7 เม.ย. 2021 เวลา 01:57 • นิยาย เรื่องสั้น
3.6. กิเลนประกาศศึก
โจหยิน เทพมุ่งมั่น - ตันฮก กิเลนพิสดาร - แฮหัวตุ้น เทพคุ้มครอง
เมื่อชีซี-ตันฮกติดตามกลับไปยังเมืองซินเอี๋ย พร้อมกับเล่าปี่ ในฐานะกุนซือคนใหม่แล้ว ก็ไม่รอช้า รีบเร่งสร้างผลงานให้ปรากฏด้วยการจัดระเบียบภายใน เพิ่มเติมเขี้ยวเล็บให้กับบุคคลสำคัญภายในขุมกำลังซึ่งเริ่มมีอายุมากขึ้นแล้ว
ทางหนึ่งเพื่อเสริมสร้างกำลังพลที่วางใจได้มากขึ้น และทางหนึ่งต้องการให้เป็นองครักษ์ประจำตัว แต่แทนที่จะเรียกหาเป็นองครักษ์ตามปกติ กลับต้องการให้เกิดความผูกพันกันมากขึ้นด้วยการเรียกขานเป็นบุตรบุญธรรม
ผู้ที่ผ่านการคัดเลือกครั้งนี้ คือ เค้าฮอง กำเป๋ง และจิวฉอง ถูกจัดให้เป็นบุตรบุญธรรมของเล่าปี่ กวนอู และเตียวหุยตามลำดับ หากแต่เตียวหุยดื้อดึง ไม่ยอมรับผู้ติดตามใกล้ชิดโดยสิ้นเชิง กวนอูจึงขอรับจิวฉองไว้เป็นองครักษ์ไปอีกคนหนึ่งเสียเอง กลับสร้างความสงสัยให้กับเล่าปี่ไม่น้อย เพราะขนาดเล่าปี่รับเค้าฮองไว้คนเดียว กวนอูยังคัดค้าน แต่พอเป็นกวนอูเอง กลับรับเอาไว้ถึงสองคน
"ท่านพี่เป็นหัวหน้าใหญ่ รับบุตรบุญธรรม ต่อไปอาจจะกลายเป็นศึกชิงความเป็นทายาทกับลูกคนอื่นๆ น้องจึงเกรงว่าจะมีปัญหาในอนาคต เรื่องนี้จึงไม่สมควรให้เกิดขึ้น แต่หากพี่ใหญ่ยืนกราน ข้าก็ไม่โต้แย้งดอก" กวนอูชี้แจงให้ทราบ
หากแต่เค้าฮอง หรือ เล่าฮองในชื่อใหม่ ที่ถูกขัดขวางในเบื้องต้น รับรู้ถึงความคิดของกวนอูด้วยความแค้นเคือง แต่ก็เก็บความไม่พอใจไว้ไม่ให้ใครเห็น ภายหลังเมื่อเล่าฮองสนิทสนมคุ้นเคยกับบิต๊ก บิฮอง จึงค่อยรับรู้ว่า ต่างก็มีความไม่พอใจในคนคนเดียวกันอยู่ และปรึกษากัน รอคอยวันแก้แค้นเมื่อมีโอกาส
ทั้งหมดนี้ กลับเป็นแผนการกวนน้ำให้ขุ่นของกิเลนพิสดาร ตันฮก กระเทาะความสัมพันธ์ของสามพี่น้องร่วมสาบานให้เป็นรอยแตกไว้แล้ว การส่งคนของตนเองเข้าไปประกบตัวหมากสำคัญ ย่อมจะควบคุมขุมกำลังนี้ได้ง่าย
และการที่ไม่ส่งใครเข้ามาเป็นลูกเลี้ยงของจูล่ง ก็เป็นการตอกย้ำลำดับความสำคัญของจูล่งว่า เป็นเพียงแค่ขุนพลในสังกัดเท่านั้น แยกห่างออกไปจากสามพี่น้องอีกขั้นหนึ่ง แม้ว่าจะมีข่าวฉาวเรื่ององครักษ์ข้างกายในยามราตรีก็ตาม
ตันฮกอยู่ในเครือข่ายสุมา ย่อมรู้อยู่แก่ใจว่า จูล่งมีเบื้องหลังใหญ่หลวง จึงจงใจสร้างสถานการณ์ แยกชั้นแยกระดับ ไว้อย่างชัดเจน ตั้งแต่ต้นแล้ว
...
ฝ่ายโจโฉ ซึ่งเคยระดมกำลังทหารไว้ร่วมร้อยหมื่น เพื่อทำการก่อสร้างปราสาทเมืองใหม่ และฝึกฝนกระบวนทัพปราบแดนใต้ กลับเกิดเป็นภาระค่าใช้จ่ายในการเลี้ยงดูสูงมาก จนการเงินการคลังส่อเค้าจะมีปัญหา และเสบียงร่อยหรอไปมากกว่าที่ควร แต่ครั้นจะให้เลิกกองทัพกลับเมืองต้นสังกัด กองทหารมีฝีมือเหล่านี้ก็อาจจะเป็นเหยื่อให้คนอื่นชักจูงเอาไปเป็นพวกได้ จึงคล้ายเป็นความยุ่งยากในการตัดสินใจในช่วงเวลาที่ยังมีศึกสงครามหลายฝ่ายเช่นนี้
ทางเลือกที่เหมาะสมจึงเป็นการรีบยกทัพไปต่อสู้ เผด็จศึกต่อไปเลย การสูญเสียคนในสงครามบ้าง ยังดีกว่า การปล่อยให้ไปเข้ากับฝ่ายศัตรู การรีบร้อนยกทัพออกศึกก่อนกำหนดการจึงเกิดขึ้น ทั้งๆที่ยังไม่ค่อยได้ฝึกปรือฝีมือการรบกันสักเท่าไหร่นัก อันเป็นการผิดวิสัยการทำสงคราม แต่จำเป็นต้องกระทำเสียแล้วในสถานการณ์ร้อนรนเช่นนี้
โจโฉจึงเบนเข็มลงมาจัดการกับทางด้านใต้ โดยหวังจะยึดกุมเศรษฐกิจการค้า และพื้นที่อันอุดมสมบูรณ์เข้ามาเสริมความแข็งแกร่งทางด้านเงินทุนโดยเร็ว เล่าเปียวแห่งมณฑลเกงจิ๋ว จึงเป็นเป้าหมายในการโจมตีครั้งต่อไป ทั้งที่เล่าเปียวอยู่ในสถานะเป็นรัชทายาทลำดับหนึ่งตามที่ได้รับทราบมาจากนางเปียนสี แต่ในเมื่อเล่าเปียวจับมือกับเล่าปี่ที่มีฐานะเชื้อพระวงศ์เช่นกัน โจโฉจึงไม่ต้องการให้พวกเชื้อพระวงศ์นอกคอกมารวมตัวกัน สร้างอำนาจกลับขึ้นมาได้อีก
โจโฉจึงประกาศข้อหาให้เล่าปี่เป็นขบถแผ่นดินซ้ำอีกครั้ง และออกคำสั่งให้เล่าเปียวส่งตัวกลับมา มิฉะนั้น จะโดนข้อหาขบถไปด้วย ดังนั้น เผือกร้อนอย่างเล่าปี่ จึงเริ่มสร้างความลำบากให้กับแดนใต้เสียแล้ว
งานนี้เป็นคำสั่งของทางรัฐบาลกลาง ชัวฮูหยิน ชัวมอ หวั่นเกรงเภทภัย ได้แต่ปรึกษากับหลวงจีนเภาเจ๋ง ต้นสังกัด จนได้รับคำแนะนำให้อ้างชื่อเล่าเปียว ช่วยเหลือเล่าปี่ ยามนี้ “เล่าเปียว” คล้ายจำใจต้องลุกขึ้นสู้อย่างจริงจังบ้างแล้ว หลังจากถนอมตัว ไม่สู้รบกับใครมาตั้งเนิ่นนาน
ชื่อเสียงของเล่าเปียวเองก็ไม่เสียทีที่เป็นเชื้อพระวงศ์อาวุโส เพียงส่งสาส์นให้เจ้านครขนาดใหญ่ต่างๆที่ยังไม่เทใจยอมรับโจโฉ ให้หันมาอยู่ข้างฝ่ายของตนเอง ทำให้ เล่าเจี้ยง เตียวล่อ ม้าเฉียว หันซุย ทางฝั่งตะวันตก ล้วนตอบรับกลับมาทั้งหมด เว้นแต่ซุนกวน ที่นิ่งเฉย ไม่มีความเคลื่อนไหวใดๆ ด้วยว่าคงยังแค้นเคืองเรื่องการตายของซุนเกี๋ยน ซุนเซ็กพ่อลูก
ในเมื่อวางใจด้านใต้ไม่ได้ “เล่าเปียว” จึงจำเป็นต้องรั้งตัวชัวมอ เตียวอุ๋น ขุนพลคนสนิท ไปรักษาสถานการณ์ทางนี้ไว้ก่อน และแต่งตั้งให้เล่าปี่กับพวกที่ซินเอี๋ย ให้กลายเป็นกองทัพหน้าด่านในการรับศึกโจโฉ ร่วมกับกองทัพพันธมิตรคนอื่นๆ
เมื่อสถานการณ์เป็นไปในรูปนี้ โจโฉจึงจัดกระบวนทัพใหญ่ แบ่งสี่เทวะ ห้าพยัคฆ์พร้อมกุนซือสำคัญบางส่วน เร่งนำกองทัพพยัคฆ์เสือดาว แยกย้ายออกไปตั้งรับกองทัพฝั่งตะวันตกทั้งสี่สาย แล้วให้โจหยินนำกำลังทหารเมืองใกล้เคียงราวห้าหมื่นนายมาประจันหน้ากับเล่าปี่ที่หน้าเมืองอ้วนเซีย เพื่อตระเตรียมเส้นทางการเดินทัพ และสะสมเสบียงยุทโธปกรณ์เอาไว้ให้พร้อม
อีกทั้ง ยังสั่งการให้โจหยิน กับปราชญ์ใหญ่อ้วนยู เคาก้าน นักประดิษฐ์และนักพยากรณ์ ระดมคนขุดสระน้ำใหญ่เชื่อมกับแม่น้ำไต้กังเอาไว้เป็นอู่ต่อเรือ และฝึกซ้อมการรบ ก่อนที่จะระดมกองทัพใหญ่ที่เหลือตามลงมาสมทบเพิ่มเติม
ตามคำแนะนำของกุนซือเงาปีศาจ กาเซี่ยง คือ อาศัยจุดเด่นที่โจหยิน เทพมุ่งมั่น ผู้มีความรู้เรื่องค่ายกลแปดประตูกุญแจทอง ให้จัดขบวนพยุหะค่ายกลทหารตั้งรับขวางเส้นทางหน้าเมืองไว้ ยังไม่ต้องบุกโจมตี โดยอ้างว่า นักรบในยุคสมัยนี้ น้อยคนที่จะมีปัญญาทำลายค่ายกลพิสดารเช่นนี้ได้
โจหยินฟังดังนั้นแล้วจึงค่อนข้างย่ามใจ นึกยินดีที่ได้รับตำราค่ายกลพิสดารมาจากหมอฮัวโต๋ในครั้งนั้น แบ่งกองกำลังส่วนหนึ่งไปตั้งค่ายกล และใช้กองกำลังส่วนใหญ่ไปเร่งจัดการในงานช่าง แม้ว่าจะมีการผลัดเปลี่ยนกองกำลังภายในเมืองบ้าง แต่กองทัพส่วนใหญ่ก็ล้วนอ่อนเพลียกับการทำงานแบกหามอย่างหนักทั้งวันทั้งคืน
พอตันฮกรับรู้ว่า โจหยินตั้งค่ายกลแปดประตูกุญแจทองขวางกั้นเมืองอ้วนเซียไว้ ก็นึกกระหยิ่มยินดี เพราะช่วงเวลาที่คลุกคลีอยู่กับบัณฑิตสายเต๋าที่สำนักนักปราชญ์นั้น ได้เรียนรู้พยุหะทางทหารมาเพิ่มเติม พอจะมีแนวทางในการทำลายได้อยู่
แต่ตันฮกก็แสร้งโง่งม ส่งกองทหารออกไปโจมตีแบบเดาสุ่มให้พ่ายแพ้กลับมาสักรอบสองรอบก่อน ทำให้โจหยินจะได้ประมาทยิ่งขึ้นไปอีก และทำให้ฝ่ายตนตระหนักว่า การศึกนั้นยากลำบาก ซึ่งก็เป็นเช่นนั้นจริงๆ
ตันฮกอาศัยจังหวะที่โจหยินไม่ทันระวังตัว ใช้ทหารที่ได้รับการฝึกฝนมาอย่างดี บุกเข้าโจมตีทันทีเป็นสามทิศทาง ด้วยสามขุนพลชั้นเยี่ยม กวนอู เตียวหุย จูล่ง ทำให้โจหยินคนเดียวมือไม้ปั่นป่วน ควบคุมพยุหะค่ายกลให้เคลื่อนผันตามการจู่โจมแบบสับเปลี่ยนหมุนวนไม่ทัน
ค่ายกลที่ขาดการฝึกฝน และอ่อนล้าจากการทำงานช่างจึงแตกสลายโดยง่าย และต้องล่าทัพกลับไปจนพลอยสูญเสียเมืองอ้วนเซียไปด้วย เป็นการสร้างชื่อ แจ้งเกิดให้กับชีซี หรือ ตันฮก กุนซือหน้าใหม่แห่งวงการ ที่ใช้กำลังพลจำนวนไม่มาก ก็สามารถยึดเมืองยุทธศาสตร์ไปได้โดยง่าย
โจโฉรับฟังข่าวพ่ายศึกด้วยความประหลาดใจ ตันฮกคือใครจึงเก่งกาจสามารถนัก กาเซี่ยง หรือกระตั้วจึงรีบสาธยายข้อมูลกึ่งจริงกึ่งเท็จที่ได้สืบทราบมา พร้อมบอกแผนการณ์ "ชักฟืนออกจากเตาไฟ" ให้ทันที
ภายในเมืองอ้วนเซีย ฝ่ายเล่าปี่กำลังฉลองชัยชนะอยู่กับพรรคพวกทั้งหลายอย่างรื่นเริง และให้การยกย่องตันฮก เจ้าของสมญา กิเลนพิสดาร อย่างมาก จนตันฮกเห็นเป็นโอกาส จึงขอเปิดประชุมลับเฉพาะกับเล่าปี่ กวนอู เตียวหุย จูล่งเพื่อร่างแผนการสำคัญขั้นต่อไป
"ศึกโจโฉคงจะเร่งมาอีกในเร็ววันนี้ เพื่อยึดเมืองอ้วนเซียคืน เพราะเป็นเมืองยุทธศาสตร์สำคัญ ท่านเล่าปี่ส่งซุนเขียนไปขอกำลังทหารจากเล่าเปียวมาให้มากที่สุดก่อน จึงจะสามารถยันทัพได้อยู่ โดยให้กวนอูกับคนอื่นๆอยู่ช่วยกันทางนี้ก่อน
ในขณะเดียวกัน ไม่ว่าเล่าเปียวจะยินยอมหรือไม่ก็ตาม ให้เตียวหุย จูล่ง ลอบเข้าไปรอจังหวะสังหารชัวมอ เตียวอุ๋น แม่ทัพสำคัญ ป้ายความผิดให้กับฝ่ายกังตั๋ง เมื่อเล่าเปียวโดดเดี่ยว ย่อมเห็นคุณค่าของพวกเรามากขึ้น ภายหลัง หากเกิดความเปลี่ยนแปลงใดๆ พวกเราย่อมมีเปรียบ ไม่ต้องกังวลให้มากความแล้ว"
แน่นอน เรื่องนี้ย่อมเป็นการเคลื่อนไหวสืบต่อจากความขัดแย้งของเล่าปี่กับชัวมอเมื่อคราก่อน เมื่อชัวมอกล้าฉีกหน้าจัดการกับเล่าปี่กลางเมืองได้ ต่อไป ชัวมอก็อาจจะก่อการอื่นได้อีก ดังนั้น ความหมายของตันฮกคือการตัดแขนขา และยึดอำนาจเมืองเกงจิ๋วมาจากเล่าเปียว ผู้เป็นรัชทายาทลำดับหนึ่ง นั่นเอง
เล่าปี่ถึงกับใบหน้าเปลี่ยนสี เพราะหากผิดพลาดไป มันจักกลายเป็นคนเนรคุณ และคนทรยศต่อราชวงศ์ไปพร้อมกัน มันจึงหันไปสบตากับเตียวหุย ผู้เป็นมันสมองที่ซ่อนเร้นของกลุ่มมาโดยตลอด
เตียวหุยคล้ายเมามาย คล้ายง่วงนอน ไม่สบตาตอบ กลับเป็นกวนอูและจูล่งส่งเสียงสนับสนุนทันที เล่าปี่จึงได้แต่กล่าวว่า "ตามแต่ท่านกุนซือจัดการเถิด หากแต่เล่าเปียว ยังมีเล่ากี๋เล่าจ๋องเป็นทายาท เกรงว่าการยึดครองเมืองเกงจิ๋วยังจะมีปัญหา"
“เล่ากี๋ถูกเลี้ยงดูแบบคุณหนูชนชั้นสูง กลายเป็นคนอ่อนไหว เปราะบาง สุขภาพอ่อนแอ เกรงว่าอายุไม่น่าจะยืนยาว ส่วนเล่าจ๋องก็เยาว์วัยเกินไป ขืนปล่อยไว้ก็เป็นหุ่นเชิดให้ชัวมอ ผู้เป็นน้าชายไปเปล่าๆ หากสิ้นไร้เล่าเปียวผู้ชราแล้ว ท่านต้องตัดใจ รีบกำจัดเสี้ยนหนามอุปสรรค มุ่งชิงอำนาจ ยึดครองขุมกำลังเกงจิ๋วแทน มิเช่นนั้น ท่านจะสิ้นไร้หนทางไปอีกนานแสนนาน"
เมื่อตันฮก กุนซือพิสดารประกาศศึกชิงอำนาจแล้ว คงต้องมั่นใจในแผนการแล้ว ทั้งหมดจึงแยกย้ายไปเตรียมการตามแผนที่วางไว้
...
เพียงไม่กี่วันถัดมาก่อนจะเริ่มก่อการเคลื่อนไหวครั้งใหญ่ ตันฮกกลับได้รับจดหมายจากมารดาเรียกตัว "ชีซี" ไปมอบตัวกับโจโฉ ซึ่งเป็นสัญญาณลับที่รู้กันเฉพาะเครือข่ายสุมา แสดงว่าแผนการสร้างประวัติปลอมได้ถูกใช้ให้เกิดประโยชน์แล้ว ทำให้ตันฮกรีบรับเอาจดหมายกลับไปดูในห้องพักเป็นการส่วนตัวทันที
เปลือกนอก จดหมายนั้นมีข้อความคล้ายถามไถ่ทุกข์สุขทั่วไป หากแต่เมื่อนำจดหมายส่วนที่ว่างเปล่า มาอังไฟให้ร้อน ลายหมึกลับจึงค่อยๆปรากฏขึ้น
เป็นคำสั่งจากสุมาเต๊กโชให้เปลี่ยนแผนการกระทันหัน แทนที่จะอยู่กับเล่าปี่ต่อไป กลับให้โยกย้ายไปเข้ากับโจโฉแทน โดยอ้างว่า เล่าปี่ใกล้จะหมดสิ้นอนาคตแล้ว
ทั้งนี้ เพราะสุมาอี้ส่งข่าวมาให้ทราบว่า โจโฉได้รับจดหมายลับจากชัวมอถึงการขอมอบตัว ยอมเข้าเป็นพวกแล้ว เพียงแต่ติดขัดเรื่องเล่าปี่กับพวกที่เมืองอ้วนเซียเท่านั้น ทางโจโฉจึงสั่งการให้แฮหัวตุ้น สับเปลี่ยนตัวกับโจหยิน เปลี่ยนกลยุทธ์จากตั้งรับเป็นรุกตี พร้อมนัดแนะให้ชัวมอแสร้งนำทัพมาช่วย แล้วเปลี่ยนเป็นตีกระหนาบ หวังบดขยี้พวกเล่าปี่ให้สิ้นซากไปเลยในคราวเดียว
ครั้งนี้ เกรงว่า ชัวมอคิดจะละทิ้งพวกเภาเจ๋งสังกัดเดิม เร่งเดินหมากประสานกับขุมกำลังรัฐบาลแทน เพราะเกิดข่าวร่ำลือเผยแพร่ออกมาในเมืองแล้วว่า เล่าเปียว เชื้อพระวงศ์อาวุโสที่ป่วยไข้เรื้อรังมานานนั้น กลับกลายเป็นคนกึ่งตาย นอนอัมพาตอยู่บนเตียง กิจการภายในทุกอย่างถูกเปลี่ยนถ่ายให้สั่งการผ่านชัวมอ ชัวฮูหยิน และเล่าจ๋อง เท่านั้น สถานการณ์การเมืองพลิกผันไปเสียแล้ว ตามกระแสข่าวล่าสุด แม้แต่กองทัพพันธมิตรที่ยกมากดดันทางฝั่งตะวันตก ก็พลอยหยุดชะงักกันไปหมดสิ้น รอฟังข่าวสารเพิ่มเติมเช่นกัน
รุ่งขึ้น ตันฮกจึงต้องเล่นละครบีบน้ำตา อำลาจากเล่าปี่อย่างรีบร้อน แต่ตันฮกก็ยังไม่ยอมหมดลวดลาย ทิ้งเบาะแสเป็นเส้นทางไปที่พักของขงเบ้ง มังกรซ่อน ให้เล่าปี่ไว้ เป็นการสร้างความหวังให้ก่อนที่พวกเล่าปี่จะถูกรุมสังหารอย่างงมงายแล้ว ซึ่งเมื่อเล่าปี่ได้รับเบาะแสของมังกร หนึ่งในสุดยอดแผ่นดิน ที่สุมาเต๊กโชเคยพูดถึง ก็ดีใจจนไม่คิดรั้งตัวตันฮกไว้อีกต่อไป
ภายหลัง เมื่อตันฮกถึงเมืองฮูโต๋ เข้ารายงานตัวต่อโจโฉเรียบร้อยแล้ว จึงจำเป็นต้องฆ่าปิดปากมารดาตัวปลอมในทันที ตามที่ตันกุ๋น ผู้เป็นบิดาแนะนำ โดยจัดฉากให้เป็นการผูกคอฆ่าตัวตาย และถือเป็นข้ออ้างไว้ทุกข์เป็นเวลาหกเดือน เพื่อหลีกเลี่ยงการเข้าร่วมโจมตีพวกเล่าปี่ที่กำลังจะเกิดขึ้น
แต่ที่จริงแล้ว ความเปลี่ยนแปลงครั้งนี้ กลับเป็นฝีมือของหน่วยปักษาสวรรค์ช่วยเสริมส่งให้ หลังจากที่เตียวหุย-นางแอ่น ได้รับฟังแผนชิงอำนาจจากตันฮก ก็แสร้งมึนเมา ไม่รับรู้อันใด แต่รีบแจ้งข่าวให้กับสุมาเต๊กโช-อินทรี รับทราบในทันที
จ้าวอินทรีประเมินสถานการณ์โดยรอบ จึงสั่งการให้โงโพ้ ศิษย์เอกหมอฮัวโต๋ ที่แทรกซึมเข้าไปเป็นแพทย์ประจำตัวให้กับเล่าเปียวอยู่ก่อนแล้ว ปล่อยข่าวแพร่งพรายเรื่องเล่าเปียวสิ้นสภาพ กลายเป็นอัมพาต นอนรอวันตาย ลดทอนบารมีสกุลเล่า จึงกระตุ้นให้พวกชัวมอ ชัวฮูหยินต้องรีบดำเนินการเคลื่อนไหวขั้นต่อไปในทันที ส่วนจดหมายลับนั้น ก็เป็นฝีมือของกาเซี่ยง-กระตั้ว เช่นเคย
เนื่องจากการรุกโจมตีของขุมกำลังเกงจิ๋วและเหล่าพันธมิตรฝั่งตะวันตก ดูรัดกุม และเข้มแข็งเกินไป โดยไม่ปรากฏในหน้าประวัติศาสตร์มาก่อน ในฐานะนายทหารกาลเวลาที่ต้องรักษาประวัติศาสตร์เอาไว้ จึงไม่อาจเสี่ยงให้เกิดความพลิกผันได้อีก เล่าเปียว รัชทายาทผู้ชราภาพ จึงกลายเป็นเหยื่ออีกคนหนึ่งที่ต้องสังเวยให้กับประวัติศาสตร์โดยหน่วยปักษาสวรรค์ในครั้งนี้
“เมื่อ อ้วนเสี้ยวทางเหนือ เล่าเปียวใจกลาง จบสิ้น โจโฉก็เป็นปึกแผ่นมั่นคงตรงตามประวัติศาสตร์แล้ว ยังคงเป็นโลซก ใต้ และขงเบ้ง ตะวันตก ที่รอให้พวกเราจัดการต่อไป และยังมี พรรคฟ้าเหลือง เครือข่ายสุมา กับ เบ้งเฮ็กแห่งม่านก๊กอีกกลุ่มด้วย” อินทรีประเมินสถานการณ์ของแต่ละขุมกำลังเท่าที่ได้รับทราบ
แต่ยังมีเรื่องที่อินทรีกังวลใจอยู่ก็คือ เหตุการณ์ที่ไม่เคยปรากฏในหน้าประวัติศาสตร์เช่นนี้ เกิดขึ้นได้อย่างไร ข้อมูลแผนการที่ได้รับมาจากหน่วยงานก็ไม่มีพูดถึงเรื่องนี้ และบางเรื่องก็ไม่ได้อยู่ในความทรงจำของตนเอง แสดงว่า เนื้อหาประวัติศาสตร์ถูกกระทบกระเทือนจนเกิดความเปลี่ยนแปลงไปจากเดิมแล้ว
ไม่ว่าจะเป็นฝีมือขององค์กรป่วนอดีต เพราะคนทรยศ อ้วนเสี้ยว-กระสา หรือเพราะสาเหตุอื่นใด สุมาเต๊กโช-อินทรี ขบคิดในใจ คงได้แต่ต้องวางแผนปรับเปลี่ยนไปตามสถานการณ์ ด้วยเหล่าปักษาที่เหลืออยู่ และขุมกำลังต่างๆในยุคสมัยนี้เสียแล้ว
หน่วยปักษาสวรรค์ที่หลงเหลืออยู่ พร้อมที่จะพลีชีพปกป้องเหตุการณ์ประวัติศาสตร์ให้ออกมาได้สอดคล้องกับเรื่องราวที่เคยถูกบันทึกไว้ให้ได้มากที่สุด พอคิดมาถึงจุดนี้ อินทรีพลันนึกเรื่องราวหนึ่งที่ไม่เคยขบคิดขึ้นมาได้ จนเหงื่อซึมออกหน้าผากด้วยความตกใจสุดขีด
หากเรื่องราวที่อยู่ในความทรงจำของมันในตอนนี้ คือ ความผิดพลาดที่เกิดขึ้น และมีผลกระทบต่อเนื่องไปแล้ว มันจะแยกแยะข้อมูลได้อย่างไรกัน อันไหนคือเรื่องควรจะปล่อยผ่าน อันไหนคือเรื่องที่ควรแก้ไขกันแน่
อินทรีพลันนึกถึงภาพเคลื่อนไหวเป็นวงกว้างของระลอกคลื่นบนแผ่นน้ำที่เกิดขึ้นหลังจากหยดน้ำค้างจากใบไม้ร่วงหล่น จากแต่เดิม มันเคยยืนอยู่ที่วงนอกสุด รับรู้ถึงการกำเนิดของคลื่นน้ำมาเป็นระยะๆ แต่ได้รับการคุ้มกันด้วยกำแพงป้องกันคลื่นของหน่วยงาน ทำให้สามารถแยกแยะเรื่องเดิม เรื่องใหม่ได้สักช่วงเวลาหนึ่ง
หากแต่ยามนี้ มันเข้ามาอยู่ที่วงในสุด รับรู้การกระทำในทันที และตรวจสอบกับเรื่องเดิมที่มันรับทราบ ด้วยความเชื่อมั่นว่า เรื่องใดควรเป็น เรื่องใดไม่ควรเป็น แล้วถ้าความรู้ที่มันจดจำ ดันเป็นชุดข้อมูลที่เกินกว่าช่วงเวลาที่กำแพงป้องกันคลื่นสกัดกั้นเล่า มันก็จะจำได้แต่เรื่องราวใหม่ที่ผิดเพี้ยนไปแล้ว โดยเข้าใจไปเองว่า นั่นคือ ความจริงดั้งเดิม เพราะมันก็เป็นคนหนึ่งในกระแสคลื่นแห่งกาลเวลาเช่นกัน ดังนั้น ที่จริงก็คือ ทุกเรื่องราวที่จดจำนั้น เป็นเพียงความจริงเสมือนทั้งสิ้น
มันนึกถึงสาเหตุที่หน่วยงานต้นสังกัดไม่อนุญาตให้นำบันทึกประวัติศาสตร์ข้ามกาลเวลามาในอดีต เพราะข้อความภายในย่อมถูกเปลี่ยนแปลงไปครั้งแล้วครั้งเล่าเช่นกัน หากใครหลงยึดถือยึดติดเรื่องราวที่บันทึกไว้ในหนังสือ ย่อมจะถูกทำให้ไขว้เขวเข้าใจผิดไปตามแรงกระเพื่อมของกระแสคลื่นที่เกิดขึ้นนั่นเอง
ความผิดพลาดเช่นนี้ เกิดขึ้นเพราะภารกิจครั้งนี้แตกต่างจากครั้งก่อนๆที่ทดลองเพียงแค่ช่วงเวลาสั้นๆ แก้ไขเฉพาะเหตุการณ์สำคัญ และรีบเดินทางกลับสู่ช่วงเวลาเดิม ทำให้นักเดินทางข้ามเวลาอาจจะไม่ทันตระหนักรับรู้ถึงผลกระทบเช่นนี้
ด้วยภารกิจที่ปักหลักอยู่ทำงานเป็นสิบๆปีแบบนี้ ทุกคนกลับกลายเป็นส่วนหนึ่งของเรื่องราว ส่งผลกระทบมากน้อยต่อเหตุการณ์เฉพาะหน้าต่างๆ ข้อมูลการกระทำชุดใหม่ถูกส่งออกไปทุกๆวัน วันนี้ อาจรู้สึกว่า เรื่องราวผิดเพี้ยนจากสิ่งที่รับรู้ แต่พอผ่านนานวัน ความรู้สึกเช่นนั้น ย่อมจะจางหายไป คล้ายไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน
บังเอิญที่อินทรีพลังจิตเป็นคนที่ศึกษามาทางด้านจิตมนุษย์โดยตรง มีความคุ้นเคยกับการทำงานของกาลเวลามาพอสมควร และเพิ่งผ่านพ้นการย้อนอดีตมาไม่นาน ทำให้เกิดความคิดฉับพลันเช่นนี้ขึ้นมาได้ ซึ่งแม้แต่พวกสายวิชาการความรอบรู้สูง อาจจะตกหลุมพราง มองผ่านเรื่องราวเช่นนี้ไปหมด
ฉากสุดท้ายของกระสา และการพูดคุยกับสมาชิกชุดที่มาถึงก่อนพลันผุดขึ้นมาในความคิด การปรับเปลี่ยนช่วงปีภารกิจของสมาชิกกลุ่มที่สามอย่างกระทันหัน ท่าทางระมัดระวังตัวของท่านผู้นำหญิง “ที่แท้ ก็เพราะมีเงื่อนงำเช่นนี้นี่เอง ประวัติศาสตร์ปรับเปลี่ยนแปลงได้ตลอดเวลา อันเกิดจากการกระทำของผู้คนในอดีต องค์กรเองก็ตระหนักในเรื่องนี้มาโดยตลอด แต่จงใจไม่บอกให้คนทำงานรับรู้ จะได้ไม่ทำผิดพลาดเกินเลยจนควบคุมไม่ได้ แต่เหตุใดองค์กรจึงกล้าเสี่ยงกับพวกมันถึงขนาดนี้ หรือว่า จะมีอะไรแอบแฝงในภารกิจอยู่อีก”
จ้าวอินทรี ผู้นำหน่วยปักษาสวรรค์คนปัจจุบัน เหม่อมองท้องฟ้าด้านนอกด้วยสายตาที่เปลี่ยนแปลงไปจากเดิม และความรู้สึกที่เดียวดายอ้างว้างเสียแล้ว

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา