16 เม.ย. 2021 เวลา 08:06 • หนังสือ
#43 เล่ม 2 บทที่ 17 หน้า 262 ~ 265
...
N>: แล้วการมีชีวิตที่ดีขึ้นหรือการสร้างชีวิตที่ดีกว่าเดิมให้กับลูกหลานของเรายังไม่ถือว่าเป็นแรงจูงใจที่ดีอีกหรือครับ❓
...
...
...
G>: "ชีวิตที่ดีขึ้น" คือแรงจูงใจที่เหมาะสม "การสร้างชีวิตที่ดีกว่าเดิม" แก่ลูกหลานก็เป็นแรงจูงใจที่ดี แต่คำถามคือ อะไรล่ะที่ทำให้ "ชีวิตดีขึ้น"❓
เธอนิยามคำว่า "ดีขึ้น" ว่าอย่างไร❓
เธอให้นิยามกับคำว่า "ชีวิต" ว่าหมายถึงสิ่งไหน❓
✴️หากเธอให้นิยามคำว่า "ดีขึ้น" ว่าหมายถึงการมีเงินทอง อำนาจ เซ็กซ์ และวัตถุสิ่งของ (บ้าน รถ เสื้อผ้า แผ่นเสียง หรืออะไรทำนองนั้น) ว่าต้องใหญ่ขึ้น ดีขึ้น และมากขึ้น ...และนิยาม "ชีวิต" ว่าเป็นเพียงช่วงเวลาจากเกิดสู่ตายของการดำรงอยู่ในห้วงเวลานี้ของเธอ★ ถ้าอย่างนั้นเธอจะไม่ยอมทำอะไรสักอย่างเพื่อออกจากกับดักที่ทำให้โลกอยู่ในสภาวะคับขันอย่างที่เป็นอยู่✴️
★ เราดำรงอยู่ในห้วงเวลาอื่นๆด้วย
~ แอดมิน
✴️แต่หากเธอให้นิยามคำว่า "ดีขึ้น" ว่าหมายถึงประสบการณ์ที่กว้างไกลขึ้นและการแสดงออกถึงสถาวะแห่งความ`เป็น`ขั้นสูงสุดของเธอ★ให้มากยิ่งขึ้น และนิยาม "ชีวิต" ว่าเป็นกระบวนการของการดำรงอยู่ชั่วนิรันดร์ ต่อเนื่อง และไม่มีวันสิ้นสุด เมื่อนั้นเธออาจได้พบทาง✴️
★ การเป็นขั้นสูงสุด คือ ปิติสุขอันล้นพ้น คือ สภาวะแห่งความเป็นพระเจ้า หลังจาก ได้รู้ และมีประสบการณ์ถึงตนเองแล้ว
อ่านทบทวนได้ตามลิ้งค์ครับ
~ แอดมิน
"ชีวิตที่ดีขึ้น" ไม่ได้เกิดจากการสะสมทรัพย์สมบัติหรอกนะ พวกเธอส่วนใหญ่บอกว่ารู้ พวกเธอทุกคนบอกว่าเข้าใจ แต่ชีวิตของพวกเธอ (รวมไปถึงการตัดสินใจเรื่องราวต่างๆในชีวิตด้วย) กลับเกี่ยวข้องกับเรื่อง "วัตถุสิ่งของ" มากพอๆกับเรื่องอื่นๆเลย...ปกติแล้วจะมากกว่าด้วยซ้ำ
พวกเธอไขว่คว้าหาวัตถุ ทำงานเพื่อให้ได้มาซึ่งวัตถุ และเมื่อได้รับวัตถุสิ่งของบางอย่างที่พวกเธอต้องการแล้ว พวกเธอจะไม่มีวันยอมปล่อยให้หลุดจากมือไป
แรงจูงใจของมนุษยชาติส่วนใหญ่คือการไขว่คว้า หา และครอบครองวัตถุสิ่งของ ส่วนใครก็ตามที่ไม่ใส่ใจเรื่องพวกนี้มากนักก็จะปล่อยวางพวกมันได้ง่าย
เพราะแรงจูงใจเพื่อความยิ่งใหญ่ในปัจจุบันของพวกเธอเป็นเรื่องของการสะสมทรัพย์สมบัติในโลกให้มากที่สุด
โลกที่มีแต่การดิ้นรนร้อยแปดพันประการ ประชากรโลกจำนวนมากมายมหาศาลยังต้องดิ้นรนเพียงเพื่อจะเอาชีวิตให้รอด แต่ละคืนวันมีแต่ความวิตกกังวลและความสิ้นหวัง ในหัวต้องคอยคิดแต่ว่าวันนี้จะมีอะไรกินไหม❓ จะหาที่ซุกหัวนอนได้ที่ไหน❓ จะหนาวตายหรือไม่❓
1️⃣ คนจำนวนมากมายยังต้องห่วงกังวลแต่กับเรื่องพวกนี้ในแต่ละวัน คนเป็นพันเป็นหมื่นต้องตายไปในแต่ละเดือนเพราะไม่มีอะไรจะกิน
2️⃣ คนจำนวนน้อยพอจะหาสิ่งประทังชีวิตขั้นพื้นฐานได้ แต่ยังคงต้องดิ้นรนเพียงเพื่อจะมีความปลอดภัยขั้นต่ำสุด มีบ้านเล็กๆที่เหมาะสม และมีวันพรุ่งนี้ที่ดีกว่า พวกเขาต้องทำงานหนักหามรุ่งหามค่ำและวิตกกังวลว่าตัวเองจะ "ก้าวหน้า" กับเขาบ้างไหมและจะต้องทำอย่างไร จิตใจถูกกัดกินด้วยคำถามที่กลัดกลุ้มและกดดัน
3️⃣ คนจำนวนน้อยกว่านั้นมีทุกสิ่งทุกอย่างที่อยากได้ใคร่มีแล้ว (แน่นอน คือทุกสิ่งทุกอย่างที่คนสองกลุ่มแรกต้องการนั่นล่ะ) แต่ที่น่าสนใจก็คือ 🔸คนมากมายในกลุ่มนี้ยังคงอยากได้เพิ่มอยู่🔸จิตใจของพวกเขาห่วงแต่เรื่องรักษาสิ่งที่ตัวเองหามาได้กับเรื่องการหามาเพิ่ม
นอกเหนือจากสามกลุ่มนี้ยังมีกลุ่มที่สี่ ซึ่งเป็นกลุ่มที่เล็กที่สุด แล้วก็เป็นกลุ่มที่เล็กมาก ๆ
4️⃣ คนกลุ่มนี้นำตัวเองออกห่างจากความต้องการทางโลก เข้าหาวิถีทางแห่งจิตวิญญาณ ความจริงทางจิตวิญญาณ และประสบการณ์ทางจิตวิญญาณ
คนในกลุ่มนี้มองว่าชีวิตคือการมีปฏิสัมพันธ์กันทางจิตวิญญาณ คือการเดินทางของวิญญาณ พวกเขาจะตอบสนองต่อเหตุการณ์ในชีวิตทั้งหมดภายใต้บริบทนั้นและจัดวางประสบการณ์ในชีวิตทั้งหมดไว้ในกระบวนทัศน์นั้น ✨ชีวิตดิ้นรนเพื่อเสาะหาแต่พระเจ้า เพื่อบรรลุตัวตน และเพื่อสำแดงสัจจะ✨
เมื่อเติบโตขึ้น การดิ้นรนนี้จะเปลี่ยนสภาพไปจนไม่ใช่การดิ้นรนอีกต่อไป แต่จะกลายเป็น 🔸กระบวนการ🔸แทน
🌟เป็นกระบวนการแห่งการ "นิยามตัวเอง" ไม่ใช่การค้นพบตัวเอง
🌟เป็นกระบวนการแห่งการ "เติบโต" ไม่ใช่การเรียนรู้
🌟และเป็นกระบวนการแห่ง "การเป็น" ไม่ใช่การทำ
⏺️ เหตุผลในการเสาะแสวงหา มุ่งมั่นฟันฝ่า ใฝ่ฝัน แผ่ขยาย และการประสบความสำเร็จนั้นจะต่างออกไปอย่างสิ้นเชิง
⏺️ เหตุผลในการทำทุกสิ่งทุกอย่างจะเปลี่ยนไป
ด้วยเหตุนั้นตัวผู้กระทำเองก็จะเปลี่ยนไปด้วย
🔹เหตุผลกลายเป็นกระบวนการ🔹
🔹ผู้กระทำกลายเป็นผู้เป็น🔹
(doer --> be-er)
ก่อนหน้านี้ เหตุผลในการไขว่คว้า มุ่งมั่นฟันฝ่า และการลงทุนลงแรงทั้งหมดในชีวิตก็เพื่อให้ได้มาซึ่งสิ่งต่างๆทางโลก
ทว่าในตอนนี้เหตุผลคือ เพื่อมีประสบการณ์ถึงสิ่งที่สูงส่งงดงาม
ก่อนหน้านี้ ความใส่ใจจะอยู่ที่เรื่องของกายเป็นส่วนใหญ่
แต่ตอนนี้ความใส่ใจส่วนใหญ่จะอยู่ที่เรื่องของวิญญาณ
✴️ไม่มีสิ่งใดเหมือนเดิมอีก ทุกสิ่งทุกอย่างเปลี่ยนไป จุดมุ่งหมายของชีวิตก็เปลี่ยนไปและแม้แต่`ตัวชีวิตเอง`ก็เปลี่ยนไปด้วยเช่นเดียวกัน
✴️แรงจูงใจเพื่อความยิ่งใหญ่ ก็เปลี่ยนไปด้วย
✴️ความจำเป็นที่จะต้องหามาให้ได้ ความละโมบ อยากได้ใคร่มี การรักษาไว้ และการหาทรัพย์สมบัติทางโลกมาเพิ่มจะจางหายไป
✴️ความยิ่งใหญ่จะไม่ได้วัดจากว่าคนๆนั้นมีทรัพย์สมบัติมากแค่ไหนอีกต่อไป ทรัพยากรโลกจะถูกมองอย่างเที่ยงธรรมว่าเป็นของมนุษย์ทุกคนบนโลก โลกที่อุดมสมบูรณ์เพียงพอที่ความจำเป็นขั้นพื้นฐานของทุกคนจะได้รับการตอบสนอง และทุกคนจะได้รับสิ่งจำเป็นขั้นพื้นฐานอย่างเหมาะสม
✴️ทุกคนจะต้องการให้ออกมาในรูปแบบนั้น ไม่จำเป็นต้องบังคับใครให้เสียภาษีโดยไม่เต็มใจอีกต่อไป พวกเธอจะ "สมัครใจ" มอบ 10% จากสิ่งที่พวกเธอหามาได้ให้แก่โครงการสนับสนุนผู้ขาดแคลน
✴️จะไม่มีวันเป็นไปได้อีกที่ผู้คนนับพันจะทนเห็นคนนับหมื่นต้องอดอยากหิวโหย ที่อดอยากไม่ใช่เพราะอาหารมีไม่พอหรอก แต่เป็นเพราะมนุษย์ไม่มีเจตจำนงเพียงพอที่จะสร้างกลไกทางการเมืองง่ายๆที่จะทำให้ผู้อดอยากได้รับอาหารอย่างพอเพียงต่างหาก
✴️พฤติกรรมอันต่ำช้า (ซึ่งเกิดขึ้นโดยทั่วไปเป็นปรกติในสังคมที่ยังไม่พัฒนาของพวกเธอ) จะถูกขจัดทิ้งไปตลอดกาลนับตั้งแต่วันที่พวกเธอเปลี่ยนแรงจูงใจเพื่อความยิ่งใหญ่และความหมายที่พวกเธอนิยามให้กับมันเสียใหม่
แรงจูงใจใหม่ของพวกเธอคือ : การ`เป็น`ในสิ่งที่ฉันได้สร้างพวกเธอขึ้นมาให้เป็น ซึ่งก็คือ ✨เป็นภาพฉายทางกายภาพของพระผู้เป็นเจ้า✨
เมื่อพวกเธอเลือกจะเป็นตัวตนที่แท้จริง (คือเป็นพระเจ้าผ่านรูปกาย) พวกเธอจะไม่มีวันแสดงพฤติกรรมที่ต่ำทรามออกมาอีก และไม่จำเป็นอีกที่จะต้องแปะสติ๊กเกอร์ท้ายรถว่า :
🔸พระเจ้าโปรดช่วยลูกให้พ้นจากเงื้อมมือเหล่าบุตรหลานของพระองค์ด้วย🔸
🔸GOD SAVE ME FROM YOUR FOLLOWERS🔸
(จบ)(บทที่ 17)

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา