10 เม.ย. 2021 เวลา 00:01 • ประวัติศาสตร์
Princess Louise of Belgium : เจ้าหญิง การคบชู้ สู่โรงพยาบาลบ้า ตอนที่ 1
เบลเยี่ยม เป็นอีกหนึ่งประเทศที่คนรู้จักกันเป็นอย่างดีนะครับ แต่รู้หรือไม่ว่าประเทศเล็ก ๆ ประเทศนี้มีราชวงศ์ปกครองเช่นเดียวกัน โดยราชวงศ์ของราชอาณาจักรเบลเยี่ยมในปัจจุบันมาฐานะเป็นเพียงประมุขของประเทศ และส่วนมากจะทำงานรับแขกบ้านแขกเมืองและพิธีการต่าง ๆ
1
ในสมัยต้นศตวรรษที่ 20 เบลเยี่ยมเคยมีอาณานิคมในแอฟริกาที่มีชื่อว่า Belgian Congo ซึ่งในปัจจุบันก็กลายมาเป็นประเทศคองโก โดยอาณานิคมนั้น มีอาณาเขตใหญ่กว่าประเทศเบลเยี่ยมเองถึง 76 เท่า
ฺBelgian Congo อาณานิคมแอฟริกาของเบลเยี่ยม (Source: Pinterest)
และการได้อาณานิคม Belgian Congo มาไว้ในครอบครอง ทำให้ราชอาณาจักรเบลเยี่ยมที่เคยยากจนมาก่อน เจริญเติบโตกลายมาเป็นประเทศที่ร่ำรวยอย่างรวดเร็ว เนื่องจากคองโกเต็มไปด้วยทรัพยากรธรรมชาติมากมาย โดยเฉพาะอัญมณีมีค่าอย่างเพชร
1
ผู้ที่ไปยึดครองเอาคองโกมาเป็นอาณานิคมได้คือพระเจ้า Leopold ที่ 2 ผู้ได้รับฉายาว่า “Butcher of Congo” เพราะในสมัยของพระองค์ มีชาวแอฟริกาต้องเสียชีวิตไปมากกว่า 10 ล้านคน เพราะการใช้งาน กดขี่ และทรมานอย่างสาหัส เพื่อแลกมาซึ่งความร่ำรวยของราชสำนักเบลเยี่ยม
พระเจ้า Leopold ที่ 2 เจ้าของฉายา "Butcher of Congo" (Source: Pinterest)
Louise of Belgium คือธิดาที่เป็นทุกอย่างที่พ่อแม่ไม่ได้อยากให้เป็น ชีวิตของเธอเต็มไปด้วยเรื่องราวโลดโผนมากมาย มีทั้งความสุข ความเศร้า การโดนจับ การถูกทอดทิ้ง แต่ที่น่าสนใจคือเรื่องของความรักที่เธอยอมแหวกขนบทุกอย่าง เพื่อจะได้อยู่กับคนที่เธอรักนั่นเอง
1
ชีวิตวัยเด็ก
Louise มีชื่อเต็มว่า Louise Marie Amélie เกิดเมื่อวันที่ 18 กุมภาพันธ์ 1958 ในกรุง Brussels ราชอาณาจักรเบลเยี่ยม เธอเป็นลูกสาวคนโตของพระเจ้า Leopold ที่ 2 กับพระราชินี Marie Henriette ซึ่งเป็นเจ้าหญิงที่มาจากออสเตรีย
1
อย่างที่เกริ่นมาข้างต้น เธอเกิดมาในราชสำนักเล็ก ๆ ที่ร่ำรวยมาก เรียกได้ว่ามีเงินทองใช้จ่ายแบบเหลือเฟือเลยทีเดียว แต่ชีวิตวัยเด็กของเธอนั้นกลับไม่ค่อยน่าอภิรมย์นัก พ่อของเธอเป็นคนเย็นชา และบ้าอำนาจ ส่วนแม่ของเธอเป็นคนขี้อาย ไม่มีปากไม่มีเสียง ทำให้เคมีของทั้งคู่ไม่ค่อยจะตรงกันเท่าไรนัก
พระเจ้า Leopold ที่ 2 และราชินี Marie Henriette พ่อแม่ของ Louise (Source: wikimedia.com)
ตอนเด็ก Louise ไม่ค่อยจะสนิทกับพ่อของเธอ เนื่องจากตัวของพระเจ้า Leopold ที่ 2 เองที่มักจะต้องเดินทางไปตามสถานที่ต่าง ๆ เป็นประจำ ทำให้เธอถูกเลี้ยงดูมาโดยแม่ของเธอมากกว่า
แต่แม่ของเธอก็เป็นคนขี้อาย เจ้าระเบียบ และเคร่งศาสนา ดังนั้น Louise จึงถูกเลี้ยงดูด้วยความเข้มงวด ทางราชินีเลือกที่จะเลี้ยงดูลูกของเธอแบบอังกฤษ ซึ่งนั่นหมายถึงการถูกกำหนดตารางชีวิตประจำวันอย่างชัดเจน สวดมนต์ตอนตื่นเช้า เรียนหนังสือ จนถึงเวลาอาหารกลางวัน เธอจะต้องเข้าไปทำความเคารพพ่อของเธอด้วยการถอนสายบัว ก่อนที่ทุกคนจะทานอาหารกลางวันด้วยกันด้วยบรรยากาศเงียบเชียบน่าอึดอัด จากนั้นทุกคนจะต้องเข้าไปรวมตัวกันในห้องสมุดเพื่อใช้เวลาร่วมกัน ซึ่งนั่นหมายถึง การที่เธอต้องนั่งเงียบ ๆ สำรวมกิริยาอยู่ข้างหน้าต่าง ในขณะที่พ่อแม่ของเธออ่านหนังสือพิมพ์ จนกว่าจะได้รับอนุญาตให้ออกไปเล่นได้ ตอนเย็นเธอก็ต้องสวดมนต์อีกครั้ง และนอนบนเตียงแข็ง ๆ เพื่อฝึกความอดทน
1
Laeken Palace พระราชวังหลวงของเบลเยี่ยม สถานที่ที่ Louise เติบโตมา (Source: http://queenmathilde.blogspot.com)
สำหรับการลงโทษนั้น ถ้าใครทำผิด พวกเธอจะต้องนั่งคุกเข่าอยู่บนกองถั่วแห้งๆ เพื่อให้ถั่วเหล่านั้นตำเข่าของพวกเธอจนเจ็บปวด และถ้าการกระทำผิดนั้นรุนแรง พวกเธอก็จะถูกจับไปขังไว้ในห้องมืดๆ เป็นเวลาหลายชั่วโมง หรือหลายวันในบางครั้ง
ในตอนแรก Louise มีน้องสาว 1 คนชื่อว่า Stephanie และน้องชาย 1 คนชื่อว่า Leopold ทั้งสามสนิทสนมกันเป็นอย่างดี แต่ Louise ดูจะเป็นคนที่มีความอยากรู้อยากเห็นมากที่สุด เธอมักจะถามถึงสิ่งรอบตัวกับพี่เลี้ยงของเธอเสมอ จนกระทั่งเธอได้ฉายาว่า “Madame Pourquoi” ซึ่ง Pourquoi แปลว่า ทำไม ดังนั้นฉายาของเธอก็คือ คุณหนูจัมมัย นั่นเอง ซึ่งนิสัยชอบซักถามของเธอ ขัดกับการเลี้ยงดูอย่างเข้มงวด และทัศนคติที่ว่าผู้หญิงที่ดีจะต้องสงบปากสงบคำยิ่งนัก
แต่แล้วน้องชายของเธอ Leopold ก็มาเสียชีวิตตอนอายุ 10 ขวบด้วยโรคปอดบวม ทำให้พระเจ้า Leopold ที่ 2 เสียพระทัยเป็นอย่างมาก และทำให้พระองค์ไม่มีโอรสที่จะเป็นผู้สืบทอดราชสมบัติอีกต่อไป พ่อแม่ของเธอพยายามมีลูกด้วยกันอีกครั้ง แต่กลับได้เป็นลูกสาวชื่อ Clementine แทน
ราชินี Marie Henriette และ Leopold ลูกชายเพียงคนเดียวที่มาเสียชีวิตจากไปตอนอายุเพียง 10 ขวบ (Source: https://www.historyofroyalwomen.com
หลังจากนั้นพ่อแม่ของเธอที่ห่างเหินกันอยู่แล้วนั้น ก็ยิ่งเหินห่างกันมากขึ้นไปอีก และเริ่มที่จะทะเลาะกัน ถึงขนาดที่ Louise เคยเขียนไว้ในอัตชีวประวัติของเธอว่า “พ่อของเธอไม่เคยแสดงให้เธอเห็นเลยว่ารักแม่ของเธอแค่ไหน” และ “พ่อของเธอบอกว่า ไม่อยากจะยุ่งเกี่ยวกับสตรีที่ไม่สามารถให้ทายาทชายให้กับเขาได้อีกต่อไป”
ทั้งหมดนี้คือชีวิตวัยเด็กของเธอ ถึงแม้เธอจะมีพี่น้องที่รักใคร่กลมเกลียวกันดี แต่สภาพแวดล้อมที่เธอเติบโตขึ้นมานั้น ไม่ได้ดีเท่าไรนัก พ่อแม่ที่เย็นชา และไม่แสดงความรักแก่กัน การเลี้ยงดูที่เข้มงวดกวดขัน ทำให้สัญชาตญาณอยากรู้อยากเห็นของเธอไม่ได้รับการเติมเต็ม และรอวันที่จะปะทุออกมาเมื่อโอกาสมาถึง และเธอก็ไม่ต้องรอนาน เพราะโอกาสนั้นมาเยือนเธอ เมื่อเธออายุ 17 ปี
แรกรุ่นดรุณี
ในปี 1875 Louise แต่งงานกับเจ้าชาย Philippe แห่งราชวงศ์ Saxe-Coburg and Gotha (ราชวงศ์ที่เป็นต้นตระกูลของพระราชินี Elizabeth ที่ 2 ในปัจจุบัน) ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของจักรวรรดิ Austro-Hungarian อันยิ่งใหญ่ ในตอนนั้นเธออายุเพียง 17 (บางที่บอกว่าเธออายุ 16 ปี) ในขณะที่ Philippe มีอายุมากถึง 31 ปี
เจ้าหญิง Louise of Belgium กับเจ้าชาย Philippe แห่งราชวงศ์ Saxe-Coburg and Gotha ในวันแต่งงาน (Source: wikipedia.com)
หลังงานแต่งงาน คู่สามีภรรยาข้าวใหม่ปลามัน ต้องนอนด้วยกันเป็นคืนแรก ว่ากันว่าในตอนรุ่งเช้ามีชาวสวนพบเธอในชุดนอน สวมเพียงรองเท้าแตะทรุดตัวร้องไห้อย่างหนักอยู่ในเรือนกระจกของพระราชวัง ข่าวนี้กระจายไปทั่วพระราชวังอย่างรวดเร็ว ทำให้แม่ของเธอต้องรีบเข้ามาปลอบเธอ ในขณะที่พ่อของเธอหลังจากได้ทราบข่าว กลับเสด็จไปบรรทมต่อ
Louise เล่าให้แม่เธอฟังถึงสิ่งที่ Philippe พยายามทำกับเธอ ซึ่งเธอไม่เคยรู้ และไม่เคยเข้าใจมาก่อน (เพราะไม่มีใครเคยสอนเธอเลย) และเธอก็ช้อคมาก ทำให้ราชินี Marie Henriette ต้องมานั่งคอยปลอบโยนเธอ พร้อมทั้งอธิบายให้เธอฟังถึงเรื่องที่สามีภรรยาพึงกระทำในห้องนอน ซึ่งถึงแม้เธอจะเข้าใจขึ้นมาบ้าง แต่เธอก็กล่าวว่าเหตุการณ์ในคืนแต่งงานของเธอนั้นตามหลอกหลอนเธอไปตลอดชีวิต
สามีจองบงการ
แค่เริ่มต้นความสัมพันธ์ของทั้งคู่ก็ดูเหมือนจะไปไม่รอดซะแล้ว หลังจากงานแต่งงานใน Brussel เธอกับสามีต้องย้ายไปอยู่ที่พระราชวัง Palais Coburg ในกรุงเวียนนา ห่างไกลจากสถานที่วัยเด็กและพ่อแม่ของเธอ แต่เธอก็พร้อมและตื่นเต้นที่จะได้มีโอกาสออกจากพระราชวังอันน่าอึดอัดไปสู่โลกกว้างเสียที อีกทั้งแม่ของเธอยังบอกเธออีกว่า ชีวิตในราชสำนักเวียนนา จะแตกต่างจากชีวิตในราชสำนักเบลเยี่ยมอย่างสิ้นเชิง
และทุกอย่างก็แตกต่างจริงๆ ราชสำนักเวียนนาถูกปกครองโดยราชวงศ์ Hapsberg ซึ่งเป็นราชวงศ์เก่าแก่ และมีขนบธรรมเนียมประเพณีมายาวนาน ชีวิตประจำวันในราชสำนักเต็มไปด้วยสีสัน และความหรูหราอู้ฟู่ในแบบที่เธอไม่เคยเห็นมาก่อน ที่นี่มีน้ำอุ่นให้อาบ มีเตียงนุ่มๆให้นอน มีงานปาร์ตี้ รวมไปถึงมหรสพโอเปร่าอยู่แทบทุกวันให้เธอได้สนุกและออกไปเปิดหูเปิดตา
Palais Coburg สถานที่อยู่อาศัยของ Louise และเจ้าชาย Philippe (Source: https://www.jpmoser.com/palaiscoburg.html)
และในเมื่อเธอเป็นถึงเจ้าหญิง และสามีของเธอก็เป็นเจ้าชาย เธอจึงถูกดึงเข้าไปในโลกของชนชั้นสูงของเวียนนาทันที เธอเปลี่ยนตัวเองในทุกเรื่อง ทั้งการแต่งกาย การดูแลตัวเอง จนกระทั่งมีชายมากมายออกปากชื่นชมถึงความงามเธอ แม้กระทั่งจักรพรรดิ Franz-Joseph แห่งจักรวรรดิ Austro-Hungarian ก็ยังเคยกล่าวชื่นชมรูปร่างของเธอ แต่สิ่งเหล่านั้นก็เป็นเพียงเปลือกนอก เพราะชีวิตแต่งงานที่เริ่มต้นด้วยคืนแรกที่ไม่สู้ดีนัก กลับยิ่งเลวร้ายลง เมื่อ Philippe เริ่มที่จะเข้ามาควบคุมชีวิตของเธอมากขึ้นเรื่อย ๆ
เธอถูกเข้มงวดเรื่องการแต่งกาย มารยาท การใช้ชีวิต จนเธอรู้สึกอึดอัด จากราชสำนักเบลเยี่ยมที่เธอต้องถูกกวดขันอยู่ตลอดเวลา พอแต่งงานมาชีวิตของเธอก็ยังถูกบงการอยู่เหมือนเดิม ความหวังของเธอที่จะได้เป็นอิสระเริ่มมลายหายไป และถูกแทนที่ด้วยความรู้สึกกดดัน และไม่มีความสุข
1
หนึ่งในเรื่องที่เธอโดนเข้มงวดอย่างหนักคือการดื่มกาแฟ ปกติ Louise จะดื่มแต่กาแฟดำ เนื่องจากเธอเป็นโรคแพ้ Lactose ในนมแต่ Philippe กลับสั่งเธอว่าต้องดื่มกาแฟใส่นมเท่านั้น เพราะเป็นสิ่งที่ชนชั้นสูงพึงกระทำ ทำให้ทุกเช้าเธอต้องทนปวดท้องเพราะต้องดื่มกาแฟใส่นม หรือในพระราชวังที่เธอกับ Philippe อยู่ มีห้องน้ำเพียง 2 ห้อง เมื่อเธอขอให้ Philippe สร้างห้องน้ำเพิ่ม เธอกลับถูกเขาต่อว่าว่า ในเมื่อบรรพบุรุษของเขาอยู่กันแบบนี้มาตั้งนาน ทำไม Louise ถึงจะอยู่ไม่ได้
Philippe และ Louise (ทางด้านขวาสุดของภาพ) กับกลุ่มชนชั้นสูงของเวียนนา (Source: https://www.palaces-of-europe.com/louise-of-belgium.html)
แต่สิ่งที่ Philippe น่าจะพลาดมากที่สุดคือ การให้เธอหัดดื่มแอลกอฮอล์ และนำเธอเข้าร่วมงานปาร์ตี้ต่าง ๆ มากมายที่ราชสำนักจัดขึ้น Louise ผู้ซึ่งโดนเข้มงวดกวดขันอย่างหนัก เริ่มดื่มหนักขึ้น ไปงานปาร์ตี้บ่อยขึ้น เพื่อปลดปล่อยตนเอง และเมื่อสามีของเธอยิ่งตำหนิติเตียนเธอมากขึ้น เธอก็ประชดด้วยการไปสนทนากับชายหนุ่มมากหน้าหลายตา และเต้นรำกับเหล่าทหารหนุ่ม ๆ ต่อหน้าสามีของเธอ จนเธอมีชื่อเสียงโด่งดังไปทั่วจักรวรรดิว่าเธอเป็นคนที่ขี้เมา และชอบหว่านเสน่ห์ใส่ผู้ชายไปทั่ว
การหว่านเสน่ห์ไปทั่วของเธอ สร้างความปวดหัวให้กับหลายคน โดยเฉพาะราชินี Marie Henriette ซึ่งพยายามที่จะเตือนสติลูกสาวของเธอถึงการกระทำที่ไม่เหมาะสมนี้ แต่สุดท้ายเธอก็ต้องยอมแพ้ และถึงขั้นกล่าวออกมาเลยว่า "คนอย่าง Louise หนะ เหมาะที่จะอยู่ในโรงพยาบาลบ้าเท่านั้นแหละ" ใครจะไปรู้ว่าคำพูดนี้ จะกลายมาเป็นความจริงในวันข้างหน้า ส่วนในออสเตรียนั้นสื่อต่าง ๆ ต่างก็บรรยายถึงลักษณะนิสัยของเธอว่า ทำตัวเหมือนกับ Cleopatra ที่คอยหว่านเสน่ห์กับผู้ชายไปทั่วเพื่อให้ได้สิ่งที่เธอต้องการ
แต่ใช่ว่าการกระทำนี้จะมาจาก Louise เพียงฝ่ายเดียว ทาง Philippe เองก็มีการคบผู้หญิงมากหน้าหลายตาเช่นเดียวกัน แต่ในสมัยนั้นซึ่งก็อาจจะเหมือนสมัยนี้ ผู้ชายคบผู้หญิงหลายคนเป็นเรื่องที่ไม่ได้แปลกแต่อย่างใด
Louise of Belgium ถือว่าเป็นเจ้าหญิงที่สวยมากคนหนึ่งในสมัยนั้น (Source: Pinterest)
และอีกอย่างหนึ่งที่เธอมักจะทำเวลาเครียดมาก ๆ ก็คือ การช้อปปิ้ง เธอใช้จ่ายเงินมากมายไปกับเสื้อผ้า อัญมณี และสิ่งของต่าง ๆ อย่างตามใจ และแน่นอนทุกอย่างจะซื้อด้วยเงินเชื่อ (Credit) และในเมื่อเธอเป็นถึงลูกสาวของหนึ่งในกษัตริย์ที่ร่ำรวยที่สุดในยุโรป และเป็นภรรยาของเจ้าชาย ทุกคนก็ล้วนแล้วแต่ยอมเธอทั้งสิ้น
แกล้งไม่คลอด
แม้ความสัมพันธ์ของทั้งคู่ดูจะย่ำแย่ แต่ทั้งคู่ก็มีลูกด้วยกันถึง 2 คน โดยลูกคนแรกเป็นลูกชายนามว่า Leopold เกิดในปี 1878 ซึ่งหลังจากที่ Leopold เกิดได้ไม่นาน แม่ของเธอ Queen Marie Henriette เดินทางมาอยู่กับเธอด้วย ในช่วงนี้นี่เองที่ Louise ดูเหมือนจะใจเย็นลง และดูเหมือนว่าชีวิตคู่ของเธอกับ Philippe จะกลับมาดีเป็นปกติดังเดิม แต่สุดท้ายเมื่อแม่ของเธอกลับเบลเยี่ยมไป ชีวิตคู่ก็กลับมาไม่มีความสุขเหมือนเดิม
1
ลูกคนที่ 2 ของทั้งคู่เป็นลูกสาวนามว่า Dorothea หรือ Dora ว่ากันว่าถึงตอนนี้ความสัมพันธ์ของ Philippe และ Louise เลวร้ายมาก ถึงขนาดที่ว่าตอนที่ Louise เจ็บท้อง เธอไม่ยอมบอกใคร เพื่อให้ Philippe ออกไปไกล ๆ นอกวังเพื่อทำภารกิจของเขา และด้วยเหตุนี้เองเธอเลยต้องคลอด Dora โดยที่แพทย์หลวงยังมาไม่ถึงห้องนอนของเธอเลยด้วยซ้ำ
Louise กับลูกชายและลูกสาวของเธอ (Source: https://www.palaces-of-europe.com/louise-of-belgium.html)
ในเรื่องการเลี้ยงดูลูกนั้น ว่ากันว่าเธอไม่ได้สนใจใยดีลูกของเธอมากนัก ก็คงจะคล้าย ๆ ที่แม่ของเธอทำกับเธอนั่นเอง พี่เลี้ยงลูกของเธอกล่าวไว้ว่า Louise จะใช้เวลาทั้งวันไปกับการนั่งอยู่ในสวน และส่องกระจกดูตัวเองจากหลาย ๆ มุม และเวลาที่เธอไม่ส่องกระจก เธอก็จะเอาแต่นั่งเมาท์มอยนินทาว่าร้ายคนอื่นตลอดเวลา แต่ทั้งหมดก็เป็นเพียงคำให้การของพี่เลี้ยงเด็กคนหนึ่งเท่านั้น
Party Time
ในช่วงที่เธอใช้ชีวิตอย่างสนุกสุดเหวี่ยงในงานปาร์ตี้ต่าง ๆ นั้น เธอได้รู้จักกับเจ้าชาย Rudolf ซึ่งเป็นโอรสองค์เดียวของจักรพรรดิ Franz Joseph ดังนั้นเข้าจึงมีตำแหน่งเป็นถึงมกุฎราชกุมารของอาณาจักร Austro-Hungarian อันยิ่งใหญ่ มีการสนทนา และพบปะระหว่างทั้งคู่บ่อยครั้ง ซึ่งส่งผลให้เกิดเสียงซุบซิบนินทาไปทั่ว ว่าจริง ๆ แล้วสองคนนี้แอบมีความสัมพันธ์ลึกซึ้งกัน
แต่สุดท้าย Louise ก็แนะนำเจ้าชาย Rudolf ให้กับ Stephanie น้องสาวของเธอ โดยบอกว่า Stephanie ก็คือตัวเธอเองเนี่ยแหละ ในเวอร์ชั่นที่อายุน้อยกว่า และสุดท้ายทั้งคู่ก็แต่งงานกัน ไม่ใช่เพราะความรัก แต่เป็นเพราะตอนนั้น แทบไม่มีเจ้าหญิงในยุโรปเหลือที่จะแต่งงานกับมกุฎราชกุมารอีกแล้ว
1
Stephanie กับมกุฎราชกุมาร Rudolf (Source: https://sisi-in-england.com)
Stephanie กับ Rudolf มีชีวิตคู่ที่ดีในช่วงแรก แต่หลังจากมีลูกด้วยกัน 1 คน ทั้งสองก็เริ่มห่างเหินกัน จนในที่สุด Rudolf ก็หันไปดื่มเหล้าอย่างหนัก และเริ่มคบชู้กับหญิงสาวมากหน้าหลายตา จนกระทั่งสุดท้ายในเดือนมกราคม ปี 1889 มีคนพบศพเจ้าชาย Rudolf กับ Marie Vetsera ชู้สาวที่เจ้าชายกำลังคบหาอยู่ นอนตายเคียงคู่กันในกระท่อมหลังหนึ่งในชนบท ซึ่งผลการสืบสวนปรากฏว่าทั้งคู่ฆ่าตัวตายไปพร้อมกัน ทำให้ Stephanie กลายเป็นแม่ม่ายลูกติดไปในทันที
แต่ผลกระทบที่มีต่อ Louise คือชื่อเสียงของเธอที่ย่ำแย่อยู่แล้ว ยิ่งตกต่ำลงไปอีก เพราะทุกคนในจักรวรรดิหาว่าเธอคือตัวนำพาความซวยมาสู่ราชวงศ์ Hapsberg เพราะเธอมีส่วนในการแนะนำ Stephanie ให้กับมกุฎราชกุมาร ทำให้ชีวิตแต่งงานของเขาไม่มีความสุข จนเขาเครียดจนต้องฆ่าตัวตาย และจักรวรรดิ Austro-Hungarian ก็สูญสิ้นซึ่งทายาทที่จะสืบราชสมบัติ
1
ข่าวลือหรือเรื่องจริง?
ในปี 1883 เพียง 2 ปีหลังจากที่ลูกสาวของเธอ Dora ลืมตาดูโลก ว่ากันว่าเธอไปมีชู้กับทหารราชองครักษ์ของ Philippe สามีของเธอ แต่ที่เด็ดที่สุดคือมีเสียงซุบซิบว่าเธอไปมีสัมพันธ์กับน้องชายขององค์จักรพรรดิ จนกระทั่งในที่สุดจักรพรรดิ Franz Joseph ก็ทนไม่ไหว ต้องเรียกเธอเข้ามาพบ เพื่อสอบถามถึงความจริง และเพื่อตำหนิติเตียนเธอว่าสิ่งที่เธอกำลังกระทำอยู่นั้น กำลังสร้างความเสื่อมเสียให้กับราชวงศ์
Louise และลูกสาวของเธอ Dora (Source: Pinterest)
แน่นอนว่าเธอปฏิเสธทุกข้อกล่าวหา แถมยังไปหาว่าน้องชายขององค์จักรพรรดิเองนั่นแหละที่มายุ่งกับเธอเอง ในเมื่อเข้าทางเมียไม่ได้ องค์จักรพรรดิก็ไปสั่งให้ Philippe จัดการเรื่องในครอบครัวตัวเองให้เรียบร้อย ซึ่งผลที่ตามมาคือ Louise โดนกวดขันมากขึ้น และ Philippe ก็ไล่ทหารองครักษ์ที่คบชู้กับ Louise อยู่ออกไป สิ่งเหล่านี้ประกอบกับเสียงวิพากษ์วิจารณ์ในสิ่งที่เธอทำ ทั้งเรื่องจริงและไม่จริง ทำให้เธอแทบจะสติแตก และสงครามระหว่างเธอกับ Philippe ก็กำลังค่อย ๆ ก่อตัวขึ้น
จากนั้น Louise ก็เอาคืนสามีของเธอ มีข่าวลือว่าเธอไปคบชู้กับทหารคนสำคัญอีกคนของ Philippe อีก จนกระทั่ง Philippe ทนไม่ไหว ต้องเรียกแม่ของเธอมาช่วยเกลี้ยกล่อมเธอและชู้รัก ให้เลิกมีสัมพันธ์ต่อกัน ซึ่งเธอก็ไม่สนใจ และคบกับชู้รักคนนี้เป็นเวลายาวนานถึง 5 ปี จนกระทั่งชายคนนั้นไปแต่งงานใหม่ในปี 1893
เมื่อความสัมพันธ์กับชู้คนนี้จบลง Louise เริ่มใช้เวลากับลูก ๆ ของเธอมากขึ้น ทุกอย่างดูเหมือนจะดีขึ้น บางทีเธออาจจะคิดว่าถึงเวลาแล้วที่เธอจะหยุดความสนุกโลดโผนทุกอย่างเอาไว้เพียงแค่นี้ แล้วหันมาดำเนินชีวิตครอบครัวแบบปกติทั่วไปแทน
รักแท้
แต่แล้วในฤดูใบไม้ผลิของปี 1895 ในขณะที่เธอออกไปนั่งรถเล่นในเวียนนา เธอได้พบกับทหารนายหนึ่ง ซึ่งกำลังพยายามปราบพยศม้าของเขาอยู่ นายทหารคนนี้มีนามว่าร้อยโท Geza Mattachich ซึ่งเป็นทหารในกองทัพ Croatia ซึ่งตอนนั้นเป็นส่วนหนึ่งของจักรวรรดิ Austro-Hungarian แล้วก็เป็นลูกเลี้ยงของท่าน Count Oskar Keglevich ที่เป็นเศรษฐีร่ำรวย
Geza กล่าวในภายหลังว่า เขารู้สึกเหมือนโดนไฟช้อตและรู้สึกว่าเธอคือสิ่งที่จำเป็น ที่เขาจะต้องได้มาครอบครองเพื่อที่จะสามารถใช้ชีวิตต่อไปในอนาคตได้
1
ร้อยโท Geza Mattachich (Source: Pinterest)
แต่ความรักก็ไม่ได้ง่ายขนาดนั้น จากการพบกันครั้งแรก Geza พยายามอย่างหนักที่จะได้พบหน้ากับเจ้าหญิงอีก แต่ทุกครั้งก็เป็นการพบกันเพียงผ่าน ๆ เท่านั้น เพราะตัวเขาเองเป็นเพียงทหารที่ไม่ได้มียศถาบรรดาศักดิ์อะไร และกว่าที่ทั้งคู่จะได้มีโอกาสพบกันแบบจริงจังอีกครั้ง ก็กินเวลานานถึง 6 ปี และครั้งนี้ Geza ก็ไม่ยอมปล่อยให้โอกาสหลุดลอยไป เขาจีบเจ้าหญิง Louise จนกระทั่งเขากลายมาเป็นชู้รักของเธอ
แต่แทนที่จะแอบลักลอบพบกันแบบเงียบ ๆ แบบที่คนเป็นชู้ส่วนใหญ่ทำกัน ทั้งคู่กลับมักจะไปไหนมาไหนด้วยกันในกรุงเวียนนา และจับจ่ายใช้สอยเงินอย่างไม่สนใจสายตาของใคร เสียงซุบซิบนินทาดังไปทั่วแวดวงชนชั้นสูง จนไปถึงหูของจักรพรรดิ Franz-Joseph จนทำให้เขาต้องเรียกเธอไปตักเตือนอีกครั้ง ซึ่งเธอก็ยังไม่ใส่ใจและยังคงควง Geza ไปไหนมาไหนเหมือนเดิม
1
และนี่คือสิ่งที่เธอพลาด เธอสามารถไม่สนใจ Philippe สามีของเธอได้ ไม่สนใจเสียนินทาต่าง ๆ ได้ แต่ถ้าผู้มีอำนาจสูงสุดของจักรวรรดิไม่โปรดใครเมื่อไร ผู้นั้นก็จะถูกชนชั้นสูงคนอื่นรังเกียจตามไปด้วย และการที่เธอไม่ฟังในครั้งนี้ ทำให้เธอกลายมาเป็นคนที่ราชวงศ์ Hapsberg ไม่ต้องการข้องเกี่ยวด้วยในทันที ส่วนแม่ของเธอก็ได้แต่เขียนจดหมายมาเตือนสติ แต่ก็ไม่เป็นผลแต่อย่างใด และไม่ต้องพูดถึงพ่อของเธอ พระราชา Leopold ที่ 2 ที่ตอนนี้แทบจะไม่อยากเรียก Louise ว่าลูกสาวอีกต่อไปแล้วด้วยซ้ำ
1
Princess Louise of Belgium (Source: Pinterest)
แต่เรื่องราวของทั้งคู่ก็ทำให้คนธรรมดาหลายคนชื่นชมถึงความกล้าหาญ และความศรัทธาในรักแท้ เพราะในสมัยนั้นการที่ผู้หญิงที่เป็นสมาชิกราชวงศ์จะคบชู้นั้น ถือเป็นเรื่องที่แทบจะไม่ปรากฏและเป็นไปไม่ได้ แต่ Louise คือหนึ่งในเจ้าหญิงที่กล้าที่จะแหวกขนบนี้ เพื่อความสุขของตัวเธอเอง และไม่น่าเชื่อว่า หนึ่งในคนที่ชื่นชมเรื่องของทั้งสองนั้นจะกลายมาเป็นผู้มีบทบาทสำคัญในชีวิตของทั้งสอง
1
ในเดือนมกราคม 1897 ความอดทนกับการถูกดูถูกและนินทาว่าร้ายของ Louise ก็หมดลง เธอตัดสินใจหนีไปกับ Geza ไปยังกรุงปารีสโดยนำ Dora ลูกสาวของเธอไปด้วย เรื่องนี้กลายเป็นเรื่องอื้อฉาว ไม่ใช่แค่ในเวียนนา แต่ทั่วทั้งยุโรปเลยทีเดียว เจ้าหญิงที่ทิ้งสามีของตนเอง เพื่อหนีไปอยู่กินกับทหารธรรมดา ๆ นอกจากชื่อเสียงของเธอจะเสียหายแล้ว ชื่อเสียงของพ่อแม่ของเธอก็ป่นปี้ไปด้วยเช่นกัน เพราะโดนกล่าวหาว่าเลี้ยงดูลูกได้ไม่ดี ส่วนสามีของเธอก็โดนดูถูกว่าควบคุมเมียของตนเองไม่ได้ แถมซ้ำร้ายยังโดนเอาลูกสาวไปด้วยอีกต่างหาก
1
เป็นยังไงกันบ้างครับกับตอนแรก จากเจ้าหญิงที่อยากรู้อยากเห็น ที่ต้องประสบชะตากรรมเข้ามาสู่การแต่งงานที่ไม่มีความสุข ในตอนหน้าเรามาดูกันว่าหลังจากที่หนีไปปารีสกับคนรักของเธอแล้ว ชะตาชีวิตของเธอจะเป็นอย่างไรต่อไป อย่าลืมติดตามกันนะครับ
ติดตามตอนที่ 2 กันได้ที่นี่นะครับ :)
1

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา