25 เม.ย. 2021 เวลา 04:37 • ประวัติศาสตร์
Empress Elisabeth of Austria : ไอดอลแห่งศตวรรษที่ 19 ตอนที่ 1
ถ้าพูดถึงเจ้าหญิงที่มีชื่อเสียง และเป็นที่รู้จักกันมากที่สุดในศตวรรษที่ 20 ก็คงหนีไม่พ้นเจ้าหญิง Diana เจ้าหญิงที่เป็นที่รักของชาวอังกฤษ และผู้คนทั่วโลก เธอคือคนที่โดนเหล่าปาปารัสซี่ตามติดอย่างไม่ลดละ ชีวิตของเธอในทุกแง่มุมถูกตีแผ่บนหน้าหนังสือพิมพ์ แต่เธอก็ยังคงความสง่างาม และความเป็นผู้นำแฟชั่นไว้ได้ตลอดชีวิตของเธอ เป็นที่น่าเสียดายที่เธอต้องมาจากไปก่อนวัยอันควร ทิ้งไว้เพียงตำนานของความงามและความดีที่เธอทำไว้จนเป็นที่รักของคนทั่วโลก
แต่ถ้าเราย้อนกลับไปในศตวรรษที่ 19 ยุคที่ภาคพื้นยุโรปยังปกครองด้วยระบอบกษัตริย์ มีเจ้าหญิงมากมายหลายพระองค์ที่มีเรื่องราวน่าสนใจ แต่เจ้าหญิงที่มีชื่อเสียงโด่งดังที่สุดโดยเฉพาะในเรื่องของความงาม และมีสถานะเทียบเท่าได้กับเจ้าหญิง Diana ก็คงจะหนีไม่พ้นจักรพรรดินี Elisabeth แห่งจักรวรรดิ Austro-Hungarian อย่างแน่นอน
จักรพรรดินี Elisabeth แห่ง Austria (Source: Pinterest)
ทุกความเคลื่อนไหวของเธอ ถูกรายงานในหนังสือพิมพ์ประจำวัน เสื้อผ้าและอัญมณีที่เธอสวมใส่ เครื่องสำอางที่เธอใช้ ทรงผมที่เธอทำ รวมไปถึงสูตรการรักษาผิวพรรณ กลายมาเป็นเทรนด์ที่สาว ๆ สมัยนั้นจะต้องทำตาม
3
แต่ภายใต้ความงาม และความโด่งดังของเธอ คือผู้หญิงคนหนึ่งที่ไม่มีความสุข และต้องเผชิญกับความท้าทายต่าง ๆ ของชีวิตในราชสำนัก เธอต้องต่อสู้กับแม่สามีที่แสนโหดร้าย เธอต้องต่อสู้กับโรคบางอย่างที่ยังไม่เป็นที่เข้าใจของแพทย์ในสมัยนั้น และสุดท้ายจุดจบของเธอก็คล้าย ๆ กับเจ้าหญิง Diana ชีวิตของเธอถูกพรากไปก่อนวัยอันควรด้วยการเสียชีวิตที่ไม่ควรจะเกิดขึ้น
วันนี้ Kang’s Journal จะพาไปทุกคนไปรับฟังเรื่องราวของเธอกันครับ จักรพรรดินี Elisabeth แห่ง Austria
ชีวิตวัยเด็ก
เจ้าหญิง Elisabeth มีชื่อเต็มว่า Elisabeth Amalie Eugenie เธอเกิดในวันคริสต์มาสอีฟ 24 ธันวาคม 1837 ที่กรุง Munich ในราชอาณาจักร Bavaria โดยเธอเป็นลูกคนที่ 3 จากบรรดาลูกทั้งหมด 7 คน ของ Duke Maximillian Joseph และเจ้าหญิง Ludovika และครอบครัวของเธอเรียกเธอว่า Sisi ซึ่งเป็นชื่อที่จะติดตัวเธอไปตลอด
1
Duke Maximillian Joseph และเจ้าหญิง Ludovika พ่อแม่ของ Elisabeth (Source: Pinterest)
พ่อของเธอเป็นคนที่รักอิสระ ชอบการท่องเที่ยว ดังนั้นแทนที่จะถูกเลี้ยงดูแบบชนชั้นสูงทั่วไป เธอถูกเลี้ยงดูแบบสบาย ๆ ไม่ได้มีการเข้มงวด หรือ กดดันใดใดทั้งสิ้น พ่อของเธอมักจะพาเธอไปเยี่ยมเยียนราษฎรตามหมู่บ้านต่าง ๆ พาเธอไปงานเทศกาลของชาวบ้าน พาเธอไปตามร้านอาหารเพื่อเล่นดนตรีกับวงดนตรีพื้นบ้าน
1
การที่เธอได้คลุกคลีกับชาวบ้านมาตั้งแต่เด็ก ทำให้เธอรู้ถึงคุณค่าของชีวิตคนทั่วไป ซึ่งสิ่งนี้จะมีผลอย่างมากกับชีวิตของเธอในอนาคต นอกจากนี้เขายังสอนเธอขี่ม้า ซึ่งกลายมาเป็นกิจกรรมที่เธอโปรดปรานที่สุด
ว่ากันว่าพ่อของเธอเคยเดินทางไปอียิปต์ และของฝากที่เขานำกลับมาฝากเธอคือหัวของมัมมี่โบราณ กับเด็กชายผิวดำ 4 คนที่เขาไปซื้อมาจากตลาดค้าทาส นี่คือสิ่งแวดล้อมที่เธอเติบโตมา ส่วนแม่ของเธอนั้นก็เป็นแม่บ้านทั่วไป ที่แม้จะพยายามต่อว่าสามีของเธอถึงวิธีการเลี้ยงลูกที่ไม่เหมาะสมอยู่บ้าง ก็ทำอะไรไม่ได้มากนัก
Elisabeth ในวัย 11 ปี และน้องชายของเธอ Karl-Theodore (Source: Wikipedia)
ในเรื่องของการศึกษา Elisabeth ได้รับการศึกษาแบบชนชั้นสูงทั่วไป เธอเรียนวิชาภาษาฝรั่งเศส ภาษาอังกฤษ เล่นเปียโน เรียนประวัติศาสตร์ และบทกวี ซึ่งเธอก็ทำได้ดี แต่เธอก็มักจะแอบโดดเรียนไปขี่ม้าเล่นกับพี่น้องของเธอเป็นประจำ
ดูตัว
ในปี 1853 เจ้าหญิง Sophie ซึ่งเป็นแม่ของจักรพรรดิ Franz-Joseph แห่งจักรวรรดิ Austro-Hungarian อันยิ่งใหญ่ ต้องการที่จะหาภรรยาที่เหมาะสมให้กับลูกชายของตนเอง และเธอก็กำหนดอย่างชัดเจนว่า จะไม่ให้หญิงแปลกหน้าที่เธอคิดว่าไม่คู่ควรกับบัลลังก์ออสเตรีย มาเป็นลูกสะใภ้เด็ดขาด
เจ้าหญิง Sophie แม่ของจักรพรรดิ Franz-Joseph ซึ่งมีศักย์เป็นป้าแท้ๆ ของ Elisabeth (Source: Pinterest)
ก่อนอื่นต้องกล่าวก่อนว่าเจ้าหญิง Sophie เป็นคนเจ้ากี้เจ้าการ และเป็นที่หวั่นเกรงของคนในราชสำนักออสเตรียเป็นอย่างมาก ถึงขนาดที่มีคนให้ฉายาว่าเธอคือ “ชายคนเดียวใน Hofburg” เพราะทุกคนจะต้องเชื่อฟังคำสั่งของเธอ และใครที่ไม่ปฏิบัติจะต้องเจอกับบทลงโทษ ส่วน Franz-Joseph ก็เป็นเหมือนกับลูกแหง่ที่ยอมแม่ตนเองในทุกเรื่องไม่ว่าจะเป็นเรื่องอะไรก็ตาม
เจ้าหญิง Sophie ตัดสินใจว่าจะเลือกหลานสาวของตนเองมาเป็นลูกสะใภ้ เธอจึงหันไปหาพี่สาวของเธอ เจ้าหญิง Ludovika เพื่อที่จะหาคู่ครองที่เหมาะสม ซึ่งคนที่พระองค์หมายตานั้นคือลูกสาวคนโตที่มีนามว่า Helene และทั้งคู่ก็ถูกเชิญมายังออสเตรียเพื่อทำพิธีดูตัว และขอแต่งงานอย่างเป็นทางการ แต่เนื่องจาก Helene เกิดอาการเครียดและตื่นเต้น Elisabeth ซึ่งตอนนั้นอายุ 15 ปี จึงเดินทางไปด้วยเพื่อเป็นเพื่อนคุย และเนื่องจาก Sophie คือพี่สาวแท้ ๆ ของแม่ของพวกเธอ เจ้าหญิง Sophie จริง ๆ แล้วก็คือป้าของพวกเธอนั่นเอง
1
สาวน้อย Sisi หรือ Elisabeth ในวัย 15 ปี (Source: Wikiwand)
การเดินทางกินเวลานานหลายวัน และใช้รถม้าหลายคัน เพื่อขนเสื้อผ้าและสัมภาระต่าง ๆ แต่สุดท้ายแล้วรถม้าที่พวกเธอนั่ง กับรถขนสัมภาระก็คลาดกัน ทำให้ทุกคนมาถึงที่หมายโดยไม่มีเสื้อผ้าใหม่ให้ผลัดเปลี่ยนเลย ซ้ำร้ายทุกคนยังมีเพียงชุดสีดำสนิทติดตัวอีกต่างหาก เนื่องจากพวกเธอยังอยู่ในช่วงของการไว้ทุกข์ให้กับญาติที่เพิ่งเสียชีวิตไป
1
มีเรื่องเล่าว่าเมื่อมาถึงโรงแรมที่พัก ก่อนที่จะพบกับจักรพรรดิ Franz-Joseph มีการเรียกช่างเสริมสวยมายังโรงแรมเพื่อทำการแต่งหน้าทำผมให้กับคณะเดินทาง ซึ่งพอช่างทุกคนเข้ามา ทุกคนต่างตรงไปที่สาวน้อย Sisi ทันที พร้อมออกปากชมว่า เธอเป็นผู้หญิงที่สวยสง่า สมกับที่จะเป็นจักรพรรดินีในอนาคตมาก จนแม่ของเธอต้องบอกว่าคนที่จะเป็นจักรพรรดินีในอนาคตคือ Helene ไม่ใช่ Elisabeth
1
Helene พี่สาวของ Sisi (Source: https://alchetron.com)
อย่างไรก็ตามทั้งสามพระองค์ ต้องพบกับจักรพรรดิ Franz-Joseph ด้วยเสื้อผ้าสีดำโทรม ๆ ซึ่ง Helene ที่มีผิวพรรณที่ค่อนข้างเข้ม ดูหมองและไม่สดใส ต่างกันอย่างสิ้นเชิงกับ Elisabeth ที่มีผิวขาวผ่องดุจหิมะ และดูโดดเด่นสวยสง่าในชุดสีดำเก่า ๆ ที่เธอสวมใส่อยู่
แต่แน่นอน Helene คือคนที่แม่ได้เลือกแล้ว ดังนั้นจักรพรรดิ Franz-Joseph จึงต้องเริ่ม “ออกเดท” กับเธอก่อน ซึ่งผลปรากฏคือทั้งคู่เคมีไม่ตรงกันเลยแม้แต่น้อย แต่พระองค์กลับไปตกหลุมรัก Sisi ผู้เลอโฉมแทน พระองค์ตกหลุมรักความสดใสร่าเริง และความสามารถในการขี่ม้าของเธอเป็นอย่างมาก และสุดท้ายพระองค์จึงขัดคำสั่งแม่ โดยการกล่าวอย่างชัดเจนว่าพระองค์จะไม่แต่งงานกับ Helene แต่จะแต่งงานกับ Elisabeth หรือ Sisi เท่านั้น และถ้าไม่ได้แต่งงานกับ Elisabeth พระองค์จะไม่แต่งงานกับหญิงใดอีกเลย และครั้งนี้เจ้าหญิง Sophie แม่ของพระองค์ต้องพ่ายแพ้ และยอมลูกชายตนเอง
2
กษัตริย์ Franz-Joseph และ Elisabeth หลังแต่งงานใหม่ ๆ (Source: Pinterest)
อีก 5 วันต่อมา มีการประกาศถึงการหมั้นหมายของจักรพรรดิ Franz-Joseph ในวัย 23 ปี กับ Elisabeth ในวัย 15 ปี และอีกสามวันต่อมาทั้งคู่ก็เข้าสู่ประตูวิวาห์ ด้วยเงินสินสอดจากฝ่ายชายที่มากถึง 240,000 ดอลล่าร์
สู่การเป็นจักรพรรดินี
หลังจากแต่งงาน Elisabeth ต้องเรียนรู้วิถีชีวิตในราชสำนักออสเตรีย รวมถึงประวัติศาสตร์ของอาณาจักร Austro-Hungarian ในระยะเวลาเพียงไม่กี่เดือน ตอนนั้นเธอเพิ่งจะรับรู้ว่าอาณาจักร Austro-Hungarian ไม่ได้มีแค่เวียนนา แต่มีขนาดใหญ่กินพื้นที่ยุโรปตะวันออก และอิตาลีบางส่วนอีกด้วย
จากนั้นเธอต้องเดินทางจากบ้านเกิดเมืองนอนที่ Bavaria สู่ราชสำนักออสเตรีย ในขณะที่เดินทางออกจาก Bavaria ชาวบ้านจากหลายหมู่บ้านต่างออกมาตั้งขบวนส่งเธอจนกระทั่งถึงชายแดน ซึ่งในช่วงสุดท้ายของการเดินทางนั้นจักรพรรดิ Franz-Joseph สั่งให้คนสวนของพระราชวัง Schönbrunn พระราชวังหลวงใจกลางกรุงเวียนนา ตัดดอกกุหลาบในสวนทั้งหมดมาประดับเรือพระที่นั่งที่จะนำไปรับตัวเจ้าสาวคนสวยในการเดินทางช่วงสุดท้าย
จักรพรรดินี Elisabeth แห่งออสเตรีย ในวัยสาว (Source: Pinterest)
หลังจากเข้ามาสู่ราชสำนัก ชีวิตของเธอก็เปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังมือทันที Sisi สาวน้อยวัยรุ่นที่ได้รับการเลี้ยงดูมาอย่างอิสระ และมีนิสัยขี้อาย ต้องเผชิญกับชีวิตที่เต็มไปด้วยพิธีรีตรอง และขั้นตอนต่าง ๆ พระองค์ต้องเรียนรู้มารยาท การออกงานสังคม และพบปะผู้คนต่าง ๆ มากมาย ซึ่งเป็นเรื่องที่เธอไม่ชอบเป็นอย่างมาก จนทำให้สุดท้ายสุขภาพของเธอก็เริ่มทรุดโทรมลง เธอมักจะไอ ป่วยกระเสาะกระแสะ และว่ากันว่าเธอจะมีอาการเครียดทุกครั้งที่ต้องเดินลงบันไดวนแคบ ๆ ในพระราชวัง
แต่สิ่งที่เลวร้ายที่สุดที่เธอต้องเผชิญก็เห็นจะเป็นเจ้าหญิง Sophie แม่สามีหรือป้าของเธอเอง อย่าลืมว่าเธอยังคงมีความคับแค้นใจอยู่ที่ลูกชายของตัวเองไม่เลือกคนที่เธอเลือก แต่กลับไปเลือก Elisabeth แทน ดังนั้นคนที่จะมารองรับความแค้นของเธอก็จะเป็นใครไปไม่ได้นอกจากสาวน้อย Elisabeth หีือ Sisi ผู้น่าสงสารนั่นเอง
จักรพรรดินี Elisabeth แห่งออสเตรีย ในวัยสาว (Source: Pinterest)
แม่สามีใจร้าย
หลังจากเข้ามาสู่ราชสำนักออสเตรียได้ไม่นาน เธอก็ตั้งครรภ์ลูกคนแรก ประจวบเหมาะกับตอนนั้นสามีของเธอ กษัตริย์ Franz-Joseph มีภารกิจต้องไปทำงานนอกเมือง เธอจึงต้องถูกทิ้งไว้กับบรรดาญาติของพระองค์ และแม่สามีของเธอ
เธอถูกห้ามไม่ให้ขี่ม้าในสนามของพระราชวัง เพราะแม่สามีบอกว่าการขี่ม้ากระโดดไปมาต่อหน้าธารกำนัลเป็นสิ่งที่เชื้อพระวงศ์ไม่ควรที่จะกระทำ เธอถูกพาไปตระเวนรอบเมืองเวียนนา เพื่อที่พสกนิกรจะสามารถเห็นท้องที่ค่อย ๆ เริ่มโตขึ้นของเธอ และเมื่อแพทย์บอกให้พระองค์เดินเล่นออกกำลังกาย เธอถูกบังคับให้เดินเล่นได้ที่เฉพาะบริเวณประตูหน้าของพระราชวังเท่านั้น เพื่อที่พสกนิกรจะสามารถเห็นเธอได้ ซึ่งทั้งหมดทั้งมวลนี้เป็นสิ่งที่ทรมานคนขี้อายอย่าง Sisi เป็นอย่างมาก
Elisabeth ถูกบังคับไม่ให้ขี่ม้า กีฬาที่เธอโปรดปรานมากที่สุด ในช่วงแรกที่มาถึงเวียนนา (Source: Pinterest)
นอกจากนี้ยังมีเรื่องเล่าอีกว่า Sisi ซึ่งเป็นคนที่รักสัตว์มาก ถูกห้ามไม่ให้ยุ่งเกี่ยวกับสัตว์ใดใดทั้งสิ้นขณะตั้งครรภ์ เพราะแม่สามีเธอบอกว่าการมองสัตว์บ่อย ๆ จะทำให้ลูกตนเองออกมาหน้าตาเหมือนกับสัตว์ สิ่งที่เธอควรทำคือจ้องภาพวาดขององค์จักรพรรดิบ่อย ๆ แทน
ในตอนแรกกษัตริย์ Franz-Joseph ก็พอทราบถึงชื่อเสียงของแม่ตนเอง ได้สั่งให้พี่น้องของพระองค์พยายามทำให้ Elisabeth รู้สึกสบายใจมากที่สุด ในตอนแรกทุกอย่างเหมือนจะไปได้ด้วยดี แต่สุดท้ายพี่น้องของพระองค์ทุกคนก็ถูกแม่ตนเอง สั่งให้ไปทำภารกิจ “ด่วน” อื่น ๆ หมด
เพียง 10 เดือนหลังจากแต่งงาน Elisabeth ก็ให้กำเนิดลูกคนแรก เป็นลูกสาวนามว่า Sophie แน่นอนเธอต้องอยากเลี้ยงดูลูกด้วยตนเอง แต่ทันทีที่ลูกของเธอคลอดออกมา แม่สามีของเธอก็แย่งลูกของเธอไปเลี้ยงเองทันที และตัวแม่สามีเองเนี่ยแหละที่ตั้งชื่อลูกสาวคนนี้ว่า Sophie ตามชื่อของตัวเองโดยที่ไม่ได้ถาม Elisabeth เลยด้วยซ้ำ และเธอก็ไม่ยอมให้ Elisabeth ให้นม หรือยุ่งเกี่ยวใดใดกับการเลี้ยงดูลูกของเธอเลย
พระราชวัง Schönbrunn พระราชวังหลวงของราชวงศ์ออสเตรียใจกลางเวียนนา สถานที่อยู่ของ Elisabeth และครอบครัวของเธอ (Source: Pinterest)
ถ้าเธอต้องการจะเห็นหน้าลูกของเธอ เธอจะได้รับอนุญาติในระยะเวลาจำกัด และต้องอยู่ภายใต้ความดูแลของแม่สามีเท่านั้น นอกจากนี้แทบทุกคนที่อยู่รอบตัวเธอต่างก็เป็นสายสืบให้กับแม่สามีของเธอทั้งสิ้น ดังนั้นเธอจึงแทบจะไม่มีเพื่อนเลยตอนที่เธออาศัยอยู่ในวัง เวลาเธอเดินเข้ามาในห้อง ทุกคนจะเงียบพร้อมกับจ้องมองเธอเป็นตาเดียว Elisabeth เด็กสาวอายุเพียง 17 ปี ต้องมาผจญโลกแห่งความเป็นจริงที่เธอแทบจะทนไม่ได้
อย่างไรก็ตามอีก 1 ปีถัดมา Elisabeth ให้กำเนิดลูกสาวคนที่สอง ครั้งนี้เธอตั้งชื่อลูกว่า Gisela และครั้งนี้ Gisela ก็ถูกพรากไปจากอ้อมอกเธอเช่นกัน
จักรพรรดินี Elisabeth จักรพรรดิ Franz-Joseph และลูกสาว 2 คนของทั้งคู่ Sophie และ Gisela (Source: https://www.palaces-of-europe.com/empress-sisi.html)
ความร้ายของแม่สามีตัวแสบยังไม่หมดแค่นั้น เธอมักจะเรียก Elisabeth ว่า “Silly Young Mother” และที่ร้ายที่สุดคือ วันหนึ่ง Elisabeth ไปพบแผ่นพับฉบับหนึ่งถูกทิ้งไว้บนโต๊ะในห้องนอนของเธอ โดยมีใจความคร่าว ๆ ว่า “หน้าที่ของราชินีที่ดีคือการมีรัชทายาทให้กับราชบัลลังก์ สิ่งที่ราชินีควรไขว่คว้ามากที่สุดคือการมีมกุฎราชกุมารที่จะสืบทอดบัลลังก์ต่อ เธอไม่ควรที่จะเข้าไปยุ่งเรื่องของการบริหารบ้านเมือง ซึ่งหน้าที่นี้ไม่ใช่หน้าที่ของสตรี และถ้าหากราชินีไม่สามารถให้ลูกชายได้ เธอก็จะเป็นเพียงคนแปลกหน้าต่างชาติ และสมควรที่จะถูกส่งกลับไปยังบ้านเกิดเมืองนอนที่เธอจากมา เพราะเธอจะต้องพยายามเอาชนะกษัตริย์ด้วยวิธีการสกปรกอื่น ๆ ซึ่งจะทำให้เกิดความวุ่นวายกับราชวงศ์ และจักรวรรดิได้”
1
ไม่มีการระบุตัวผู้เขียนโน๊ตแผ่นนี้ แต่เป็นที่ค่อนข้างแน่ชัดว่า จะเป็นใครอื่นไปไม่ได้นอกจากแม่สามีของเธอเอง การเขียนถึงการที่สตรีไม่ควรที่จะเข้าไปยุ่งเรื่องการบริหารบ้านเมืองนั้น เป็นเพราะว่า Elisabeth มีบทบาทในเรื่องของการบริหารบ้านเมืองของสามีของเธอจริง ๆ โดยเฉพาะเรื่องของนโยบายต่างประเท
จักรพรรดินี Elisabeth แห่งออสเตรีย (Source: Pinterest)
ตัวกลางไกล่เกลี่ย
ยกตัวอย่างเช่นความสัมพันธ์กับอิตาลี และฮังการี ซึ่งตอนนั้นอยู่ภายใต้การปกครองของจักรวรรดิ Austro-Hungarian
แผนที่ของจักรวรรดิ Austro-Hungarian ในสมัยขงจักรพรรดิ Franz-Joseph (Source: Pinterest)
ตอนที่เธอและจักรพรรดิ Franz-Joseph ไปเยือนอิตาลีนั้น แทนที่จะมีการจัดงานต้อนรับอย่างสมพระเกียรติ กลับไม่มีพสกนิกรคนไหนมารอรับทั้งคู่เลย ซ้ำร้ายยังแทบไม่มีแขกมาเยือนทั้งคู่ที่ที่พักเลยด้วยซ้ำ ทำให้ Elisabeth เริ่มสงสัยว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่
เธอเริ่มทำการสืบสวนของเธอเอง และด้วยความที่เธอเป็นคนสวย น่ารัก และดูเข้าถึงง่าย เรื่องราวต่าง ๆ จึงค่อย ๆ ถูกเปิดเผยออกมาเช่น ทุกครั้งที่มีการแสดงโอเปร่า จะมีทหารถือปืนอยู่หน้าเวทีหันหน้าเข้าหาคนดู เพื่อที่จะยิงใครก็ตามที่ไม่ลุกขึ้นยืนตอนเพลงชาติของจักรวรรดิบรรเลงขึ้น และเธอพบว่าเมื่อมีใครก็ตามถูกจับ โดยเฉพาะในเรื่องของการเมือง ทุกคนจะถูกจับในนามของสมเด็จพระจักรพรรดิทั้งสิ้น จึงไม่แปลกที่คนอิตาลีจะจงเกลียดจงชังราชวงศ์ออสเตรียเป็นอย่างมาก
จักรพรรดินี Elisabeth แห่งออสเตรีย (Source: Pinterest)
ดังนั้นเธอจึงตัดสินใจพูดเกลี้ยกล่อมให้กษัตริย์ Franz-Joseph ลดโทษให้กับนักโทษทางการเมืองที่พยายามแยกรัฐอิตาลีออกจากจักรวรรดิ มีการคืนที่ดินที่ทางการยึดมาโดยมิชอบ มีการลดการเก็บภาษี ทั้งหมดทั้งมวลก็เพื่อเป็นการแสดงความเมตตาปราณีและจริงใจกับคนในปกครอง ซึ่งพระองค์ก็ยอมทำตาม และในที่สุดในช่วงท้ายของการเดินทาง ภาพลักษณ์ของพระองค์และ Elisabeth ก็ดีขึ้นมากในสายตาของชาวอิตาลี โดยเฉพาะ Elisabeth ที่สำนักข่าวต่างตีพิมพ์ว่าเธอร้องไห้ฟูมฟาย ลงไปกอดเข่าสามีของพระนาง พร้อมกับขอร้องโอดครวญให้ช่วยเหลือชาวอิตาลี
แต่ถ้าคิดว่าเธอมีอิทธิพลต่อสามีของเธอในอิตาลีแล้ว อิทธิพลของเธอในฮังการีนั้น มีมากกว่ามากนัก เพราะในปี 1857 เธอมีโอกาสเดินทางไปฮังการี เพื่อเยี่ยมเยียนพสกนิกรกับสามีและลูกสาว 2 คน และเธอก็ตกหลุมรักดินแดนแห่งนี้ทันที เธอกล่าวว่า เธอรักในบรรดาผู้คนที่ยิ้มแย้มแจ่มใส ผู้คนที่รักและภูมิใจในความเป็นฮังกาเรี่ยนของตนเอง ชนบทอันสวยงามเงียบสงบ และที่สำคัญที่สุดชีวิตที่ปราศจากกฎเกณฑ์ และพิธีรีตรองอันน่าอึดอัดของราชสำนักออสเตรีย
จักรพรรดินี Elisabeth แห่งออสเตรีย (Source: Pinterest)
หลังจากการเยี่ยมเยียนในครั้งนั้นเธอตัดสินใจเรียนภาษาฮังกาเรี่ยน และมักจะบริจาคทรัพย์สินส่วนพระองค์มาสร้างสาธารณูปโภคต่าง ๆ ให้กับฮังการี สิ่งเหล่านี้ทำให้ชาวฮังกาเรี่ยนรักเธอมาก และแทนที่จะมีรูปของ Franz-Joseph ผู้นำของจักรวรรดิอยู่ตามบ้าน หรือตามโต๊ะทำงาน รูปนั้นกลับเป็นรูปของจักรพรรดินี Elisabeth แทน
แต่แล้วโชคร้ายก็มาเยือนเธอ หลังจากอยู่ที่ฮังการีได้ไม่นานนัก เธอ สามี และลูกสาวทั้งสองของเธอป่วยหนัก ลูกสาวคนที่สองของเธอ Gisela กลับมาหายดี แต่ลูกสาวคนโตของเธอ Sophie หลังจากเจ็บไข้อยู่หลายวัน ในที่สุดก็เสียชีวิตลงในอ้อมอกของเธอเอง เรื่องนี้ทำให้เธอเสียใจมาก หัวใจคนเป็นแม่แหลกสลาย และกลายมาเป็นบาดแผลใหญ่ในใจของเธอ ตราบจนวันที่เธอเสียชีวิต
ลูกสาวคนแรกของเธอ Sophie ที่ต้องมาจากไปก่อนเวลาอันควร (Source: https://www.palaces-of-europe.com/empress-sisi.html)
เมื่อข่าวการเสียชีวิตเดินทางไปถึงหูแม่สามี แม่สามีของเธอก็ยิ่งตำหนิเธอถึงความไร้ความสามารถในการเป็นแม่คนเข้าไปอีก สิ่งแรกที่เธอพูดเมื่อเจอ Elisabeth คือ “สวรรค์ได้พรากลูกเธอไป เพราะความเย่อหยิ่งของเธอนี่แหละ” ลามปามไปถึงเรื่องที่เธอเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับคนฮังการีและอิตาลี ซึ่งในสายตาของเธอเป็นพวกชั้นต่ำจากบ้านนอก ทั้งหมดนี้ทำให้ Elisabeth เครียดหนักจนร่างกายอ่อนแอ เธอเริ่มที่จะละเลยลูกสาวคนที่ 2 ของเธอ ซึ่งความสัมพันธ์ระหว่างเธอกับ Gisela นั้น ไม่ค่อยต่อติดอีกเลยหลังจากนั้น
ว่ากันว่า มาถึงตอนนี้เธอเครียดมากจนกระทั่งทานอะไรไม่ลง และมักจะหลีกเลี่ยงการนอนร่วมเตียงกับสามีของเธอ แต่ไม่น่าเชื่อว่าสุดท้ายในปี 1857 เธอตั้งครรภ์อีกครั้ง และในปี 1858 เธอให้กำเนิดลูกชายชื่อว่า Rudolf
ในวันนั้น ทั่วกรุงเวียนนาเต็มไปด้วยความปลื้มปิติ สลุท 101 นัดถูกยิงขึ้นฟ้า เพื่อประกาศว่าจักรวรรดิ Austro-Hungarian มีมกุฎราชกุมารแล้ว ในที่สุดลูกชายที่เธอ และราชสำนักรอมานานแสนนานก็ได้ถือกำเนิดมา และสิ่งนี้เองที่ทำให้เธอเริ่มมีบทบาทในราชสำนักมากขึ้น และสิ่งที่เธอดีใจที่สุดน่าจะหนีไม่พ้นการที่แม่สามีของเธอ จะได้เลิกบ่นเธอเสียที แต่เรื่องราวของ Rudolf ยังไม่จบเพียงแค่นี้ ยังมีเหตุการณ์ที่จะมาทำให้หัวใจของเธอต้องแหลกสลายอีกครั้งในอนาคต
จักรพรรดิ Franz-Joseph, มกุฎราชกุมาร Rudolf และจักรพรรดินี Elisabeth แห่งออสเตรีย (Source: Pinterest)
ไดเอท
คิดว่าผู้หญิงที่สูง 173 เซนติเมตร ควรจะมีน้ำหนักเท่าไรดี? 60-70 กิโลกรัม อาจจะฟังดูเป็นน้ำหนักที่เหมาะสมสำหรับผู้หญิงทั่วไป แต่เชื่อหรือไม่ว่า Elisabeth มีน้ำหนักประมาณ 50 กิโลกรัมเท่านั้นเอง แม้ว่าในตอนหลังเธอจะมีลูกถึง 4 คน น้ำหนักเธอก็แทบไม่ขึ้นเลย เธอทำได้ยังไงกัน ? คำตอบอยู่ที่การกิน การออกกำลังกาย และการแต่งกายของเธอ
หลังจากที่ลูกสาวคนโตของเธอ Sophie เสียชีวิต Elisabeth ประสบกับภาวะเครียดอย่างหนัก และเริ่มที่จะปฏิเสธการทานอาหาร เธอเริ่มที่จะไม่มาร่วมโต๊ะอาหาร หรือถ้ามาร่วมเธอก็จะทานเพียงแค่นิดเดียว และเลือกที่จะทานอาหารที่เธอคิดสูตรเองเช่น ซุปใสที่ได้มาจากน้ำที่บีบมาจากเนื้อสเต๊ก นมสดกับไข่ต้มบดผสมส้ม เป็นต้น และถ้าน้ำหนักเธอทำท่าว่าจะเกิน 50 กิโลกรัมเมื่อไร เธอจะเริ่มอดอาหารทันที โดยบางวันเธอไม่ทานอะไรเลยนอกจากน้ำเปล่า
ไข่ต้มกับนม เป็นหนึ่งในเมนูไดเอทของ Elisabeth (Source: https://www.kreiderfarms.com)
ตลอดชีวิตของเธอ ถ้าเธอเริ่มเครียดเมื่อไร เธอก็จะเริ่มอดอาหารทันที ซึ่งทำให้ร่างกายของเธออ่อนแอลงเรื่อย ๆ จนถึงขั้นขาดสารอาหาร และเป็นที่มาของอาการต่าง ๆ ที่เธอมักจะเป็นเมื่ออายุมากขึ้น
จักรพรรดินี Elisabeth แห่งออสเตรีย (Source: Pinterest)
แฟชั่นสยองขวัญ
มาถึงเรื่องของการแต่งกายกันบ้าง ในสมัยนั้นผู้หญิงชั้นสูงชาวยุโรปมักจะแต่งกาย โดยใช้เทคนิคที่เรียกว่า Lacing ซึ่งเป็นการทำให้เสื้อผ้ารัดรูปด้วยการผูกเชือก (คล้ายกับการผูกเชือกรองเท้า) แต่สิ่งที่เธอเลือกไม่ใช่ Lacing ธรรมดา แต่เป็น Tight Lacing ถ้าแปลตรง ๆ ก็คือการรัดแบบแน่นหนา
เพื่อให้เอวของเธอเล็กที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ เธอสั่ง Corset หรือที่รัดตัวมาจากปารีส ในสมัยนั้น Corset ส่วนใหญ่จะทำจากผ้าธรรมดา ที่เมื่อรัดด้วยเชือกอาจจะมีการคลายตัวได้ เธอจึงสั่ง Corset ที่ทำจากหนังแทน เพื่อที่จะให้เมื่อผูกเชือกแล้วจะสามารถคงรูปทรงได้ตามที่เธอต้องการ ในการใส่แต่ละครั้งนั้นเธอจะต้องยืนเฉย ๆ ให้คนรับใช้ของเธอคอยผูกเชือกให้ทีละเส้น ๆ รัดไปเรื่อย ๆ ซึ่งใช้เวลานานเป็นชั่วโมง
1
ด้วยการรัดตัวแบบนี้ ประกอบกับการอดอาหารอย่างบ้าคลั่ง ทำให้ในบางช่วงเวลา เอวของเธอนั้นเล็กเพียงแค่ 16 นิ้วเท่านั้น
ในบางช่วงเวลา เอวของ Elisabeth นั้นเล็กเพียง 16 นิ้วเท่านั้น (Source: beautygypsy.com)
คนที่โมโหมากกับเรื่องนี้จะเป็นใครไปไม่ได้นอกจากแม่สามีของเธอ เพราะเธอต้องการให้ Elisabeth ตั้งครรภ์อีกครั้ง ซึ่งการแต่งกายแบบนี้คงไม่น่าจะช่วยให้เธอมีลูกได้ง่ายนัก
เมื่อเธอมีอายุมากขึ้น และเธอเลิกใส่เสื้อผ้าด้วยวิธีการ Tight Lacing แล้ว แต่เอวของเธอก็ไม่เคยวัดได้เกิน 18.5-19.5 นิ้วเลย มาถึงตอนนี้คาดว่าเธอน่ามีอาการ “กลัวความอ้วน” และเธอก็พาลสอนลูกสาวเธอให้กลัวความอ้วนด้วยเช่นกัน ดังนั้นเมื่อลูกสาวคนเล็กของเธอ เจอกับสมเด็จพระราชินีนาถ Victoria ของอังกฤษ ผุ้มีพระวรกายอ้วนใหญ่เป็นครั้งแรก เธอถึงกับตกใจและกรีดร้องออกมา
เอวคิดกิ่วของ Elisabeth ที่กลายมาเป็นเอกลักษณ์ของเธอ (Source: Pinterest)
ถึงแม้การแต่งกายของเธอจะฟังดูน่าสยดสยองแค่ไหน แต่เธอก็คือผู้นำแฟชั่นที่ทุกคนจับตามอง ในช่วงที่เธอเป็นวัยรุ่นนั้น หญิงชั้นสูงของยุโรปมักจะใส่กระโปรงสุ่มที่ทำให้ด้านล่างดูพองใหญ่ แต่เธอเริ่มเป็นผู้นำเทรนด์ด้วยการใส่กระโปรงที่แคบลง พร้อม ๆ กับการใช้ Tight Lacing เพื่อเน้นสัดส่วนของผู้หญิงให้โดดเด่นมากขึ้น
เธอมักจะไม่ใส่ Underlinen หรือซับใน หรือเอาซับในเย็บติดกับเสื้อผ้าไปเลย เพื่อให้เสื้อผ้าของเธอเรียบและพองน้อยที่สุด เรียกได้ว่าเธอคือคนแรก ๆ ที่ทำให้ผู้หญิงไม่อายที่จะโชว์รูปร่างของตัวเอง และเอวคอดกิ่วของเธอก็กลายมาเป็นเอกลักษณ์ของเธอ พร้อม ๆ กับผมยาวสลวยของเธอ ตราบจนถึงทุกวันนี้
นอกจากนั้นเธอเป็นจักรพรรดินีที่ไม่สวมใส่เสื้อผ้าราคาแพง ไม่เปลี่ยนเสื้อผ้าระหว่างวันตามธรรมเนียมของราชสำนัก และชุดโปรดที่พระองค์มักสวมใส่คือชุดขี่ม้าสำหรับสตรี คุมโทนสีเดียว แตกต่างกับค่านิยมของผู้หญิงที่ต้องสวมเครื่องประดับหลากสีสันในสมัยนั้น
Elisabeth ในชุดขี่ม้าที่เธอโปรดปราน กับจักรพรรดิ Franz-Joseph (Source: strangeflowers.wordpress.com/2012/03/21/sissi-on-horseback)
อีกหนึ่งแฟชั่นเทรนด์ที่เธอเป็นคนสร้างขึ้นมาคือ Sisi Star เครื่องประดับผมทำจากเพชร และไข่มุกเป็นรูปดาว 10 แฉก แม้ว่าจะเป็นอัญมณีชิ้นเล็ก และไม่มีค่ามากนัก เมื่อเทียบกับมงกุฎหรืออัญมณีอื่น ๆ แต่ก็ทำให้เข็มกลัดประดับผมกลายมาเป็นแฟชั้นเทรนด์สำหรับราชวงศ์ต่าง ๆ ในยุโรป ซึงจะขอไปพูดถึงอีกทีในตอนท้ายของบทความนะครับ
เป็นยังไงกันบ้างครับกับตอนแรกของเรื่องราวของจักรพรรดินี Elisabeth แห่งออสเตรีย จากสาวน้อยวัย 15 ปี สดใสร่าเริง ต้องมาเจอกับชีวิตที่เต็มไปด้วยความกดดัน และแม่สามีใจร้าย จนทำให้เธอเครียดจัดจนร่างกายและจิตใจของเธออ่อนแอลง
1
ตอนหน้า ลองมาดูกันครับว่าเธอจะสามารถเอาชนะแม่สามีของเธอได้หรือไม่ ในเมื่อตอนนี้เธอได้มอบลูกชายให้กับราชวงศ์แล้ว พร้อมกับมาดูสิ่งอื่น ๆ ที่เธอทำที่ทำให้เธอกลายเป็นที่จับตามองของนักข่าวทุกคนในยุคนั้นกัน
สามารถติดตามอ่านตอนที่ 2 ได้ที่นี่
Podcast:
Podcast: The history chicks EP159&160 "Empress Sisi of Austria"

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา