตทางโลก เขาพร้อมและสามารถที่จะละจากกาย สถานที่พักพิงนี้ไปอย่างรู้ตัวได้ เมื่อเขาเลือกที่จะทำเช่นนั้น
เมื่อเป็นหนึ่งเดียวกับพระเจ้า เขาจึงฝันในจิตจักรวาล #การนิมิตฝันถึงการสร้างสรรค์แห่งจักรวาล
#กายของอภิมนุษย์คือจักรวาล #และทุกสิ่งที่เกิดในจักรวาล #ล้วนเป็นเวทนาที่เกิดกับเขา
บุรุษผู้รวมเป็นหนึ่งเดียวกับพระเจ้า พระองค์ผู้ทรงฤทธิ์ ผู้ทรงสถิตอยู่ทุกที่ ทุกกาล และทรงรู้รอบ ย่อมรู้ไกลถึงระยะอสงไขยปีแสงแห่งดวงดาว และรู้ใกล้แม้การบินของนกกระจอก #อภิมนุษย์ไม่มองบรมวิญญาณว่าแยกต่างหากจากกาย เขาเป็นหนึ่งเดียวกับบรมวิญญาณ และเห็นว่าร่างกายของเขาก็เช่นเดียวกับร่างกายของชีวิตอื่นๆ ที่ล้วนดำรงอยู่ในตัวเขา #เขาสัมผัสรู้ร่างกายของเขาที่เป็นเพียงอณูอันน้อยนิดในกายจักรวาลอันเรืองรองไพศาล
ระหว่างบำเพ็ญสมาธิภาวนาอย่างลึกซึ้ง เมื่อถอนจิตไปจากโลกแห่งผัสสะภายนอก อภิมนุษย์เห็นด้วยอำนาจแห่งดวงตาภายใน เขาเห็นอาณาแห่งจิตจักรวาล ซึ่งดำรงอยู่ทุกที่ทุกกาลโดยผ่านไฟฉายของพลังทิพย์แห่งรูป เสียง กลิ่น รส สัมผัส และด้วยสหัชญาณอันประณีตบริสุทธิ์
ในภาวะนี้ อภิมนุษย์รู้ว่าอณูของพลังจักรวาลที่วิบวับอยู่นั้น #คือดวงตาของเขาเอง ดวงตาซึ่งเขามองเข้าไปในทุกรูร่องของพื้นที่ อวกาศ และอนันตภาวะ
เขามีความสุขกับทุกสิ่งสร้าง ซึ่งหอมหวานด้วยบรมสุข เขาสูดดมความหอมหวานของอณูบุปผาทิพย์ที่เบ่งบานอยู่ในอุทยานจักรวาล
เขาลิ้มรสน้ำทิพย์แห่งพลังจักรวาล และดูดดื่มน้ำผึ้งแห่งความเบิกบาน จากรวงผึ้งไฟฟ้าอวกาศ อาหารธรรมดาไม่อาจยั่วใจเขาได้อีกต่อไป #เขาอยู่ได้ด้วยพลังทิพย์ของตน
เขาสัมผัสเสียงของเขาที่มีพลังสั่นไหว แต่ไม่ใช่พลังสั่นสะเทือนในกายมนุษย์ ทว่าในลำคอแห่งการสั่นสะเทือนทั้งปวงและในกายสสารอันจำกัดของเขาเอง เขาฟังเสียงจักรวาลรังสรรค์ 'โอม' เคล้าคลอไปกับบทเพลงแห่งบรมวิญญาณ ขับร้องด้วยขลุ่ยอะตอม และคลื่นวับวาวแห่งการรังสรรค์ทั้งปวง เขาจึงไม่อยากฟังเสียงอื่นใดอีกเลย
เขารู้สึกได้ว่าเลือดการรับรู้ของเขา ไหลผ่านเส้นเลือดในกายสร้างสรรค์ ซึ่งมีพลังสั่นสะเทือนอันจำกัด เมื่อพิชิตความอยากของร่างกายที่หวังรสสัมผัสและความสะดวกสบายทางวัตถุเสียได้ มนุษย์ทิพย์รู้ว่า “เวทนาทั้งปวง” #คือการสำแดงพลังสร้างสรรค์ของพระเจ้าในกายจักรวาลนี้ ที่ให้ความสุขอย่างที่รสสัมผัสใดๆไม่อาจเทียบเทียม เขาสัมผัสถึงแม่น้ำที่ไหลอย่างสงบไปบนอกโลก เขาสัมผัสที่พำนักของตนในมหาสมุทรอวกาศ เห็นเกาะจักรวาลบนอกทะเลของเขาเอง เขารู้ถึงความอ่อนนุ่มของกลีบดอกไม้ และความรักอ่อนโยนในหัวใจทุกดวง ในความมีชีวิตชีวาของวัยหนุ่มสาวในร่างกายของทุกคน พลังหนุ่มสาวในตัวของเขาเองยั่งยืนดุจวิญญาณอันไร้กาลเวลา
#อภิมนุษย์รู้ว่าการเกิดและการตายเป็นแค่การเปลี่ยนกระบวนการร่ายรำในทะเลแห่งชีวิต แม้กระแสคลื่นในมหาสมุทรก็มีขึ้น–ลง แล้วกลับขึ้นอีกครั้ง เขารู้อดีตและอนาคต แต่อยู่กับปัจจุบันนิรันดร์ สำหรับเขาแล้ว ปัญหาทั้งหลายที่เนื่องด้วยตัวตนและการดำรงอยู่ แก้ได้ด้วยการประจักษ์เพียงอย่างเดียวว่า “เรามาจากความเบิกบาน เราอยู่และเคลื่อนไหวในความเบิกบาน และเราจะสลายกลับสู่ความเบิกบานอันศักดิ์สิทธิ์นิรันดร์นี้อีกเช่นกัน”
นี่คือ #การหยั่งรู้ตน ตั้งแต่กำเนิดมาแล้ว #มนุษย์อยู่ในภาวะวิญญาณที่เป็นภาพสะท้อนอันบริสุทธิ์ของบรมวิญญาณ การฝันถึงการเกิดใหม่โลดแล่น อยู่บนจอฝันของปัจเจก แต่ในความเป็นจริงแล้ว ไม่มีขณะใดเลยที่มนุษย์แยกห่างจากพระเจ้า “เรา” คือ #พระดำริของพระองค์ #พระองค์คือการดำรงอยู่ของเรา และเรามาจากพระองค์
ในพระองค์ เราจึงอยู่ในฐานะสิ่งแสดงแห่งปัญญาญาณ ความรักและความเบิกบานแห่งพระองค์ ในพระองค์ เราจึงสลายอหังการ อยู่กับความเกษมสุขนิรันดร์ ไร้ความฝันและรู้ตื่นตลอดเวลา
❇️ มนุษย์ทุกคนต้องสู้รบในสงครามกุรุเกษตร ❇️
ทั้งหมดนี้คือการพรรณนาเปรียบเทียบความสำคัญของการยุทธ์ที่กุรุเกษตรและเป้าหมายของชัยชนะ #มนุษย์ทุกคนต้องเผชิญกับความท้าทายเหมือนๆกัน การที่คีตาได้รับความนิยมมาทุกยุคทุกสมัยก็เพราะคีตาเป็นคัมภีร์ศักดิ์สิทธิ์เพื่อการดำรงชีวิตอย่างเป็นสากลที่มนุษย์ทุกคนนำไปใช้ได้ เป็นคัมภีร์ที่ให้ปัญญาญาณแก่มนุษย์ในทุกระดับ
มนุษย์ฝ่ายวัตถุจะรู้จักความสุขและความสงบภายในก็ต่อเมื่อเขาอยู่กับฝ่ายความดี และได้ชัยชนะในสงครามระหว่างจริตฝ่ายดีกับฝ่ายชั่ว ที่ชักนำการกระทำของเขาในสนามกายภายนอก หรือกุรุเกษตร
ผู้แสวงหาทางจิตวิญญาณตามนัยศาสนาที่แท้จริง ไม่ว่าศาสนาใด ยังต้องเอาชนะในสงครามภายในหรือธรรมเกษตรกุรุเกษตร จักระในสมองร่วมไขสันหลัง จุดแห่งการรวมตัวกับพระเจ้า (ในการสวดภาวนา การทำสมาธิ และการปฏิบัติต่อหน้าพระพักตร์ของพระเจ้าในช่วงทำกิจกรรมประจำวัน) ต้องสยบฝ่ายตรงกันข้าม นั่นคือจิตที่กระวนกระวาย และความเย้ายวนทางผัสสะให้ได้
'โยคี' ผู้แสวงหาเป้าหมายสูงสุดแห่งการหยั่งรู้ตน และ ไกวัลย์ (การหลุดพ้น) เป็นผู้นำนักรบฝ่ายธรรมะ การเอาชนะตนเองและการอยู่ในศีลธรรมในการยุทธ์กุรุเกษตรฝ่ายวัตถุ และท่านยังต้องต่อสู้เพื่อเอาชนะทางจิตวิญญาณในการยุทธ์ธรรมเกษตรกุรุเกษตรเพื่อการรวมกับพระเจ้า อีกทั้งยัง ต้องทำศึกในสนามธรรมเกษตร วางจิตมั่นคงอยู่ในฝ่ายวิญญาณ 'อภิจิต' 'จิตแห่งพระคริสต์' และ 'จิตจักรวาล' อันได้จากการปฏิบัติโยคะสมาธิ จนกายอหังการอันต่ำช้าไม่อาจฉุดท่านไปได้
ความกว้างใหญ่ไพศาลของความสำคัญของ 'โศลกแรก' ในภควัทคีตา เป็นสิ่งที่ต้องมองให้เห็น เพื่อเราจะได้รู้ว่าจะนำไปใช้ปฏิบัติได้อย่างไร
✴️ พระเจ้าในร่างของศรีกฤษณะสนทนากับอรชุนผู้ภักดีว่า “โอ้ อรชุน จงถามพลังการใคร่ครวญที่ไร้อคติของเจ้า (สัญชัย) ทุกคืน ให้เปิดเผยต่อจิตอันมืดบอดของเจ้า (ธฤตราษฎร์) ว่า ; 'จริตของจิตและอินทรีย์ที่หุนหันพลันแล่น กับพุทธิปัญญาทายาทฝ่ายวิญญาณ ที่ประชุมกันอยู่บนสนามกายแห่งผัสสอินทรีย์และจิตวิญญาณนี้ ที่กระหายจะทำสงคราม พวกเขาได้ทำอะไรกัน' จงบอกผู้แสวงหาข้าที่จะมีมาในกาลข้างหน้า อย่างที่เจ้าเป็นอยู่ตอนนี้ ให้ระวังจิตไว้ตลอดเวลาทุกค่ำคืน เพื่อจะได้เข้าถึงการต่อสู้ภายในทุกวัน จะได้สามารถต้านทานอำนาจการรุกเร้าของจิตมืดบอด และสนับสนุนทหารฝ่ายญาณปัญญา” ✴️
บุคคลในโลกโลกีย์ นักศีลธรรม ผู้แสวงหาทางจิตวิญญาณ และโยคี — ก็เช่นเดียวกับศิษย์ผู้ภักดีทั้งหลาย ที่ทุกคืนก่อนนอน #ต้องถามสหัชญาณของตนว่า :
 
— วันนี้จริตฝ่ายจิตวิญญาณหรือความเย้ายวนฝ่ายกายเป็นฝ่ายชนะในสงคราม
— ระหว่างนิสัยฝ่ายดีกับฝ่ายชั่ว
— ระหว่างการสังวรระวังกับความโลภ
— ระหว่างการควบคุมตนกับการปล่อยตามกิเลส
—ระหว่างความอยากได้เงินเท่าที่จำเป็นกับความละโมบโลภทองคำอย่างเกินเลย
—ระหว่างการไม่ถือโทษกับความโกรธ
—ระหว่างความเบิกบานกับความโศกเศร้า
— ระหว่างความบูดบึงกับความยินดี
— ระหว่างความเมตตากับความโหดร้าย
— ระหว่างความเห็นแก่ตัวกับความใจกว้าง
— ระหว่างความเข้าใจกับความอิจฉา
— ระหว่างความกล้ากับความขลาด
— ระหว่างความมั่นใจกับความกลัว
— ระหว่างศรัทธากับความสงสัย
— ระหว่างความอ่อนน้อมถ่อมตนกับความหลงลำพอง
—ระหว่างความปรารถนาที่จะติดต่อกับพระเจ้าด้วยการทำสมาธิกับความกระวนกระวายอยากทำกิจกรรมทางโลก
— ระหว่างความต้องการทางจิตวิญญาณกับความต้องการทางโลก
— ระหว่างทิพยสุขกับสุขทางผัสสอินทรีย์
—ระหว่างจิตวิญญาณกับอหังการ
(จบ)(โศลก 1 : บทที่ 1)

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา