9 เม.ย. 2021 เวลา 07:41 • หนังสือ
#38 เล่ม 2 บทที่ 15 & 16 หน้า 238 ~ 245
N : ผมรักพระองค์จัง...รู้หรือเปล่าครับ
G : ฉันรู้ ฉันเองก็รักเธอ
...
N : ตั้งแต่ที่เราได้คุยกันถึงประเด็นใหญ่ๆที่เกี่ยวกับชีวิตบนโลก รวมไปถึงการทบทวนบางแง่มุมในเรื่องส่วนตัวที่ได้เริ่มไว้ตั้งแต่เล่มแรก ตอนนี้ผมอยากถามเรื่องสิ่งแวดล้อมครับ
G : เธออยากรู้อะไรล่ะ❓
N : มันกำลังถูกทำลายอย่างที่นักสิ่งแวดล้อมบอกจริงๆหรือเปล่า❓ หรือคนพวกนี้แค่ตื่นตูมกันไปเอง หรือแค่เป็นพวกคอมมิวนิสต์ฝ่ายซ้ายหัวก้าวหน้าโดยทั้งหมดจบมาจากเบิร์คเลย์แล้วก็สูบยา❓
G : ใช่...ทั้งสองคำถามเลย
N : อะไรนะครับ❓
G : ล้อเล่นน่า... ก็ได้ๆ คำถามแรกใช่ คำถามที่สองไม่ใช่
N : ชั้นโอโซนกำลังจะหมดไปใช่ไหมครับ❓ และป่าฝนก็กำลังพินาศย่อยยับไม่มีเหลือ❓
G : ใช่ และไม่ใช่แค่เรื่องที่เห็นได้อย่างชัดเจนอย่างสองเรื่องข้างบนเท่านั้นนะ ยังมีเรื่องที่เห็นได้ไม่ชัดที่เธอควรต้องใส่ใจด้วย
N : อธิบายหน่อยครับ
G : เช่น การเสื่อมสลายของหน้าดินกำลังเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วมากบนโลกของเธอ นั่นหมายความว่าดินดีๆที่มีไว้เพาะปลูกกำลังหมดไป เพราะหน้าดินต้องใช้เวลาในการฟื้นฟูตัวเอง แต่พวกบริษัททางการเกษตรก็`ไม่มีเวลาให้รอ` พวกเขาต้องการพื้นดินไว้เพาะปลูก ปลูก แล้วก็ปลูก
ฉะนั้นหลักปฏิบัติที่มีมาช้านานที่ให้สลับพื้นที่เพาะปลูกไปตามฤดูกาลก็ถูกละเลยหรือร่นระยะเวลาให้สั้นลง เพื่อชดเชยเวลาที่เสียไปนี้ สารเคมีก็ถูกใส่ลงไปในพื้นดินเพื่อเร่งการเจริญเติบโตให้เร็วขึ้น แต่กับเรื่องนี้ (และกับทุกเรื่อง) พวกเธอไม่มีวันหาสิ่งสังเคราะห์ใดมาแทนที่แม่ธรณีได้ (Mother Nature) หรือไม่มีทางหาสิ่งใดที่มีคุณสมบัติแม้แต่จะใกล้เคียงกับสิ่งที่แม่ธรณีมอบให้ได้
ผลที่ออกมาก็คือ พวกเธอกำลังทำลายหน้าดินชั้นบน (ลึกสองถึงสามนิ้วเลยด้วยซ้ำ) ในพื้นที่บางแห่งซึ่งอุดมไปด้วยสารอินทรีย์ที่มีประโยชน์ให้หมดไป พูดอีกอย่างก็คือ พวกเธอกำลังเพาะปลูกพืชพันธุ์ธัญญาหารมากขึ้นและมากขึ้นเรื่อยๆด้วยดินที่มีสารอาหารน้อยลงและน้อยลง ไม่มีธาตุเหล็ก ไม่มีแร่ธาตุ ไม่มีสารอาหารอะไรเลยที่ดินนั้นควรจะมี
ที่แย่ยิ่งกว่านั้นก็คือ พวกเธอยังบริโภคอาหารที่เต็มไปด้วยสารเคมีที่ราดรดลงไปในดินที่หวังจะให้ไปฟื้นฟูคุณภาพดิน ขณะที่ผลเสียต่อร่างกายในระยะสั้นยังเห็นได้ไม่ชัด แต่ในระยะยาวแล้วพวกเธอจะค้นพบด้วยความเศร้าว่า สารเคมีที่ตกค้างอยู่ในร่างกายนี้ไม่เป็นผลดีต่อสุขภาพเลย
ปัญหาการเสื่อมสลายของหน้าดินซึ่งเกิดจากการเพาะปลูกที่ถี่เกินไปไม่ได้เป็นสิ่งที่คนส่วนใหญ่ตระหนักถึงเท่าที่ควร หน้าดินที่เพาะปลูกได้ มีปริมาณลดลงนั้นไม่ได้เป็นเรื่องเพ้อฝันของพวกนักสิ่งแวดล้อมที่คอยมองหาเรื่องเท่ห์ๆทำหรอก ไปถามนักพิภพวิทยาคนไหนก็ได้เกี่ยวกับเรื่องนี้แล้วพวกเธอจะได้เรียนรู้อะไรอีกมาก นี่คือปัญหาที่ขยายตัวออกไปทั่วทุกหัวระแหง เป็นปัญหาใหญ่ระดับโลก และเป็นภัยร้ายแรง
นี่เป็นเพียงแค่ตัวอย่างเดียวในหลากหลายวิธีที่พวกเธอกำลังล้างผลาญและทำลายแม่ของพวกเธอ ดาวเคราะห์โลกที่เป็นผู้ให้ชีวิตโดยไม่แยแสต่อความจำเป็นและกระบวนการตามธรรมชาติของเธอ (โลก) เลย
💢พวกเธอใส่ใจกับโลกใบนี้น้อยมาก สนแต่แค่จะสรรหาอะไรก็ตามมาตอบสนองความอยากได้ใคร่มีของตัวเอง เพื่อระงับความจำเป็นเฉพาะหน้า (ที่ส่วนใหญ่แล้วก็ไม่ได้จำเป็นเลยสักนิด) และดับกระหายความอยากไม่รู้จบที่ใหญ่ขึ้น ดีขึ้น และมากขึ้นไปเรื่อยๆ💢
ทว่ามันจะเป็นประโยชน์ต่อสายพันธุ์ของพวกเธอเองถ้าจะถามว่า... อีกเท่าไหร่ถึงจะพอ❓
N : ทำไมพวกเราถึงไม่ฟังนักสิ่งแวดล้อมของพวกเราเองล่ะครับ❓ ทำไมเราถึงไม่ใส่ใจคำเตือนของพวกเขา❓
G : กับเรื่องนี้และทุกเรื่องที่สำคัญยิ่งยวด ที่ส่งผลต่อคุณภาพชีวิตและแนวทางการดำรงชีวิตบนโลกของเธอ มันมีรูปแบบที่เห็นได้อย่างชัดเจนอยู่ และพวกเธอก็มีคำพูดอยู่คำหนึ่งที่ตอบคำถามนี้ได้อย่างสมบูรณ์แบบ นั่นคือ 🔸จงตามเส้นทางทางการเงินไป (Follow the money trail)🔸
N : เราจะมีหวังและเริ่มการแก้ปัญหาเหล่านี้ได้ยังไงครับในเมื่อจะต้องต่อสู้กับบางสิ่งที่ใหญ่โตและซับซ้อนซ่อนเงื่อนขนาดนั้น❓
G : ง่ายๆ...
💢กำจัดระบบทางการเงินทิ้งไปซะ💢
N : กำจัดระบบทางการเงินทิ้งไป❓
G : ใช่ ✴️หรืออย่างน้อยที่สุดก็ขจัดการอำพรางเงิน✴️
N : ไม่เข้าใจครับ
G : คนส่วนใหญ่จะปิดบังเรื่องที่ตัวเองอายหรือเรื่องที่ไม่อยากให้คนอื่นรู้ นั่นคือเหตุผลว่าทำไมคนจำนวนมากถึงต้องปิดบังเรื่องทางเพศ และนี่ยังเป็นอีกเหตุผลว่าทำไมคนเกือบทั้งโลกถึงปิดบังเรื่องเงินทอง ไม่ยอมเปิดเผย พวกเธอเห็นว่าเรื่องเงินทองเป็นเรื่องส่วนตัวมากๆ และปัญหาก็อยู่ตรงนี้นี่ล่ะ
ถ้าทุกคนรู้ทุกสิ่งเกี่ยวกับสถานะทางการเงินของทุกคนขึ้นมา จะต้องเกิดการลุกฮือขึ้นในประเทศของเธอ และคนทั้งโลกจะลุกฮือขึ้นมาในระดับที่พวกเธอไม่เคยเห็นมาก่อน
และผลที่ตามมาก็คือ จะเกิดความเท่าเทียมและความเสมอภาค จะเกิดความซื่อสัตย์และการให้ความสำคัญต่อผลประโยชน์ของปวงชนได้อย่างแท้จริงในการมีปฏิสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์ด้วยกัน
แต่ในปัจจุบันมันเป็นไปไม่ได้เลยที่จะนำความเท่าเทียม ความเสมอภาค ความซื่อสัตย์ หรือผลประโยชน์ของส่วนรวมเข้าสู่ระบบการค้า เพราะเงินถูกซ่อนได้อย่างง่ายดายเหลือเกิน พวกเธออาจจะนำไปซ่อนจริงๆในเชิงกายภาพ หรือไม่ก็ผ่านวิธีการทำบัญชีแบบสร้างสรรค์ที่สามารถทำให้เงินในบัญชีของบริษัท "ถูกซ่อน" หรือ "หายไป"
เพราะเอาเงินไปซ่อนได้ ก็เลยไม่มีทางที่ใครจะรู้ได้เลยว่าจริงๆแล้วแต่ละคนมีเงินอยู่เท่าไหร่หรือเอาเงินไปทำอะไรกันบ้าง นี่ทำให้ความไม่เสมอภาคเบ่งบานเป็นดอกเห็ด
ไหนจะเรื่องการมีพฤติกรรมแบบสองมาตรฐาน เช่น บริษัทต่างๆอาจจ่ายค่าจ้างให้พนักงานสองคนต่างกันมหาศาลแม้ว่าจะทำงานแบบเดียวกัน โดยจ่ายคนแรก 57,000 เหรียญต่อปี ขณะที่จ่ายอีกคน 42,000 เหรียญต่อปีสำหรับหน้าที่การงานที่เหมือนกันทุกอย่าง การจ่ายเงินให้พนักงานคนหนึ่งมากกว่าอีกคนเพียงเพราะพนักงานคนแรกมีบางอย่างที่คนหลังไม่มี
N : อะไรหรือครับ❓
G : จู๋
N : โอ้ววว
G : ใช่แล้ว...จู๋
N : แต่พระองค์จะไม่เข้าใจได้ยังไงครับว่าการมีจู๋ทำให้พนักงานคนแรกมีค่ามากกว่าคนที่สอง หัวไวกว่า ฉลาดกว่ากันตั้งครึ่ง และแน่นอนมีความสามารถมากกว่า
G : อืมมม รู้สึกว่าฉันไม่ได้สร้างพวกเธอมาแบบนั้นนะ หมายถึงเรื่องความสามารถที่ไม่เท่ากันน่ะ
N : พระองค์นั่นแหละที่ทำอย่างนั้น แหม...ตกใจหมดที่พระองค์ทำเป็นไม่รู้มาก่อน ทุกคนบนโลกต่างก็รู้เรื่องนี้กันทั้งนั้น
G : เราควรหยุดได้แล้ว ไม่อย่างนั้นเดี๋ยวผู้คนจะคิดว่าเราพูดเรื่องจริง
N : หมายความว่าพระองค์พูดเล่นอย่างนั้นหรือครับ❓ เราพูดเรื่องจริงนะ❗ คนบนโลกก็คิดว่านี่เป็นเรื่องจริง นั่นจึงเป็นเหตุผลที่ว่าทำไมผู้หญิงจะไปเป็นนักบวชของนิกายโรมันคาทอลิกหรือนิกายมอร์มอนไม่ได้ หรือจะไปยืนผิดฝั่งกำแพงครวญ (Wailing Wall) ในกรุงเยรูซาเล็มไม่ได้เด็ดขาด หรือจะไต่ขึ้นไปอยู่ในตำแหน่งสูงสุดของบริษัทที่ติดอันดับ`ฟอร์จูน 500` หรือเป็นนักบิน หรือ...★
★ในประเทศพม่าผู้หญิงจะไม่ได้รับอนุญาตให้เข้าไปในสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ทางศาสนา จะมีเขตกั้นเอาไว้ให้ผู้หญิงเข้าถึงได้แค่ตรงนั้น ~ แอดมิน
G : ใช่ เราเข้าใจตรงกันแล้วนะ ประเด็นของฉันก็คือ อย่างน้อยที่สุดการจ่ายค่าจ้างโดยเอาเรื่องเพศมาเป็นตัววัดจะทำได้ยากกว่านี้มากถ้าธุรกรรมทางการเงินทั้งหมดถูกเปิดเผย
1
เธอนึกภาพออกไหมว่าจะเกิดอะไรขึ้นในที่ทำงานทุกแห่งทั่วโลกถ้าทุกบริษัทถูกบังคับให้จัดพิมพ์อัตราเงินเดือนของพนักงานทุกคน❓ ไม่ใช่ช่วงของเงินเดือนแยกตามประเภทของงาน★ แต่เป็นตัวเลขผลตอบแทนจริงๆที่จ่ายเป็นรายบุคคล
★เช่น ผู้บริหารมีช่วงเงินเดือน 1 แสน - 3 แสน เป็นต้น ~ แอดมิน
N : "การเสี้ยมเขาควายให้ชนกัน"★ (playing two ends against the middle) ก็จะหายวับไปกับตา
★สำนวนสุภาษิตนี้หมายถึงยุยงให้ผู้อื่นทะเลาะกันหรือผิดใจกัน คล้ายคลึงกับสำนวน : ยุให้รำตำให้รั่ว
ที่มาของสำนวน : คำว่า ”เสี้ยม” ในสำนวนนี้หมายถึงการยุแหย่ เป็นการเปรียบเปรยถึงการต้อนควายให้มาเจอกันและจับเขาของควายให้มาชนกัน ทำไปทำมาควายก็จะขวิดจะชนกันเอง ~ แอดมิน
G : ใช่แล้ว
N : อันนี้ด้วย "ถ้านายไม่รู้ นายก็ไม่เจ็บ"
G : ใช่แล้ว
N : อันนี้อีก "เฮ้ ถ้าเราจ่ายหล่อนต่ำลงหนึ่งในสามได้ แล้วทำไมต้องไปจ่ายมากกว่านั้นด้วย"
G : นั่นล่ะๆ
N : รวมไปถึงการประจบประแจง เลียแข้งเลียขาเจ้านาย พยายามทำตัวให้เป็นที่โปรดปราน การเมืองในองค์กร และ...
G : และอื่นๆอีกมากมายหลายอย่างจะหายไปจากที่ทำงานและหายไปจากโลก เพียงแค่ต้องเปิดเผยเส้นทางทางการเงินเท่านั้น
ลองคิดดูสิ ถ้าเธอรู้ชัดๆว่าแต่ละคนมีเงินเท่าไหร่และรู้รายรับที่แท้จริงของกลุ่มอุตสาหกรรมและบริษัททั้งหมด รวมถึงของผู้บริหารแต่ละคน (แล้วยังรู้อีกว่าแต่ละคนและแต่ละบริษัทกำลังใช้เงินไปกับอะไรบ้าง) เธอไม่คิดหรือว่ามันจะทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงอะไรบางอย่าง❓
ลองคิดดูให้ดีๆ เธอคิดว่าสิ่งต่างๆจะเปลี่ยนไปแบบไหนกัน❓
ข้อเท็จจริงง่ายๆก็คือ ผู้คนจะไม่มีวันทนกับ 90% ของสิ่งที่กำลังเป็นไปในโลกถ้าพวกเขาได้รับรู้ว่ากำลังเกิดอะไรขึ้น สังคมจะไม่มีวันสนับสนุนการกระจายความมั่งคั่งที่ไม่เท่าเทียมกันอย่างยิ่งนี้ ยังไม่ต้องพูดถึงว่าความมั่งคั่งนั้นได้มาด้วยวิธีใดและใช้วิธีไหนในการได้มาเพิ่ม ถ้าผู้คนทุกหนแห่งได้รู้ข้อเท็จจริงพวกนี้แบบชัดๆเดี๋ยวนั้น
ไม่มีอะไรจะก่อให้เกิดพฤติกรรมที่เหมาะสมได้เร็วไปกว่าการเปิดเผยให้สาธารณชนได้รับรู้และได้วิพากษ์วิจารณ์อีกแล้ว นี่คือเหตุผลที่ว่าทำไมสิ่งที่เรียกว่า "กฏหมายข้อบังคับให้เปิดเผยข้อมูลทางราชการ"★ (Sunshine Law) ถึงขจัดความเละเทะบางอย่างของระบบการเมืองและการปกครองออกไปได้มาก
★Sunshine Law (กฏหมายแห่งแสงสว่าง) : เป็นคำที่ใช้เฉพาะในประเทศสหรัฐอเมริกา แต่ในประเทศอื่นๆจะใช้คำว่า : เสรีภาพด้านข้อมูลข่าวสาร (Freedom of Information laws, FOI law) ประกอบไปด้วยกฎหมายต่าง ๆ ที่รับประกันการเข้าถึงข้อมูลที่ครอบครองดูแลโดยรัฐ กฎหมายเหล่านี้ได้วางรากฐานกระบวนการทางกฎหมายสำหรับ "สิทธิที่จะได้รู้" โดยอนุญาตให้ประชาชนทั่วไปสามารถร้องขอข้อมูลข่าวสารซึ่งรัฐบาลครอบครองอยู่ได้ การได้มาซึ่งข้อมูลจะต้องไม่เสียค่าใช้จ่ายหรือเสียค่าใช้จ่ายน้อยที่สุด และมีข้อยกเว้นน้อยที่สุด ~ แอดมิน
ประชาพิจารณ์และความรับผิดชอบต่อสาธารณะช่วยขจัดพฤติกรรมใต้โต๊ะที่แพร่ระบาดไปทั่วในยุคทศวรรษที่ 1920 , 1930 , 1940 และ 1950 ในศาลาว่าการ คณะกรรมการโรงเรียน เขตเลือกตั้งทางการเมือง และในรัฐบาลระดับชาติ
ในตอนนี้มันถึงเวลาแล้วที่จะนำ ✨แสงสว่าง✨ ให้ส่องไปยังวิธีที่พวกเธอใช้จัดการกับการซื้อขายสินค้าและบริการบนโลกของเธอด้วย
N : พระองค์จะแนะนำอะไรหรือครับ❓
...
...
...

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา