18 เม.ย. 2021 เวลา 03:08 • ประวัติศาสตร์
King Ludwig II of Bavaria : ผู้สร้างปราสาทแห่งเทพนิยาย และการตายปริศนา ตอนที่ 2 (จบ)
มาถึงตอนที่สองกันแล้วนะครับ วันนี้เราไปทำความรู้จักกับบั้นปลายชีวิต และการตายปริศนาของพระองค์กันครับ
สำหรับตอนที่ 1 สามารถติดตามอ่านกันได้ที่นี่นะครับ
พระราชวัง Linderhof และถ้ำมหัศจรรย์
พระราชวัง Linderhof เป็นสถานที่อีกแห่งหนึ่งที่มีความเกี่ยวข้องกับพระองค์เป็นอย่างมาก และแม้จะไม่ได้มีชื่อเสียงเท่ากับปราสาท Neuschwanstein แต่สถานที่แห่งนี้ก็มีสิ่งที่น่าสนใจมากมาย
แบบแปลนของปราสาท Linderhof (Source: chloesserblog.bayern.de)
พระราชวังแห่งนี้ได้รับแรงบันดาลใจมาจากการที่พระองค์ได้มีโอกาสไปเยี่ยมชมพระราชวังแวร์ซายส์ในฝรั่งเศส และพระองค์มีความรู้สึกว่าใน ฺฺBavaria ยังไม่มีพระราชวังที่สวยงามสมฐานะความยิ่งใหญ่ของแคว้น Bavaria เลย พระองค์จึงได้สั่งให้มีการก่อสร้างพระราชวัง Linderhof ขึ้น
1
แน่นอนว่าพระราชวังแห่งนี้ภายในย่อมตกแต่งอย่างประณีตบรรจง เต็มไปด้วยภาพวาดและรูปปั้นจากเทพนิยาย แต่สิ่งที่ต่างไปจากปราสาท Neuschwanstein คือในห้องต่าง ๆ มักจะมีสัญลักษณ์ของพระอาทิตย์ และมีภาพวาดที่เกี่ยวข้องกับการปกครองสมัยสมบูรณายาสิทธิราชย์ของฝรั่งเศสอยู่
ปราสาท Linderhof สมญานาม Mini Versailles (Source: wikipedia)
สัญลักษณ์พระอาทิตย์นี้จริง ๆ แล้วเป็นการสื่อถึงพระเจ้าหลุยส์ที่ 14 ที่มีฉายาว่า “The Sun King” อย่างที่เคยกล่าวไปแล้วว่า พระองค์เชื่อว่าพระองค์มีสิทธิ์และอำนาจในการปกครองที่พระเจ้าประธานมาให้ ซึ่งเป็นหลักการเดียวกับการปกครองของฝรั่งเศสในช่วงของพระเจ้าหลุยส์ที่ 14 ยุคที่กษัตริย์มีอำนาจเบ็ดเสร็จ และสามารถทำทุกอย่างได้ตามใจปรารถนานั่นเอง
พระองค์หลงใหลในเรื่องของพระเจ้าหลุยส์ที่ 14 มาก ถึงขั้นที่พระองค์มองตัวเองว่าเป็น “The Moon King” คู่กับพระเจ้าหลุยส์ที 14
และเพื่อให้สมฉายา ในคืนที่พระจันทร์เต็มดวง พระองค์มักจะชอบนั่งโดยสารไปบนเลื่อนที่ให้ม้าลากไปตามถนนหนทางในชนบท โดยตัวพระองค์เองและทหารจะสวมเครื่องแบบโบราณเต็มยศ แล้วไปเยี่ยมเยือนพสกนิกรของพระองค์ยามดึกเป็นประจำ
กษัตริย์ Ludwig ที่ 2 มักจะชอบนั่งเลื่อนเล่นในวันพระจันทร์เต็มดวง (Source: Pinterest)
แต่สถานที่ในพระราชวังที่โดดเด่น และมีชื่อเสียงที่สุดเห็นจะเป็น ถ้ำวีนัส หรือ Venus Grotto ถ้ำเทียมที่ถูกขุดขึ้นมาภายในภูเขา ซึ่งถ้ำแห่งนี้ก็ได้รับแรงบันดาลใจมาจากละคอนของ Wagner เช่นกัน ภายในถ้ำจะถูกตกแต่งไปด้วยไฟสีสันต่าง ๆ มากมาย เพื่อใช้เปลี่ยนบรรยากาศของถ้ำไปเรื่อย ๆ พร้อมทั้งเครื่องทำคลื่นเทียม ซึ่งทั้งหมดได้รับกระแสไฟฟ้าที่ได้มาจากเครื่องผลิตไฟฟ้าเครื่องแรก ๆ ของ Bavaria
ในยามที่พระองค์ต้องการปลีกวิเวกจากโลกภายนอก พระองค์จะมาที่ถ้ำแห่งนี้ เหล่าทหารจะจับหงส์มาปล่อยในถ้ำ หลังจากนั้นพระองค์ก็จะเสด็จมา พร้อมกับฝีพายส่วนพระองค์ จากนั้นพระองค์จะลงเรือที่สร้างเป็นรูปเปลือกหอย แล้วให้ฝีพายพายวนไปวนมาในถ้ำ พร้อมกับดื่มด่ำบรรยากาศ และจินตนาการของพระองค์
ภาพกษัตริย์ Ludwig ที่ 2 ใน Venus Grotto (Source: Pinterest)
นอกจากนี้ในบริเวณรอบ ๆ พระราชวัง ยังมีการสร้างป่าที่มาจากละคอนอีกเรื่องหนึ่งของ Wagner โดยมีการสร้างกระท่อม และต้นไม้ปลอมที่มีดาบฝังอยู่ รวมไปถึงปราสาทของแขกมัวร์ที่ข้างในมีบัลลังก์นกยูงอยู่อีกด้วย
อีกอย่างที่ควรค่าแก่การเขียนถึงคือโต๊ะเสวยกระยาหารของพระองค์ ที่มีกลไกในการยกขึ้นลงได้ เรื่องมีอยู่ว่าเนื่องจากพระองค์รักความสันโดษ และชอบที่จะอยู่คนเดียว คนรับใช้ของพระองค์จะจัดสำรับสำหรับพระองค์วางลงบนโต๊ะ จากนั้นโต๊ะก็จะถูกยกขึ้นไปในห้องเสวย เพื่อที่พระองค์จะได้ไม่ต้องเห็นหน้าคนรับใช้ของพระองค์นั่นเอง และยังมีบันทึกด้วยว่าบางทีพระองค์จะสั่งให้จัดเตรียมโต๊ะสำหรับแขก 3-4 คน แต่สุดท้ายก็จะมีพระองค์เพียงคนเดียวนั่งที่เสวย มีเรื่องเล่า (ที่ไม่รู้ว่าจริงเท็จแค่ไหน) ว่าพระองค์จะทำเป็นคุยกับแขกในจินตนาการของพระองค์ บางทีก็เป็นพระเจ้าหลุยส์ที่ 14 บางทีก็เป็นพระนางมารี อังตัวเนต ซึ่งสิ่งเหล่านี้ก็เป็นอีกการกระทำหนึ่งที่จะมาทำร้ายพระองค์ในอนาคต
ถ้ำมหัศจรรย์ Venus Grotto ที่มีไฟฟ้าใช้เป็นที่แรก ๆ ของ Bavaria (Source: https://www.germansteins.com/ludwigs-venus-grotto)
พระราชวัง Linderhof ถือเป็นพระราชวังที่พระองค์อยู่นานมากที่สุด และสร้างเสร็จในขณะที่พระองค์ยังมีชีวิตอยู่ โดยมีค่าก่อสร้างทั้งหมดคิดเป็นเงินในปัจจุบันได้ประมาณ 69 ล้านดอลล่าร์
สิ่งก่อสร้างอื่น ๆ
นอกจากปราสาท Neuschwanstein และพระราชวัง Linderhof กษัตริย์ Ludwig ยัง เป็นผู้สร้าง Winter Garden หรือสวนฤดูหนาว ซึ่งถือเป็นพระราชวังหลวงของกษัตริย์ และสถานที่รับแขกบ้านแขกเมืองของแคว้น Bavaria
Munich Residentz พระราชวังหลวงของราชวงศ์ Bavaria (Source: https://www.theworldisabook.com)
สวนแห่งนี้ไม่ใช่สวนธรรมดา แต่มีทะลสาบขนาดย่อม ๆ (ใหญ่ขนาดที่สามารถพายเรือในทะเลสาบนั้นได้) ที่เต็มไปด้วยหงส์ และมีพระจันทร์ปลอมที่มีการใส่เทคนิคให้สามารถขึ้นลงในทะเลสาบได้ นอกจากนี้สวนแห่งนี้ยังพันธุ์ไม้หายากต่าง ๆ มากมาย พร้อมทั้งมีฉากหลังเป็นภาพวาดพาโนรามาของเทือกเขาหิมาลัย และมีกระท่อมของแขกมัวร์ประดับประดาอย่างสวยงาม ส่วนตัวหลังคานั้นก็สร้างมาจากกระจกและเหล็กที่ใช้เทคนิคการสร้างชั้นสูงในสมัยนั้น
3
สวนฤดูหนาวของ Munich Residentz ที่ในปัจจุบันไม่มีแล้ว (https://schloesserblog.bayern.de)
ว่ากันว่าบางครั้งน้ำจากในทะเลสาบก็จะไหลซืมลงไปยังห้องบรรทมของมารดาพระองค์ที่อยู่ที่ชั้นล่าง และมีเรื่องเล่ามีนักแสดงโอเปร่าคนหนึ่งที่พยายามจะดึงความสนใจของกษัตริย์ เธอจึงแกล้งทำเป็นตกลงไปในทะเลสาบแห่งนั้น โดยหวังว่ากษัตริย์จะลงมาช่วยเธอ แต่ปรากฏว่ากษัตริย์กลับไปสั่งให้คนใช้กระโดดลงไปช่วยเธอแทน
เป็นที่น่าเสียดายที่สวนสวยแห่งนี้โดนทิ้งร้างไปในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 และในที่สุดก็ถูกทำลายไป และในปัจจุบันคงเหลือแต่เพียงภาพวาดเท่านั้น ที่บ่งบอกถึงความยิ่งใหญ่และสวยงามของสวนแห่งจินตนาการแห่งนี้
ภาพวาดพาโนรามาของเทือกเขาหิมาลัย ในสวนฤดูหนาว (Source: zeno.org)
สถานที่สุดท้ายที่ควรจะต้องกล่าวถึงคือพระราชวัง Herrencheimsee ถ้าพระราชวัง Linderhof คือแวร์ซายส์ขนาดมินิ พระราชวัง Herrencheimsee ก็คือแวร์ซายส์ขนาดเท่าของจริงนั่นเอง พระราชวังแห่งนี้สร้างอยู่บนเกาะที่อยู่กลางทะเลสาบ Cheimsee ห่างจากกรุง Munich ประมาณ 60 กิโลเมตร
แม้จะไม่ได้มีขนาดใหญ่โตกว้างขวางเหมือนพระราชวังแวร์ซายส์ แต่หลายอย่างที่นี่ก็ได้รับแรงบันดาลใจมาจากพระราชวังแห่งนั้น เริ่มตั้งแต่สวนขนาดใหญ่แบบฝรั่งเศสด้านหน้าที่ตกแต่งด้วยรูปปั้น และน้ำพุ ห้องหับต่าง ๆ ที่มีมากถึง 70 ห้อง ซึ่งสร้างเสร็จจริงเพียงแค่ 20 ห้องเท่านั้น โถงบันไดกลางขนาดใหญ่ และที่สำคัญที่สุดคือ Hall of Mirror ซึ่งประดับประดาไปด้วยโคมระย้ามากมาย ว่ากันว่าต้องใช้คนมากถึง 35 คนในการจุดเทียนในโคมระย้าเหล่านั้น และพระองค์โปรดที่จะได้ใช้เวลายามค่ำคืนตามลำพัง เดินไปเดินมาในโถงแห่งนี้
พระราชวัง Herrencheimsee แวร์ซายส์แห่ง ฺBavaria (Source: www1.wdr.de)
ที่น่าตกใจคือค่าก่อสร้างพระราชวังแห่งนี้ ตลอดระยะเวลาการก่อสร้าง 23 ปี ค่าก่อสร้างรวมแล้วมีมูลค่าสูงถึง 283 ล้านดอลล่าร์ในจำนวนเงินปัจจุบัน สูงกว่าค่าก่อสร้างของพระราชวัง Linderhof และปราสาท Neuschwanstein รวมกันเสียอีก
นอกจากนี้ Ludwig ยังมีแผนที่จะสร้างสิ่งก่อสร้างต่าง ๆ อีกมากมาย เพื่อให้ Bavaria กลายมาเป็นอาณาจักรที่รุ่มรวยไปด้วยงานศิลปะ เทียบเท่ากับอาณาจักรอื่น ๆ ของยุโรป มีแผนการสร้างพระราชวังแบบ Byzantine และ พระราชวังแบบจีนด้วย แต่โครงการเหล่านี้ถูกพับไปซะก่อนที่จะได้สร้างจริงหลังจากที่พระองค์เสด็จสวรรคต
Hall of Mirror ที่สร้างเลียนแบบห้องแบบเดียวกันในพระราชวังแวร์ซายส์ (Source: Pinterest)
หลายคนอาจจะคิดว่าเงินที่ใช้ในการสร้างปราสาทราชวังเหล่านี้ มาจากเงินท้องพระคลัง หรือภาษีของประชาชน แต่เรื่องนี้เป็นเรื่องที่ไม่จริง เงินในการสร้างทั้งหมดนั้นเป็นเงินส่วนตัวของพระองค์เอง และเนื่องจากบรรพบุรุษของพระองค์นั้นปกครอง Bavaria มาเนิ่นนาน ทำให้สั่งสมความร่ำรวย จนมีเงินเหลือเฟือเหลือใช้ โดยที่ตัวของ Ludwig เองได้เงินรายปีเป็นจำนวนมากพอสมควร
ผลพลอยได้ที่ได้มาจากการสร้างปราสาทเหล่านี้คือการจ้างงานเป็นจำนวนมาก ทำให้เกิดกระแสเงินหมุนเวียนเพื่อขับเคลื่อนเศรษฐกิจ โดยเฉพาะในพื้นที่ที่มีการก่อสร้างปราสาท สร้างรายได้ให้กับพสกนิกรเป็นอย่างยิ่ง
ใส่ร้ายป้ายสี
ถึงแม้ว่าเงินที่นำมาสร้างปราสาทจะมาจากเงินส่วนพระองค์เอง แต่โครงการยิ่งใหญ่มากมายของพระองค์ ก็ทำให้พระองค์ถังแตก และเริ่มไปหยิบยืมเงินมาจากพระญาติ และราชวงศ์อื่น ๆ ทั่วยุโรป ว่ากันว่าพระองค์ถึงขนาดส่งคนรับใช้ของพระองค์ให้ไปเจรจายืมเงินไกลถึงอาณาจักรเปอร์เซียเลยทีเดียว สร้างความปวดหัวให้กับคณะรัฐมนตรีของพระองค์เป็นอย่างมาก โดยในปี 1885 พระองค์เป็นหนี้มากถึง 14 ล้านมาร์ก คิดเป็นเงินปัจจุบันก็ประมาณ 120 ล้านดอลล่าร์ ซึ่งอย่าว่าแต่ตัวพระองค์เองเลย ในสมัยนั้นถ้าอาณาจักรไหนเป็นหนี้มากขนาดนี้ ก็อาจจะต้องเข้าสู่ภาวะล้มละลาย
กษัตริย์ Ludwig ที่ 2 แห่ง Bavaria (Source: Pinterest)
แต่พระองค์ก็ยังคงกดดันคณะรัฐมนตรีให้ไปกู้ยืมเงินมาให้พระองค์ใช้จ่าย และปฏิเสธที่จะรับรู้ถึงความเป็นไปของอาณาจักร และสถานะทางการเงินอันย่ำแย่ของพระองค์ จนกระทั่งคณะรัฐมนตรีเริ่มปฏิเสธการกู้เงิน และเตือนพระองค์ถึงความจำเป็นในการลดค่าใช้จ่าย
เมื่อได้ยินดังนั้น พระองค์โกรธมาก และเริ่มวางแผนที่จะกำจัดคณะรัฐมนตรีทุกคน และแทนที่ด้วยคนของพระองค์เอง ดังนั้นคณะรัฐมนตรีจึงรวมตัวกัน เพื่อที่จะกำจัดพระองค์แทน
แต่การจะกำจัดกษัตริย์ไม่ได้ทำได้ง่ายขนาดนั้น จะต้องมีเหตุผลที่จะมาบอกว่า เหตุใดกษัตริย์พระองค์นั้นถึงไม่สมควรที่จะครองราชย์ต่อ ซ้ำร้ายแม้พระองค์จะไม่ได้มีส่วนร่วมในการบริหารปกครองบ้านเมืองนัก แต่พสกนิกรก็ยังคงรักและเทิดทูนพระองค์อยู่
หลังจากพยายามหาเหตุผลอยู่เป็นเวลานาน ในที่สุดทุกคนก็ตัดสินใจว่าจะใช้ข้อหาว่ากษัตริย์ Ludwig ที่ 2 มีพระอาการทางจิต หรือพูดง่าย ๆ ก็คือเป็นบ้านั่นเอง แต่ในเมื่อพระองค์ไม่ได้เป็นบ้าจริง จึงต้องมีการหาเหตุผลเพื่อที่จะมาสนับสนุนข้อกล่าวหานี้
กษัตริย์ Ludwig ที่ 2 แห่ง ฺBavaria ในช่วงปี 1880 (Source: https://www.neuschwanstein.de)
เริ่มมีการรวบรวมหลักฐาน และคำให้การจากบุคคลต่าง ๆ โดยในช่วงสามเดือนแรกของปี 1886 หลายฝ่ายได้พยายามเชิญจิตแพทย์ที่มีชื่อเสียง เพื่อเขียนรายงานร่วมกันเกี่ยวกับพระอาการของพระองค์ โดยการสัมภาษณ์คนใกล้ชิดไม่ว่าจะเป็นคนรับใช้ ยาม องค์รักษ์ส่วนตัว ไปจนถึงเชฟปรุงอาหาร
ซ้ำร้ายไปกว่านั้น คนที่รวบรวมข้อมูลคำให้การต่าง ๆ คือ Maximilian Count von Holstein ซึ่งเป็นคนที่ไม่ถูกกับกษัตริย์ Ludwig ที่ 2 และต้องการให้พระองค์ล่มจมอยู่แล้ว มีการให้เงินสินบนมากมายกับชนชั้นสูง และทหาร เพื่อให้พวกเขาส่งข้อร้องเรียนถึงความไม่เหมาะสมในการปกครองของ Ludwig คนรับใช้ และบุคคลใกล้ชิดของพระองค์ก็มักจะให้การเกินจริงถึงนิสัยของพระองค์
การล่องเรือในถ้ำ Venus Grotto คือหนึ่งในเรื่องที่ถูกนำมาใช้เป็นหลักฐานว่าพระองค์เป็นบ้า (https://www.akg-images.co.uk)
ที่น่าเศร้าคือ สิ่งที่นำมาตัดสินว่าพระองค์เป็นบ้านั้นมาจากนิสัยส่วนตัวของพระองค์เองทั้งสิ้น เช่น การที่พระองค์รักสันโดษ และชอบอยู่คนเดียว ชอบนั่งเหม่อลอย และมักหมกมุ่นอยู่กับการละคอนและดนตรีมากเกินกว่าคนทั่วไป และตรงนี้เองที่นิสัยและการกระทำแปลก ๆ บางอย่างที่พระองค์ชอบกระทำ ถูกนำไปโยงเข้ากับอาการทางจิต เช่น การที่พระองค์ชอบนั่งเลื่อนเล่นในคืนพระจันทร์เต็มดวง ทานอาหารเย็นในป่าท่ามกลางอากาศอันหนาวเหน็บ สวมเสื้อผ้าหน้าหนาวในฤดูร้อน ไม่ค่อยมีมารยาทบนโต๊ะอาหาร หรือด่าทอคนใช้ของพระองค์ ซึ่งมีทั้งเรื่องจริง และเรื่องไม่จริงผสมปนเปอยู่
และอีกเหตุผลที่ถูกนำมาใช้เสริมคือ Otto พระอนุชาของพระองค์นั้นได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นบ้ามาก่อนอยู่แล้ว และแพทย์ก็บอกว่าอาการเหล่านี้สามารถสืบทอดได้ผ่านทางพันธุกรรม
กษัตริย์ Ludwig ที่ 2 กับ Otto พระอนุชาของพระองค์ (Source: Pinterest)
เมื่อเรื่องนี้ถูกนำไปเสนอกับ Otto Von Bismarck นายกรัฐมนตรีของจักรวรรดิเยอรมัน Bismarck ก็ไม่ได้เชื่อรายงานนี้มากนัก พร้อมทั้งยังบอกอีกว่า คณะรัฐมนตรีของ Bavaria คงต้องการจะเสียสละกษัตริย์ เพื่อที่จะให้ตัวเองยังคงมีงานทำอยู่มากกว่า แต่สุดท้าย Bismarck ก็บอกว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องภายในของ Bavaria และให้ทาง Bavaria จัดการกันเอง
ในเดือนมิถุนายน รายงานฉบับสมบูรณ์ก็เสร็จสิ้น และเซ็นโดยจิตแพทย์ที่มีชื่อเสียง 4 คน หนึ่งในนั้นคือ Dr. Benhard Von Gudden ซึ่งเป็นหัวหน้าของโรงพยาบาลบ้าใน Munich ผู้วินิจฉัย Otto น้องชายของ Ludwig ว่าเป็นบ้านั่นเอง แต่เรื่องที่สำคัญก็คือ มีเพียง Gudden คนเดียวเท่านั้นที่เคยพบกับ Ludwig และเป็นการพบกันเมื่อ 12 ปีก่อนหน้า จิตแพทย์อีกสามคนไม่เคยพูดคุย หรือแม้กระทั่งพบปะกับ Ludwig เลยแม้แต่น้อย
Dr. Benhard Von Gudden หนึ่งในจิตแพทย์ผู้วินิจฉัยว่ากษัตริบ์ Ludwig ที่ 2 เป็นบ้า (Source: Wikipedia)
ผลการตัดสินของรายงานสรุปใจความได้ว่า กษัตริย์ Ludwig ที่ 2 เป็นโรค Paranoia หรือหวาดระแวง และไม่ควรจะปล่อยให้พระองค์ใช้ชีวิตอย่างอิสระอีกต่อไป และพระองค์ไม่สมควรที่จะครองราชย์ ไม่ใช่แค่เพียงชั่วคราว แต่ตลอดพระชนมชีพของพระองค์
จับกุมตัว
ในเช้าวันที่ 10 มิถุนายน 1886 เวลาตีสี่ คุณหมอ Gudden และคณะ เดินทางมายังปราสาท Neuschwanstein เพื่อที่จะจับกุมตัวพระองค์ แต่เนื่องจากมีการเตือนถึงการมาเยือนในครั้งนี้ จึงได้มีการเตรียมการรับมือไว้เป็นอย่างดี มีการนำกองกำลังตำรวจท้องถิ่นที่ยังจงรักภักดีต่อพระองค์มาล้อมปราสาทไว้ และทั้งคณะต้องหันหลังกลับไปด้วยการขู่ว่าจะยิง
นอกจากนี้ยังมีเรื่องที่เล่ากันมาจนถึงทุกวันนี้ว่า Baroness Spera von Truchseß ซึ่งเป็นสตรีชั้นสูงที่อาศัยอยู่ในบริเวณนั้น ถึงกับถือร่มออกมาไล่ฟาดคณะจับกุม เนื่องจากเธอเป็นผู้ศรัทธาในตัวกษัตริย์ Ludwig เป็นอย่างมาก
กษัตริย์ Ludwig ที่ 2 แห่ง Bavaria ก่อนจะถูกจับกุม (Source: Pinterest)
Ludwig พยายามออกแถลงการณ์บอกให้พสกนิกรชาว Bavaria ทุกคน ร่วมกันต่อต้านการก่อกบฏในครั้งนี้ แต่แถลงการณ์นั้นกลับไม่ได้กระจายออกไปเท่าที่ควร เนื่องจากทางการได้ทำการยึดหนังสือพิมพ์ และใบปลิวที่มีข้อความเหล่านั้นได้เกือบหมด
อย่างไรก็ตาม หลังจากที่โดนบังคับให้หันหลังกลับไปแล้ว คณะรัฐมนตรีก็ประกาศให้ Luitpold ลุงของ Ludwig กลายมาเป็นผู้สำเร็จราชการคนใหม่ของ Bavaria โดยไม่สนใจ Ludwig มีการลุกฮือของพสกนิกรและทหารที่ยังจงรักภักดีต่อพระองค์ บ้างประปราย แต่สุดท้ายการประท้วงก็ถูกสลายไป และตำรวจที่จงรักภักดีต่อพระองค์ ก็ถูกแทนที่ด้วยตำรวจที่ถูกส่งมาจากส่วนกลาง ทำให้พระองค์กลายเป็นนักโทษในประสาทของพระองค์เองทันที
ปราสาท Neuschwanstein (Source: https://www.ancient-origins.net)
ในตอนเช้าของวันที่ 12 มิถุนายน 1886 คณะบุคคลชุดที่ 2 เดินทางมาถึง และหลังจากการเจรจาอย่างหนัก กษัตริย์ Ludwig ก็ถูกควบคุมตัวตอนเที่ยงคืน พระองค์ถูกนำตัวไปขึ้นรถม้า แล้วเดินทางไปยังปราสาท Berg ที่ตั้งอยู่ทางตอนใต้ของ Munich เรื่องน่าเศร้าที่เกิดขึ้นคือ พระองค์ได้ถามคุณหมอ Gudden ว่า ในเมื่อท่านไม่เคยพบเรามาก่อน ท่านจะมาหาว่าเราบ้าได้ยังไง ซึ่งคุณหมอตอบเพียงว่า ไม่ต้องหรอกพะยะค่ะ เพียงแค่คำให้การของคนรับใช้ของท่านก็เพียงพอแล้ว
ความตายปริศนา
ในช่วงบ่ายของวันที่ 13 มิถุนายน 1886 คุณหมอ Gudden ออกไปเดินเล่นกับกษัตริย์ Ludwig พร้อมกับผู้ติดตามสองคน ซึ่งหลังจากกลับมาทางคุณหมอเองก็บอกว่า ตัวกษัตริย์ Ludwig นั้นดูมีพระอาการที่ดีขึ้น
1
กษัตริย์ Ludwig ที่ 2 และคุณหมอ Gudden ออกไปเดินเล่นกันในบริเวณรอบปราสาท Berg (Source: https://allaboutroyalfamilies.blogspot.com)
ในช่วงเย็นของวันเดียวกัน หลังเสวยพระกระยาหารค่ำ ทางกษัตริย์ Ludwig ได้ขอให้คุณหมอ Gudden ออกไปเดินเล่นกับพระองค์อีกครั้งตอนประมาณ 18.00 น. แต่สิ่งที่แปลกไปคือคุณหมอ Gudden บอกผู้ติดตามทั้งสองว่า ไม่ต้องเดินทางตามมา
มีคนเห็นทั้งสองเป็นครั้งสุดท้ายเมื่อเวลาประมาณ 18.30 น. และพอถึงเวลา 20.00 น. ซึ่งเป็นเวลาที่ทั้งสองควรจะต้องกลับมา ปรากฎว่าไม่มีวี่แววของทั้งคู่ พร้อมกับตอนนั้นเกิดพายุฝนฟ้าคะนองอย่างหนักในบริเวณปราสาท จึงมีการส่งทีมออกสำรวจเพื่อตามหาทั้งคู่ทันที
และเมื่อเวลา 22.30 น. มีคนพบศพของกษัตริย์ Ludwig และคุณหมอ Gudden ในทะเลสาบ ในสภาพที่หัวและไหล่ลอยอยู่เหนือน้ำ สร้างความตื่นตกใจให้กับเจ้าหน้าที่ไปทั่ว ที่น่าสนใจคือนาฬิกาของ Ludwig นั้นหยุดเดินที่เวลา 18.54 น. พอดี
ศพของกษัตริย์ Ludwig ที่ 2 และคุณหมอ Gudden ถูกพบลอยอยู่ในทะเลสาบ (Source: Pinterest)
สาเหตุการเสียชีวิตของ Ludwig ถูกประกาศว่าเกิดจากการฆ่าตัวตายด้วยการจมน้ำ แต่จากการชันสูตรศพ ไม่พบน้ำในปอดของพระองค์เลย นอกจากนี้น้ำในทะเลสาบนั้นตื้นเพียงระดับเอว และพระองค์เป็นคนที่ว่ายน้ำแข็งมาก ดังนั้นแทบจะเป็นไปไม่ได้เลยที่พระองค์จะเสียชีวิตจากการจมน้ำ ซ้ำร้าย Ludwig ก็ไม่มีแนวโน้มแม้แต่น้อยว่าจะฆ่าตัวตาย แม้ว่าจะโดนจับกุมและบังคับให้สละราชสมบัติก็ตาม
ที่น่าสนใจไม่แพ้กันคือ ศพของคุณหมอ Gudden มีร่องรอยของกระสุน ที่บริเวณศีรษะและคอ รวมไปถึงร่องรอยของการถูกรัดคออีกด้วย
ทะเลสาบที่พระองค์จมน้ำนั้นตื้นเพียงระดับเอว ซึ่งนำมาสู่ทฤษฎีสมคบคิดต่าง ๆ ว่าจริง ๆ แล้วพระองค์โดนฆาตกรรม (Source: quh-berg.de)
ทฤษฎีสมคบคิด
เนื่องจากการตายที่ดูเป็นปริศนา ทำให้เกิดทฤษฎีขึ้นมากมายถึงสาเหตุการตายที่แท้จริงของพระองค์ หนึ่งในนั้นมาจากปากคำของคนจับปลาส่วนพระองค์ที่มีชื่อว่า Jakob Lidl ซึ่งเขาได้ทิ้งโน๊ตเอาไว้ก่อนที่เขาจะเสียชีวิตว่า จริง ๆ แล้วเขากับคนที่จงรักภักดีต่อพระองค์วางแผนที่จะพาพระองค์หนี โดยตัวเขาเองนั้นจะเป็นคนพายเรือ พาพระองค์ไปกลางทะเลสาบ ที่ที่จะมีคนอีกกลุ่มหนึ่งรอพระองค์อยู่ แต่ผลปรากฏว่าตอนที่พระองค์กำลังจะก้าวขึ้นเรือนั้น มีเสียงปืนดังลั่นออกมาจากชายป่า และพระองค์ก็คว่ำลงไปในน้ำ แน่นิ่ง และเสียชีวิตทันที แต่อย่างที่ได้กล่าวไปแล้วว่าไม่มีการพบร่องรอยกระสุนบนตัวของพระองค์เลย
กษัตริย์ Ludwig ที่ 2 แห่ง Bavaria (Source: https://www.ancient-origins.net)
นอกจากนี้ก็มีคนบางคนที่อ้างว่ามีเสื้อโค้ตของ Ludwig ที่มีรอยกระสุนอยู่ แต่เสื้อตัวนั้นถูกทำลายไปในเหตุการณ์ไฟไหม้เมื่อปี 1973 เสียก่อน แต่ทฤษฎีที่ดูน่าจะเป็นไปได้มากที่สุดคือ กษัตริย์ Ludwig เสียชีวิตด้วยสาเหตุทางธรรมชาติ อาจจะเป็นหัวใจวายเฉียบพลัน เนื่องจากสภาพอากาศที่เย็นจัดหลังจากที่พระองค์ตกลงไปในน้ำ เนื่องจากการพยายามจะหนีนั่นเอง
มีคำพูดที่พระองค์มักจะชอบกล่าวมากที่สุด ซึ่งนั่นก็คือ "I wish to to remain an ethernal enigma to myself and to others: ข้าพเจ้าต้องการที่จะเป็นปริศนาตลอดกาลทั้งสำหรับตนเองและผู้อื่น" ไม่น่าเชื่อว่าพระองค์จะได้สิ่งนั้นไปจริง ๆ เพราะการตายของพระองค์นั้นยังคงเป็นปริศนาดำมืดในหน้าประวัติศาสตร์มาจนถึงทุกวันนี้
1
งานศพ
งานศพของพระองค์ถูกจัดขึ้นอย่างเร่งรีบที่ Munich Residentz ในมือขวาพระองค์ถือช่อดอกมะลิสีขาวซึ่งผู้ที่นำมาให้คือ จักรพรรดินี Elisabeth แห่ง Austria สหายสนิทตั้งแต่วัยเด็กของพระองค์ และน่าจะเป็นคนเพียงคนเดียวที่เข้าใจในตัวของพระองค์มากที่สุด และหลังจากงานศพเสร็จสิ้นลงในวันที่ 19 เมษายน ศพของพระองค์ถูกฝังไว้ที่ Munich แต่หัวใจของพระองค์ถูกแยกออกมาจากพระวรกายตามประเพณีของ Bavaria และนำใส่โถอัฐิไปตั้งไว้คู่กับหัวใจของพ่อและปู่ของเขาที่เมือง Altötting
งานศพของกษัตริย์ Ludwig ที่ 2 (Source: Pinterest)
หลังจากนั้นอีก 3 ปีต่อมา มีการสร้างโบสถ์เล็กๆ ริมทะเลสาบที่พระองค์เสียชีวิต รวมไปถึงมีไม้กางเขนสร้างไว้กลางทะเลสาบ ในจุดที่พบศพของพระองค์ด้วย และทุกปีจะมีการจัดงานรำลึกถึงพระองค์ กษัตริย์ที่แม้จะไม่ได้บริหารปกครองบ้านเมืองได้ดีนัก แต่ก็เป็นที่รักของพสกนิกรชาว Bavaria สืบมา
หลังการเสียชีวิต
หลังจากที่กษัตริย์ Ludwig ที่ 2 สวรรคต คนที่ขึ้นครองราชย์ต่อคือ Otto พระอนุชาของพระองค์ แต่อย่างที่ได้กล่าวไปแล้วว่า Otto ได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นบ้า Luitpold จึงทำหน้าที่เป็นผู้สำเร็จราชการแทนต่อ จนกระทั่งเขาเสียชีวิตไปในปี 1912 ด้วยอายุ 91 ปี และได้ทำการสืบทอดหน้าที่ผู้สำเร็จราชการต่อให้กับลูกชายของตนเองที่มีชื่อว่า Ludwig เช่นกัน
Luitpold ลุงของกษัตริย์ Ludwig ที่ 2 ที่ขึ้นมาเป็นผู้สำเร็จราชการแทน (Source: Wikipedia)
หลังจากผ่านไป 13 เดือน Ludwig ก็ตัดสินใจแย่งชิงบัลลังก์มาจากกษัตริย์ Otto และประกาศตัวเองเป็นกษัตริย์และขึ้นครองราชย์แทน กลายมาเป็นกษัตริย์ Ludwig ที่ 3 แห่ง Bavaria และพระองค์ปกครอง Bavaria จนถึงตอนที่สงครามโลกครั้งที่ 1 สิ้นสุดลง และราชวงศ์เยอรมันทุกราชวงศ์ก็มาถึงจุดจบ
ตำนานที่จะคงอยู่สืบไป
กษัตริย์ Ludwig ที่ 2 จากไปด้วยสมญานาม "The Mad King" ซึ่งจริง ๆ แล้วอาจจะไม่ยุติธรรมสำหรับพระองค์เท่าไรนัก เพราะจริง ๆ แล้วพระองค์ไม่ได้บ้า เพียงแค่โดนกล่าวหา เพื่อเป็นข้ออ้างในการปลดพระองค์จากบัลลังก์เท่านั้น
นักวิชาการในปัจจุบันระบุว่า จริง ๆ แล้วพระองค์น่าจะมีอาการที่เรียกว่า Schizotypal Personal Disorder ซึ่งผู้ที่มีอาการนี้จะชอบที่จะอยู่คนเดียว กลัวการอยู่ในที่ที่มีคนเยอะ ๆ และกลัวการผูกมัด คนที่มีอาการนี้มักจะพูดหรือมีนิสัยแปลก ๆ และไม่ค่อยแสดงอารมณ์ ซึ่งสามารถใช้อธิบายลักษณะนิสัยต่าง ๆ ของพระองค์ได้เป็นอย่างดี
กษัตริย์ Ludwig ที่ 2 แห่ง Bavaria (Source: Pinterest)
การรักษาในปัจจุบัน จะทำโดยการบำบัดทางจิตและการใช้ยาควบคู่กันไป ซึ่งแน่นอนว่าในสมัยของพระองค์ไม่มีความเข้าใจในเรื่องนี้แม้แต่น้อย
อีกอย่างที่ควรจะกล่าวถึงคือ การใช้เงินมหาศาลในการสร้างปราสาทราชวังต่าง ๆ จนทำให้ Bavaria เกือบจะต้องล้มละลาย เรื่องนี้อาจจะฟังดูแย่ แต่สิ่งที่พระองค์สร้างนั้นยังยืนหยัดมาจนถึงทุกวันนี้ และกลายมาเป็นสถานที่ท่องเที่ยวยอดนิยมของประเทศเยอรมัน
ยกตัวอย่างปราสาท Neuschwanstein ที่เปิดให้นักท่องเที่ยวเข้าชมเพียงไม่กี่สัปดาห์หลังจากที่พระองค์สวรรคต ทุก ๆ ปีจะมีนักท่องเที่ยวมาเยี่ยมชมปราสาทแห่งนี้ประมาณ 1.5 ล้านคน (ทั้ง ๆ ที่พระองค์อยากให้สถานที่แห่งนี้เป็นสถานที่ส่วนตัว) สร้างรายได้ขายตั๋วกว่า 7 ล้านดอลล่าร์ต่อปีให้กับแคว้น Bavaria ยังไม่รวมถึงรายได้จากโรงแรม ร้านอาหาร การขนส่ง และของที่ระลึกอื่น ๆ อีกมาก
มีนักท่องเที่ยวมากถึง 1.5 ล้านคนมาเยี่ยมปราสาท Neuschwanstein ในทุ ๆ ปี (Source: dw.de)
และตั้งแต่เปิดให้เข้าชมในปี 1886 จนถึงปัจจุบัน เป็นเวลากว่า 120 ปี ปราสาทแห่งนี้ได้สร้างรายได้ไปแล้วประมาณ 4 พันล้านดอลล่าร์ ถ้าคิดว่าต้นทุนการสร้างปราสาทแห่งนี้อยู่ที่ 51 ล้านดอลล่าร์ ก็ถือว่าคุ้มแสนคุ้ม
นอกจากนี้ยังมีพระราชวัง Linderhof และ Herrencheimsee อีกสองสถานที่ท่องเที่ยวสุดฮิตของ Bavaria รวมไปถึงผลงานของ Wagner ที่ยังคงได้รับความนิยมมาจนถึงทุกวันนี้
จบไปแล้วนะครับกับเรื่องราวของกษัตริย์ Ludwig ที่ 2 แห่ง Bavaria จริง ๆ ผมคิดว่าพระองค์อาจจะโชคร้ายก็ได้ที่เกิดมาในครอบครัวกษัตริย์ในสมัยนั้น ที่ต้องการคนที่เก่งและชอบเรื่องการบริหารกิจการบ้านเมือง ไม่ใช่คนที่หลงใหลในเรื่องของศิลปะและดนตรี แต่อย่างที่บอกครับว่าสิ่งที่พระองค์รังสรร ก็ยังคงอยู่มาจนถึงปัจจุบันให้คนทั่วโลกได้ชื่นชม
สุดท้ายคงจะไม่มีใครที่จะสรุปไปได้ดีกว่าพระสหายสนิทของพระองค์ จักรพรรดินี Elisabeth แห่ง Austria ซึ่งพระนางได้กล่าวไว้ว่า "พระองค์ไม่ได้เป็นบ้า พระองค์แค่เป็นคนที่ชอบอยู่ในโลกแห่งความฝัน ถ้าพวกเขาคอยดูแลพระองค์ อ่อนโยนกับพระองค์มากกว่านี้ บางทีพระองค์อาจจะไม่ต้องมาพบกับจุดจบที่น่าเศร้าแบบนี้"
ครั้งหน้า Kang's Journal จะพาไปพบกับชีวิตของบุคคลสำคัญคนไหนอีก อย่าลืมติดตามกันนะครับ :)

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา