11 ส.ค. 2021 เวลา 13:20 • ศิลปะ & ออกแบบ
ตอนที่18.Santa maria dei Miracoli แห่งดิน
XVIII. Piazza Popolo
.....
.....ตรงข้าม obilisk ที่ piazza Popolo กลางกรุงโรมนั้น เมื่อมองกลับไปทางทิศบันไดเสปน(ซึ่งบันไดเสปนเองก็มีภาพสะท้อนของอาคารคู่เช่นเดียวกัน) จะพบอาคารสองหลังคู่แฝดด้านขวาเป็น Santa maria dei Miracoliหรือ Santa maria del Popolo ส่วนด้านซ้ายเป็นSanta maria dei Montesanto ขณะที่ไปโบสถ์ด้านซ้ายมือกำลังซ่อมแซม
อาคารคู่เหนือบันไดเสปน Piazza di spagna
โอบิลิกส์ที่ Popolo
โบสถ์คู่แฝดปลายถนน
.....มองมุมนี้เป็นสามง่ามรวมโอบิลิกส์ที่อยู่กลางเป็นห้าง่ามเหมือนคนยกมือห้ามเข้าเลย แต่ดูอีกทีกลายเป็นสามง่ามอาวุธของเจ้าสมุทรโพไซดอนหรือเนปจูน
.....
ขอบคุณรูปจากกลูเกิ้ลเอิรท์
......
.......
......น่าสังเกต ว่าตำแหน่งที่ที่หนัง Angles & demons ให้สัญลักษณ์ ดินน้ำลมไฟยกเว้นไฟแล้วทุกตำแหน่งมีโอบิลิกส์ ทั้งสิ้น การจัดทำโอบิลิกส์ในโรมคงต้องมีที่มาที่ไปอย่างน้อยก็ในเหตุผลของการสร้างเมือง ที่หน้าโบสถ์เป็นลานกว้างใหญ่ ชื่อ Piazza del Popolo หลายท่านที่เคยไปโรมคงจำได้เพราะเป็น Piazza ที่อยู่ตรงแนวกับบันไดเสปนโดยตรงบันไดเสปนที่เป็นตอนก่อนนั้นชื่อ Piazza Spegna และช่วงจากตรงนั้นถึงที่นี่ เป็นย่านขายสินค้า Brandname พวกทัวร์โรมต่างๆก็นิยมเอานักท่องเที่ยวให้มาเดินชมเมืองจับจ่ายกันแถวนี้ เมื่อโรมันไปเอา (ขโมยแต่หลายตำราใช้คำว่าสั่งซื้อ) โอบิลิกส์มาจากอียิปต์ แต่ว่าไม่ได้หรอกเพราะโรมันมีอิทธิพลการเมือง เหนืออิยิปต์ไม่ว่ายุคใดสมัยใดประเทศไหนก็เป็นเช่นนั้น
.....ว่ากันว่าด้านหนึ่งของโอบิลิสก์ นั้นแกะกันในสมัย รามเสสที่2 ส่วนอีกสามด้านแกะตั้งแต่สมัยก่อนนั้นเลย ตรงนี้ถ้าใครเคยเห็นรูปโอบิบิลิกส์ที่สร้างไม่เสร็จที่อัสวาน การทำโอบิลิกส์เขาจะจัดทำจากแหล่งหินตามรูปนอนเป็นชิ้นเดียวกันโดยจัดทำรูปที่สามด้านก่อนแล้วค่อยจัดทำด้านที่สี่ให้หลุดออกจากแหล่งหิน
เสาโอบิลิกส์ที่สร้างไม่เสร็จที่อัสวาน
โรมันต้องได้รับอิทธิพลความเชื่อของอิยิปต์ในด้านจิตวิญญาณต่อเนื่อง(ความเห็นส่วนตัว) และเสาโอบิลิกส์จะต้องมีเงื่อนงำ เป็นแหล่งรวมพลังจากสิ่งที่มองไม่เห็น หรือเทพโดยเฉพาะเทพที่ทรงพลังคือสุริยะเทพ (รา) ในยุคนั้น
......ความคิดดังกล่าวเป็นความคิด เช่นเดียวกับเรื่องทีี่เกี่ยวโยงกับความแปลกของภาษาเช่นภาษา กูโบสหรือภาษาฟีนีเซียซึ่งถือว่าเป็นต้นกำเนิดของภาษาโลก และต่อเนื่องกับภาษาอื่นอีกมาก มีหลายเรื่องที่แปลกและดูเหมือนกับว่าจะมีที่มาจากแหล่งอารยธรรมเดียวกันในหลายๆกรณี
อเมริกันตอนตั้งบ้านเรือนตั้งประเทศใหม่แม้ผ่านช่วงเวลาไปนานแล้วยังผูกนำเอาความคิด ของโอบิลิกส์ของปิรามิดหรือความคิดอื่นๆในสายอารยธรรมอียิปต์ ไปไว้ที่บ้านเมืองเขาจริงๆก็คือลอกแนวคิดของโรม หอไอเฟล หอโตเกียว ก็ผูกนำความคิดต่อเนื่องของเสาโอบิลิกส์มาใช้ทั้งสิ้น ส่วนอโศกที่อินเดีย เสาอินขีลที่เมืองเหนือก็ดี เสาหลักเมืองก็ดีทำไมความคิดตะวันตก ตะวันออกมาพ้องกันอย่างน่าแปลกทีเดียว
....
.....
.....
.....
.....
ซานเปรโตรหรือเซ้นท์ปีเตอร์ถูกจับตรึงกางเขนวาดโดยCaravaggio
เซนท์จอห์นงานของ caravaggio รูปนี้อยู่ที่เบอกาเซ่ไม่ไกลจาก popolo มากนัก
งานCaravaggioแสงเงาคมชัดแลัจัดจ้าน
ตามท้องเรื่อง Angles & Demons นั้น จาก Pantheon พระเอกก็วิ่งต่อมาที่นี่โดยตีความว่าเป็นที่ที่ราฟาเอลออกแบบห้องสวดมนต์(หรือห้องบูชาอะไรทำนองนี้ ใครถือหนังสืออยู่ช่วยเติมความให้หน่อยครับ ไปอ่านแว๊บๆ ดูราฟาเอลน่าจะเป็นคนออกแบบโดมกลางของด้านในวิหารมากกว่า แต่ทีเด็ดตามความจริงของสถานที่คือที่นี่เป็นที่ออกแบบ ของทั้งราฟาเอลและBerniniและศิลปินที่มีชื่อเสียงในยุคนั้นอีกสามสี่คน
1
.........ซ้ำในโพยบอกว่า ที่สุดยอดให้ดูภาพเขียนของ Caravaggio ตอนตรึงกางเขนซานเปรโตรนั้น จะเห็นรายละเอียดขนาดฝุ่นจับ อยู่ที่กางเขนเลย Caravaggio นี่ดังมากด้วยอารมณ์เหมือนที่ในสมัยนี้เราเรียกว่าซุปเปอร์เรียลลิสติค คือเหมือนความจริง มากกว่าตัวความจริงเอง ไสตล์แกใช้แสงเงาและความมืดจัดจ้าน จนเกิดสกุลช่างของแกเองคือมีศิลปินรุ่นหลังใช้แนวความคิดของแกพัฒนากันต่อต่อมาไปในอีกหลายประเทศ แต่ผมเข้าไปในโบสถ์ก็ไม่พบรูปนี้ดูราวจะเป็นคนละโบสถ์ เมื่อเข้าไปในโบสถ์ซึ่งมีขนาดไม่ใหญ่เท่าใดนัก แปลกใจนิดหนึ่งว่าขนาดเท่านี้หรือที่รุ่นใหญ่ทั้งหลายเข้ามาช่วยออกแบบ แต่เมื่อดูฮวงจุ้ยไม่ใช่สิครับต้องใช้ศัพท์ใหม่ เมื่อดู"ทำเลที่ตั้ง"แล้ว
......น่าเชื่ออย่างหนึ่งว่าที่นี่ไม่ใช่ที่ธรรมดาการเป็นที่ตั้งของโอบิลิกส์ก็ดี กระทั่งตัวโอบิลิกส์ก็ดูจะสูงใหญ่กว่าใครๆในโรมนั้นเลย ดูจะใกล้เคียงกันก็คงที่หน้าซานเปรโตรในวาติกันนั่นทีเดียว ผังแปลนของจัตุรัสซึงเป็นรูปกลมใหญ่ก็ดีฝั่งตรงข้ามของโบสถ์เป็นสวนสาธารณะขนาดใหญ่กลางกรุงโรมกว่า 1700ไร่ ก็ดี และการวางตำแหน่งคู่ของโบสถ์สองหลัง (หมายเหตุ โบสถ์อีกอันมีรูปทรงที่คล้ายกัน มาเมื่อปีที่แล้วก็บูรณะอยู่มาปีนี้ก็ยังบูรณะไม่เสร็จ)
.....ดูจะเป็นเหมือนทฤษฎี การสร้างเมืองหรือทำเลที่ตั้งอะไรอยู่แปลกๆ อีกทั้งมีถนนสามสายหนีบพุ่งเข้าหาโอบิลิกส์ คือตรงกลางระหว่างสองอาคารและซ้ายขวา ดูเป็นการจงใจในการออกแบบแต่ขั้นต้นในการวางผังเมือง เมื่อมองปกติเราก็คงเห็นเป็นโบสถ์สองหลังแต่ถ้าถอยไปอีกระยะหนึ่งหลังโอบิลิกส์ ก็คงพอมองเห็นเป็นสามง่ามคือมีง่ามกลางอีกง่ามหนึ่งคือตัวโอบิลิกส์เอง สามง่าม คืออะไรตอนนี้นึกไม่ออกแต่ที่นึกออกตอนนี้เป็นอาวุธเจ้าสมุทร Posidon พอไปอ่านดูประวัติของการออกแบบ Piazza เหมือนว่าจะมีการออกแบบ ให้ปัดเป่าความชั่วร้ายในพื้นที่เดิมอยู่ เรื่องของสายมูเช่นนี้เป็นเรื่องที่มีกันทุกชาติทุกภาษา
เห็นเป็นรูปสามง่ามหรืออาวุธเจ้าสมุทรไหมครับ ความคิดนี้ทำให้นึกถึงรูปลูกศรจากสะพานพุทธพุงไปยังอนุสาวรีย์พระเจ้ากรุงธนบุรี อยู่บนฐายความคิดคล้ายๆกัน
จินตนาการของกาย่า
เรื่องอย่างนี้คงจะอินเตอร์เนชั่นแนล หรือเป็นกันทุกชาติทุกเผ่าพันธุ์ ไม่มีใครลอกใครไม่มีมาก่อนมาหลังเรื่องความกลัวของมนุษย์ ที่ถูกซุกซ่อนไว้ สายมูฯนี่รุ่งเรืองได้จากความกลัวของมนุษย์นี่เอง แล้วแปลงหรือแฝงออกมาในรูปลักษณ์ที่แตกต่างกัน เอแล้วสัญลักษณ์ "ดิน"ในหนังนี่มาจากไหนน่ะครับ หรือจะเป็นกาย่า (Gaia) แม่ธรณีก็เช่นเดียวกัน หรือสายธิเบตก็แม่ตารา น่าแปลกที่เป็นสตรีหมด ความมั่นคงแห่งดินและความการุณย์ของมารดาเป็เรื่องเดียวกัน ผมก็อ่านเรื่องกาย่ายังไม่แตกขอพักรบไว้ก่อนน่ะครับ
ฐานเสาโอบิลิสก์มีประติมากรรมสิงโตพ่นน้ำ
....
ผมไปยืนเขียนกลางจตุรัสแต่ไปอิงร่มเงานิดหน่อย ในร่มด้านซ้ายสุดของจตุรัสช่วงเวลาใกล้เที่ยงหาพื้นที่ร่มได้น้อยมากเชียว มีมุมนี้ที่สามารถมองเป็นสามง่ามได้เช่นเดียวกันจากตัวหอระฆังด้านหลังของโบสถ์ สามง่ามคืออาวุธของเทพเนปจูนจ้าวสมุทรหรือ ตอนหน้าเราจะตามต่อไปที่ธาตุน้ำ
ขอเต๊ะถ่ายรูปหน่อยครับ_สังเกตุดูที่ Popolo Obiliskกลางลานกว้างใหญ่นี้ยังมีแนวตรงไปหาโดมที่ฉากหลังและโดมนั้นก็คือธาตุลมหรือวาติกันนั่นเอง
ทางแก้ว
โคลงชมวัด
โคลงชมธาตุทั้งห้า

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา