26 เม.ย. 2021 เวลา 14:34 • ประวัติศาสตร์
Empress Elisabeth of Austria : ไอดอลแห่งศตวรรษที่ 19 ตอนที่ 2
มาถึงตอนที่ 2 กับเรื่องราวของจักรพรรดินี Elisabeth แห่งออสเตรียนะครับ ครั้งนี้มาดูกันว่าเธอจะสามารถเอาชนะแม่สามีใจร้ายของเธอได้หรือไม่ และเธอจะเลือกวิธีเอาตัวรอดจากวิถีชีวิตที่น่าเบื่อของราชสำนักออสเตรียได้อย่างไร
สามารถอ่านตอนแรกได้ที่นี่ครับ https://www.blockdit.com/posts/6081307e30b291075e441f44
ออกกำลังกายอย่างบ้าคลั่ง
นอกจากเรื่องของแฟชั่นแล้ว Elisabeth ยังเป็นคนที่รักการออกกำลังกาย ถึงขั้นเรียกว่าเสพย์ติดเลยก็ได้ ปราสาทราชวังทุกแห่งที่เธออาศัยอยู่ จะต้องมีโรงยิม และในห้องนอนของเธอจะต้องมีคาน และเสื่อปูพร้อม เพื่อให้เธอฝึกเล่นยิมนาสติก และออกกำลังกายต่าง ๆ ได้
ภาพห้องบรรทมของ Elisabeth ที่มีอุปกรณ์สำหรับเล่นยิมนาสติกอยู่ (Source: https://www.habsburger.net/)
แต่กีฬาที่เธอโปรดปรานที่สุดก็เห็นจะหนีไม่พ้นการขี่ม้า บางวันเธอจะออกไปขี่ม้าเป็นชั่วโมง ๆ และคาดกันว่าเธอน่าจะเป็นนักกีฬาขี่ม้าหญิงที่เก่งที่สุดในยุคนั้น และเมื่อเธอไม่สามารถขี่ม้าได้เนื่องจากปัญหาเกี่ยวกับหมอนรองกระดูกเมื่อเธออายุมากขึ้น เธอจะใช้เวลาหลายชั่วโมงต่อวันในการเดินเร็ว ไปตามภูเขา และป่ารอบ ๆ เมือง ไม่ว่าฝนจะตกหรือแดดจะออกก็ตาม และสุดท้ายเธอเริ่มเรียนวิชาฟันดาบ ตอนที่เธออายุ 50 ปี และเป็นที่เลื่องลือว่าเธอทำได้ไม่เลวเลยทีเดียว
1
การออกกำลังกายอย่างบ้าคลั่งของพระองค์ ผนวกกับการทานอาหารน้อยทำให้น้ำหนักของพระองค์เคยลดลงต่ำสุดถึง 43.5 กิโลกรัม ซึ่งถือว่าเข้าขั้นขาดสารอาหาร สำหรับผู้หญิงที่สูงถึง 173 เซนติเมตร และในช่วงหลัง ๆ เธอจะหมกมุ่นกับน้ำหนักตัวเองมากถึงขนาดชั่งน้ำหนักวันละ 3 ครั้ง
ภาพของ Elisabeth ขณะขี่ม้า เชื่อกันว่าเธอน่าจะเป็นนักขี่ม้าหญิงที่เก่งที่สุดในยุคนั้น (Source: Pinterest)
แต่ถึงแม้ว่าเธอจะทานอาหารน้อย แต่มีบันทึกไว้ว่าในบางเวลาเธอจะรับประทานอาหารอย่างบ้าคลั่ง ซึ่งคาดว่าเธอคงจะไปอาเจียนเอาออกในห้องน้ำ แถมพระองค์ยังสั่งให้มีการสร้างบันไดเวียนจากห้องบรรทม ตรงลงมายังห้องครัวในบ้านที่เธออยู่บางหลังด้วย
ในปัจจุบันเป็นที่ทราบกันดีว่าพระอาการของพระองค์นั้นคืออาการ Anorexia และ Bulimia ผสมกัน ซึ่งเป็นอาการที่จะทำให้ผู้ป่วยมักจะเห็นรูปร่างคนเองที่ผิดเพี้ยนไป เช่น จากผอมเป็นอ้วน และคิดว่าการทำให้ตัวเองดูดี จะต้องงดอาหาร ส่งผลให้เกิดการกินอาหารที่ผิดปกติ
ภาพของ Elisabeth กับสุนัขของเธอ เอวคอดกิ่วของเธอกลายมาเป็นเอกลักษณ์ที่ติดตัวเธอมาจนถึงปัจจุบัน (Source: Pinterest)
เป็นผู้หญิง อย่าหยุดสวย
แน่นอนว่าการที่ผู้หญิงจะรักษาความงามและความอ่อนเยาว์ให้อยู่คู่กับตนเองให้นานที่สุด เป็นเรื่องที่อยู่คู่กับมนุษย์มานานแล้ว และในสมัยที่ไม่ได้มีวิวัฒนาการเหมือนในปัจจุบัน ตำราเสริมความงามจึงมาจากภูมิปัญญาชาวบ้านล้วน ๆ หรือในที่นี้ ภูมิปัญญาชาววังนั่นเอง
อย่างแรกเลยคือผม ผมของ Elisabeth เป็นหนึ่งในเอกลักษณ์ของเธอ ผมสีน้ำตาลยาวสลวยจนถึงข้อเท้าเป็นที่อิจฉาของสตรีทั่วทั้งยุโรป และเธอบอกว่าผมของเธอนี่แหละคือมงกุฎของเธอเอง แต่หารู้ไม่ว่าขั้นตอนการรักษาผมนั้นไม่ง่ายเลย
Elisabeth กับผมยาวสลวยกลายมาเป็นเอกลักษณ์ของเธอ (Source: Pinterest)
ทุก ๆ วัน เธอจะต้องใช้เวลาถึง 3 ชั่วโมงทุกเช้าในการจัดการกับเส้นผมของเธอ ช่างผมของเธอจะต้องสวมถุงมือสีขาวเสมอ และหลังจากจัดแต่งทรงผมเสร็จ ผมทุกเส้นที่ร่วงหลุดออกมาจะต้องถูกนำมาใส่ในถ้วยสีเงิน เพื่อให้ Elisabeth สำรวจ ว่ากันว่าเพื่อเป็นการหลอกองค์จักรพรรดินี ช่างผมของเธอมักจะแอบเก็บผมที่ร่วงหลุดไปแปะไว้กับกาวสองหน้าที่เธอแอบซ่อนไว้ใต้ผ้าคลุมของเธอเป็นประจำ
นอกจากนั้น ทุก ๆ 3 สัปดาห์ ผมของเธอจะต้องถูกหมักด้วยไข่และเหล้าบรั่นดี ซึ่งเป็นกระบวนการที่กินเวลาทั้งวัน ในวันนั้นหมายกำหนดการของเธอทุกอย่างจะถูกยกเลิก เพื่อให้ผมของเธอได้รับการดูแลอย่างดีที่สุด
Elisabeth กับผมยาวสลวยกลายมาเป็นเอกลักษณ์ของเธอ (Source: Pinterest)
การที่ผมของเธอยาวมาก ทำให้ต้องมีอุปกรณ์ต่าง ๆ ที่ใช้ในการจัดแต่งทรงผม ไม่ว่าจะเป็นโบว์ กิ๊บติดผม เข็มกลัด รวมไปถึงเครื่องประดับผมต่าง ๆ จำนวนมาก Elisabeth จึงมักจะบ่นบ่อย ๆ ถึงศีรษะอันหนักอึ้งของเธอ และบางวันเธอก็จะมีอาการปวดหัว และวิธีการแก้คือเธอจะนำผมของเธอผูกไว้กับขื่อเพื่อลดน้ำหนัก และเพื่อให้อากาศที่บริเวณโคนผมของเธอถ่ายเทสะดวก และอาการปวดหัวของเธอทุเลาลง
แต่เวลาที่ใช้ในการทำผมของเธอก็ไม่เสียเปล่า เธอใช้เวลาช่วงนี้ในการเรียนภาษาต่าง ๆ เธอสามารถสนทนาภาษาอังกฤษ ฝรั่งเศส และฮังกาเรี่ยนได้อย่างคล่องแคล่ว และเธอยังเรียนภาษากรีกอีกด้วย นับว่าเธอเป็นเจ้าหญิงที่ใฝ่รู้เป็นอย่างมากในสมัยนั้น
และก็ในช่วงเวลาของการทำผมของเธอนี่เอง ที่เธอเป็นแบบวาดภาพให้กับจิตรกรของราชวงศ์ โดยบางภาพเป็นภาพที่วาดขึ้นสำหรับ Franz-Joseph เท่านั้น และกลายมาเป็นหนึ่งในภาพวาดของเธอที่มีชื่อเสียงที่สุด
ภาพของ Elisabeth กับผมสีน้ำตาลยาวสลวยของเธอ ถ้าสังเกตจะพบว่าภาพนี้ค่อนข้างแปลก เพราะเธอเปิดไหล่อยู่ นี่คือหนึ่งในภาพวาดที่วาดให้เฉพาะ Franz-Joseph ได้เห็นเท่านั้น (Source: Pinterest)
ในส่วนของเครื่องสำอางค์ Elisabeth เป็นผู้นำเทรนด์ความสวยแบบธรรมชาติ เพราะเธอแทบจะไม่แต่งหน้าเลย เธอต้องการให้คนเห็นความงามอันแท้จริงของเธอมากกว่า แต่การที่จะไม่ทำให้ธรรมชาติเปลี่ยนไปตามกาลเวลานั้น ก็ต้องมีขั้นตอนมากอยู่พอสมควร
เธอมักจะลองผิดลองถูก ในการรังสรรครีมต่าง ๆ ที่ใช้ในการรักษาผิวพรรณของเธอ โดยพระองค์โปรดครีมตัวหนึ่งที่มีชื่อว่า “Creme Celeste” ซึ่งประกอบไปด้วยขี้ผึ้งขาว น้ำมันอัลมอนด์ น้ำมันดอกกุหลาบ และน้ำมันที่สกัดมาจากส่วนหัวของปลาวาฬ และมีการล้างหน้าด้วยน้ำยาโทนิคสูตรพิเศษอีกหลายชนิด
ก่อนนอนเธอจะทำการมาสก์หน้าด้วย โดยการนำเนื้อลูกวัวดิบ หรือสตอเบอรรี่บดมาทาบนใบหน้า แล้วปิดทับด้วยมาสก์หนัง ส่วนการนอนเธอจะนอนโดยไม่ใช้หมอน และนอนบนเตียงเหล็กเท่านั้น เพราะเธอเชื่อว่าการกระทำเช่นนี้จะช่วยให้ท่าทางการยืนตรงและสง่าอยู่เสมอ ส่วนชุดนอนเธอมักจะนำผ้าที่แช่ในน้ำส้มสายชู มาพันรอบเอวไว้เพื่อที่จะรักษาความคอดกิ่วให้คงรูป
ความงามแบบธรรมชาติของจักรพรรดินี Elisabeth แห่งออสเตรีย (Source: Pinterest)
ตอนตื่นนอน เธอจะต้องอาบน้ำเย็นจัดทุกเช้า และในตอนเย็นของบางวัน เธอจะอาบน้ำอุ่นผสมน้ำมันมะกอก เพื่อคงความชุ่มชื้นและให้ผิวเต่งตึงอยู่เสมอ
และเพื่อเป็นการให้ความสวยของเธอคงอยู่ตลอดกาล หลังจากอายุครบ 32 ปี จักรพรรดินี Elisabeth ไม่อนุญาตให้มีการวาดภาพ หรือถ่ายภาพเธออีก ภาพทั้งหมดหลังจากเธออายุ 32 ปีนั้น มาจากการแอบถ่ายทั้งสิ้น ถือว่าเป็นวิธีการที่แปลกแต่ได้ผลดีทีเดียว เพราะถ้าลองไปค้นหาในอินเตอร์เนทจะพบแต่ภาพเธอในวัยสาวเท่านั้น
ในปัจจุบันผลิตภัณฑ์ที่ใช้ชื่อว่า Creme Celeste ก็ยังมีอยู่ (Source: https://www.pro-cosmet.ch)
ชีวิตแต่งงาน
ชีวิตแต่งงานของ Elisabeth นั้นจะเรียกว่ามีความสุขก็ไม่ได้ เพราะถ้าจะพูดถึงลักษณะนิสัยของเธอและสามี ก็ต้องบอกว่าแทบจะเป็นคนละขั้วเลยทีเดียว สามีของเธอจักรพรรดิ Franz-Joseph เป็นคนเซื่อง ๆ และเติบโตมาในราชสำนัก ที่เต็มไปด้วยกฎระเบียบเข้มงวด พระองค์ทำทุกอย่างตามขั้นตอนที่คนสมัยก่อนทำกันมา ในขณะที่ Elisabeth โตมาอย่างอิสระ เธอรักธรรมชาติ ชอบทำกิจกรรม Outdoor และเป็นคนค่อนข้างขี้อาย ไม่ชอบออกงานสังคม
ราชวงศ์ Hapsberg ของจักรวรรดิ Austro-Hungarian (Source: Pinterest)
นอกจากนี้อย่างที่กล่าวไปข้างต้น ว่าเธอต้องเจอกับแม่สามีที่มักจะหาเรื่องเธอไม่เว้นแต่ละวัน และสามีของเธอก็เป็นคนที่ตามใจแม่ และไม่ค่อยจะออกมาปกป้องเธอเท่าไรนัก รวมไปถึงชีวิตในราชสำนักที่ต้องเผชิญกับความเข้มงวดต่าง ๆ โดยเฉพาะเรื่องของบทบาทของสตรีที่พึงปฏิบัติซึ่งไม่ได้เข้ากับนิสัยของเธอเลย
Elisabeth พยายามที่จะหนีออกจากความอึดอัดของราชสำนักด้วยการศึกษาหาความรู้ต่าง ๆ นอกจากเรื่องของภาษาแล้ว เธอยังชื่นชอบประวัติศาสตร์ ปรัชญา และบทกวี ถึงขนาดที่เธอเคยแต่งบทกวีด้วย และบทกวีของเธอส่วนใหญ่จะเป็นการเสียดสีชีวิตราชวงศ์
จักรพรรดินี Elisabeth และจักรพรรดิ Franz-Joseph (Source: http://crownstiarasandcoronets.blogspot.com/2016/06/elisabeth-of-bavaria-empress-of-austria.html)
แต่ที่ช้อคราชวงศ์มากที่สุดเห็นจะเป็นการที่เธอเริ่มสูบบุหรี่ ซึ่งเป็นอะไรที่สตรีในสมัยนั้นไม่สมควรกระทำเป็นอย่างยิ่ง เธอได้รับการตำหนิจากทั้งสามีและแม่สามี แต่เธอก็ไม่ได้ใส่ใจ และหลังจากปี 1867 เธอก็เริ่มเดินทางท่องเที่ยวไปยังสถานที่ต่าง ๆ ทั่วยุโรปเพื่อหนีจากหน้าที่ในราชสำนัก
แต่เรื่องที่น่ายินดีคือกษัตริย์ Franz-Joseph รักภรรยาของพระองค์มาก และทำทุกวิถีทางเพื่อให้เธอมีความสุขที่สุด พระองค์ไม่ค่อยมีเรื่องข้องเกี่ยวกับสตรีอื่นเหมือนกับกษัตริย์องค์อื่น ๆ ของยุโรป และมีหลายครั้งที่พระองค์ช่วยเธอให้สามารถหนีพ้นการทำร้ายของแม่สามีเธอได้
กำเนิดบุตรชาย และเริ่มการเดินทาง
อย่างที่กล่าวไปข้างต้นว่า ในปี 1858 Elisabeth ได้ให้กำเนิดลูกชายคนแรกที่ราชวงศ์ Hapsberg รอคอยมานานแสนนานนามว่า Rudolf และเธอเริ่มมีบทบาทในราชสำนักมากขึ้น เพราะตอนนี้เธอเป็นถึงมารดาของมกุฎราชกุมารแห่งจักรวรรดิอันยิ่งใหญ่แล้ว
มกุฎราชกุมาร Rudolf และ Gisela พี่สาวของพระองค์ (Source: Pinterest)
แต่แล้วลูกชายของเธอ ก็ถูกพรากไปจากอ้อมอกของเธออีกโดยแม่สามี เป็นอีกครั้งที่เธอไม่มีสิทธิ์ ไม่มีเสียงในการเลี้ยงดูลูกชายที่เธอรอคอยมานาน เธอพยายามขอร้องทุกคนให้ช่วยเธอ ให้เธอได้มีโอกาสให้นมลูก และเลี้ยงดูลูกอย่างที่แม่คนหนึ่งพึงกระทำ แต่ไม่มีใครช่วยเธอเลย ส่วนสามีของเธอก็กำลังจมจ่อมอยู่กับความเศร้า จากการที่พระองค์เพิ่งสูญเสียดินแดนในอิตาลีไป ทำให้เธอตกอยู่ในภาวะความเครียดอีกครั้ง เธอทานอาการน้อยลง โหมออกกำลังกายมากขึ้น จนในที่สุดเธอเริ่มมีอาการไอเรื้อรัง และได้รับการวินิจฉัยว่าเธอเป็นโรค Anemia หรือเม็ดเลือดแดงต่ำ
1
ดังนั้น Elisabeth จึงถือโอกาสนี้ในการออกเดินทางไปพำนักในสถานที่อื่นในฤดูหนาวในปี 1858 เป็นเวลานานถึง 6 เดือน เพื่อให้ “สุขภาพของเธอดีขึ้น” และสถานที่ที่เธอเลือกคือสถานที่ไกลแสนไกล ที่ที่เธอจะสามารถลืมเรื่องราวของราชสำนัก ที่ที่เธอจะสามารถเขียนบทกวี อ่านหนังสือ และเล่นกับสัตว์เลี้ยงของเธอได้ และสถานที่ที่เธอเลือกคือเกาะ Madeira เกาะห่างไกลที่อยู่ห่างจากชายฝั่งโปรตุเกสถึง 700 ไมล์ เธอต้องใช้เวลาเดินทางถึง 1 อาทิตย์กว่าจะเดินทางมาถึง พร้อมกับนางสนองพระโอษฐ์สามคนของเธอ
เกาะ Madeira เกาะในปกครองของโปรตุเกสที่ที่ Elisabeth ไปพักผ่อนนานถึง 6 เดือน หลังจากให้กำเนิด Rudolf (Source: https://www.hippostcard.com)
แสงอาทิตย์ การพักผ่อน ธรรมชาติอันสวยงาม ทำให้อาการเธอดีขึ้น แต่เมื่อเธอกลับมาเวียนนา อาการไอ และไม่อยากอาหารของเธอก็กลับมาอีก และครั้งนี้แพทย์ประจำตัวของเธอ แนะนำให้เธอเดินทางไปยังเกาะ Corfu ในประเทศกรีซ เพื่อที่จะพักฟื้นร่างกาย อาจจะด้วยอากาศที่สดชื่น ประกอบกับชีวิตปราศจากความกดดันใดใด ทำให้อาการของเธอดีขึ้นอย่างรวดเร็ว
แม้การไปพักผ่อนที่ Corfu จะทำให้จิตใจของเธอดีขึ้น แต่ร่างกายของเธอกลับไม่ฟื้นอย่างที่คาด ซึ่งเป็นผลมาจากการขาดสารอาหารและแร่ธาตุที่จำเป็นมาเป็นเวลานาน
ในตอนหลังเธอถูกวินิจฉัยเพิ่มเติมว่ามีอาการบวมน้ำ (เกิดจากการที่เลือดไหลออกจากเส้นเลือด แล้วเข้าไปแทรกในบริเวณเนื้อเยื่อ ทำให้เนื้อเยื่อบริเวณนั้นมีอาการบวม) ซึ่งนี่เป็นเหตุผลที่ทำให้เท้าของเธอบวม และบางครั้งไม่สามารถเดินด้วยตนเองได้
Elisabeth ผู้ชื่นชอบการขี่ม้า และสุนัข เป็นชีวิตจิตใจ (Source: Pinterest)
ในสมัยก่อนการรักษาโรคแบบนี้มักจะทำโดยการไปพักรักษาตัวในเมืองที่มีบ่อน้ำร้อน เธอได้รับคำแนะนำให้เดินทางไปยังเมือง Bad Kissinger เพื่อทำการรักษา และหลังจากการรักษาตัวไปได้ระยะหนึ่ง เธอก็หายจากอาการบวมน้ำ แต่แทนที่จะเดินทางกลับเวียนนาไปหาสามี และทำหน้าที่ในราชสำนักต่อ เธอกลับเดินทางไปยัง Bavaria เพื่อไปอยู่กับพ่อแม่ที่บ้านเกิดของเธอแทน
จนกระทั่งเดือนสิงหาคม ปี 1862 หลังจากจากเวียนนามา 2 ปี เธอก็ตัดสินใจเดินทางไปฉลองวันเกิดสามีของเธอ แต่ในขณะเดินทางกลับไปยังเวียนนานั้นเธอเป็นไมเกรนรุนแรง และอาเจียนระหว่างทางถึง 4 ครั้ง ซึ่งอาการทั้งหมดเดาได้ไม่ยากว่าเกิดมาจากความเครียดรุนแรง เมื่อเธอรู้ว่าจะต้องกลับไปใช้ชีวิตในราชสำนักอีก
เมื่อเดินทางมาถึงเวียนนา กษัตริย์ Franz-Joseph ก็พยายามที่จะมีลูกกับเธออีก เพื่อเป็นการทำให้แน่ใจว่าจะมีลูกชายอีกคน ในกรณีที่ลูกชายคนแรกเกิดเป็นอะไรไป แต่แพทย์ของเธอแนะนำว่าร่างกายของเธอไม่พร้อมอย่างยิ่งกับการมีบุตรคนที่ 4 และตัวเธอเองนั้นก็ไม่อยากที่จะทำกิจกรรมในห้องนอนกับสามีของเธออีก ดังนั้นเป็นอีกครั้งที่เธอหนีจากหน้าที่ของราชสำนักด้วยการออกไปขี่ม้า เดินเล่นออกกำลังกาย โดยใช้ข้ออ้างเรื่องของสุขภาพ
Elisabeth ผู้ชื่นชอบการขี่ม้า สังเกตดีดีจะพบว่าเธอมักขะขี่แบบ Side Saddle คือนั่งเอาขาสองข้างไขว้ไว้ข้างเดียวกัน ซึ่งเป็นท่าขี่ม้าของสตรีในสมัยนั้น  (Source: Pinterest)
ราชินีแห่งฮังการี
อย่างที่ทราบกันดีว่า Elisabeth หลงรักประเทศฮังการีเป็นอย่างมาก และหลังจากที่เธอเริ่มมีอำนาจในราชสำนักมาขึ้นจากการให้กำเนิดบุตรชาย เธอจึงพยายามทำทุกวิถีทางเพื่อให้ดินแดนที่เธอรักสงบสุข และสามารถอยู่ภายใต้จักรวรรดิ Austro-Hungarian ได้ โดยไม่ถูกเอารัดเอาเปรียบ และเธอก็ได้แสดงฝีมือการเกลี้ยกล่อมของเธอในปี 1867
1
เรื่องมีอยู่ว่า ชาวฮังกาเรี่ยนที่เธอสนิทสนมด้วยมากที่สุด คือท่าน Count Gyula Andrássy ซึ่งเป็นชนชั้นสูงที่มีอิทธิพลอย่างมากฮังการี ต้องการที่จะให้ฮังการีมีอิสระในการปกครองมากกว่าที่เป็นอยู่ เขาเป็นคนที่ประชาชนและทหารพร้อมให้การสนับสนุนทุกเวลา ดังนั้นเพื่อป้องกันการเกิดสงคราม Elisabeth จึงแนะนำให้สามีของเธอแต่งตั้ง Count Andrássy ขึ้นมาเป็นผู้นำของฮังการี โดยสิ่งที่เธอพูดกับสามีของเธอนั้นมีใจความประมาณว่า
“หม่อมฉันได้ไปพูดคุยกับ Andrássy แล้ว และหม่อมฉันก็รับรู้ถึงความต้องการของเขา เขาไม่ได้มีเจตนาจะทำลายพระองค์แต่อย่างใด แต่กลับกันการที่เขาลุกขึ้นมาต่อต้านพระองค์เช่นนี้ เขาเสียเองที่อาจจะต้องสูญเสียอำนาจไป ดังนั้นเพื่อเป็นการรักษาสถาบันกษัตริย์ไว้ จงเชื่อใจเขา แต่ถ้าพระองค์ไม่อยากรับฟังหม่อมฉัน ที่เป็นเมียของพระองค์เอง ชื่อของพระองค์จะถูกลบออกไปจากอนาคตทั้งหมดของหม่อมฉัน และถ้าหากเกิดอะไรขึ้น หม่อมฉันจะเป็นคนบอก Rudolf ลูกชายของพวกเราเองว่า แม่ทำทุกอย่างที่จะทำได้แล้ว”
Count Gyula Andrássy (Source: PinteresT)
จากคำพูดนี้เอง ในที่สุดจักรพรรดิ Franz-Joseph ก็ยอมและได้มีการเซ็นสัญญา Austro-Hungarian Compromise ขึ้นในปี 1867 ทำให้เกิดระบบกษัตริย์คู่ (Dual Monarchy) ทั้งในออสเตรียและฮังการี หมายความว่า Franz-Joseph และ Elisabeth จะได้รับสถาปนาขึ้นมาเป็นกษัตริย์และราชินีของฮังการี และฮังการีก็จะสามารถปกครองตนเองได้อย่างอิสระมากขึ้น โดยมี Count Andrássy ขึ้นมาเป็นนายกรัฐมนตรีคนแรกของประเทศ
1
หลังการสถาปนา ทั้งคู่ได้รับของขวัญจากชาวฮังการีเป็นบ้านพักที่เมือง Gödöllő ประมาณ 32 กิโลเมตรจากตัวเมือง Budapest และในอีก 1 ปีต่อมา Elisabeth ก็พักอาศัยอยู่ที่นี่โดยไม่กลับไปยังเวียนนาเลย เธอมักจะเดินเล่นรอบบ้านพักของเธอพร้อมกับ Count Andrássy เพื่อคุยเรื่องสัพเพเหระต่าง ๆ จนนักข่าวต่างพากันประโคมข่าวอย่างสนุกปากว่าจริง ๆ แล้วเธอกับ Count Andrássy เป็นคู่รักกัน และกำลังจะมีลูกชายด้วยกัน แถมทั้งคู่ยังวางแผนว่าจะตั้งชื่อว่า Stephen ตามชื่อของนักบุญประจำฮังการีอีกด้วย
1
พระราชพิธีสถาปนาจักรพรรดิ Franz-Joseph และจักรพรรดินี Elisabeth เป็นราชาและราชินีแห่งฮังการี (Source: Pinterest)
แต่สุดท้ายแล้ว ในปี 1868 เธอก็ให้กำเนิดบุตรคนที่ 4 พร้อมกับสามีของเธอที่อยู่เคียงข้างเธอ โดยครั้งนี้เป็นลูกสาวนามว่า Marie Valerie ซึ่งได้ฉายาจากนักข่าวว่า “The Hungarian Child : เจ้าเด็กฮังการี” เพราะเธอเกิดในฮังการีนั่นเอง และครั้งนี้ Elisabeth ก็ตั้งใจอย่างแน่วแน่ว่าจะเลี้ยงดูลูกสาวคนนี้ด้วยตัวของเธอเอง
หลังจากที่ลูกสาวคนที่ 4 เกิดได้ไม่นาน Elisabeth ถูกเรียกตัวกลับมายังเวียนนา เนื่องจากเจ้าหญิง Sophie แม่สามีของเธอ กำลังจะตายด้วยเนื้องอกในสมอง แม้ว่าเธอจะถูกแม่สามีของเธอทรมาน และทำให้ชีวิตของเธอปั่นป่วนและไม่มีความสุข Elisabeth ก็อยู่เคียงข้างแม่สามีของเธอ จนกระทั่งเธอเสียชีวิต ว่ากันว่าคนสุดท้ายที่เจ้าหญิง Sophie เห็นหน้าก่อนจะเสียชีวิตก็คือหน้าของ Elisabeth ลูกสะใภ้ที่เธอบอกว่าเป็นแม่ที่ไม่ดีนั่นเอง
ภาพครอบครัวของ Elisabeth คนที่เธออุ้มอยู่คือหนูน้อย Marie Valerie  (Source: Pinterest)
สนใจในจิตเวช
ไม่นานหลังจากกลับมาอยู่เวียนนา Elisabeth ก็ออกเดินทางอีกครั้ง ในครั้งนี้เธอต้องการเดินทางไปเยี่ยมเพื่อนของเธอที่ประเทศอังกฤษ ซึ่งระหว่างทางเธอแวะที่ ฺBavaria ก่อน เพื่อที่จะเจอกับครอบครัวและญาติ ๆ ของเธอ ที่นี่เธอได้พบกับกษัตริย์ Ludwig ที่ 2 ที่ได้ฉายาว่า “The Mad King” จากการสร้างปราสาทราชวังต่าง ๆ มากมาย และน้องชายของพระองค์ Otto ซึ่งมีอาการทางจิต ทั้งหมดนี้ทำให้เธอเริ่มเกิดความสนใจในเรื่องการรักษาผู้ป่วยจิตเวช
(อ่านเรื่องราวของกษัตริย์ Ludwig ที่ 2 ได้ที่ https://www.blockdit.com/posts/6076878f0d66430c3bb50c21 )
หลังจากเธอกลับมาจากเวียนนา เธอเริ่มแวะไปเยี่ยมเยียนโรงพยาบาลบ้าต่าง ๆ รอบเวียนนา ซึ่งเป็นสิ่งที่ราชวงศ์ไม่เคยกระทำกัน และในปีนั้นสามีของเธอ ถามเธอว่าอยากได้อะไรเป็นของขวัญวันเกิด เธอตอบว่า “ลูกเสือเบงกอล เหรียญทอง กับโรงพยาบาลบ้าที่มีอุปกรณ์พร้อม”
ภาพของขักรพรรดินี Elisabeth ขณะเยี่ยมคนไข้ในโรงพยาบาลต่าง ๆ  (Source: Pinterest)
ปีแห่งความสูญเสีย
อีกคนหนึ่งที่มีความสำคัญมากทั้งกับตัวเธอและราชวงศ์ก็คือ มกุฎราชกุมาร Rudolf ผู้ที่จะมาเป็นจักรพรรดิในอนาคต แต่เนื่องจากพระองค์ถูกพรากไปจากอ้อมอกของมารดาตั้งแต่ยังเด็ก พระองค์จึงโตมาภายใต้ความดูแลของเจ้าหญิง Sophie ซึ่งเป็นย่าของตนเองมากกว่า
ภาพโปสเตอร์เฉลิมฉลองการแต่งงานครบรอบ 25 ปีของทั้งคู่ในปี 1878 (Source: Pinterest)
แต่อย่างไรก็ตาม ตอนที่ Rudolf อายุได้ประมาณ 4 ขวบ และ Elisabeth กลับมาจากการเดินทางท่องเที่ยว เธอเริ่มมีบทบาทในการเลี้ยงดู Rudolf มากขึ้น เพราะเธอทนไม่ได้ที่จะเห็นลูกชายที่มีนิสัยค่อนข้างขี้อาย ไม่ชอบสุงสิงกับคน ต้องมาได้รับการเลี้ยงดูแบบทหาร
และสิ่งที่ทำให้สติเธอขาดผึงเอา ก็คือตอนที่ Rudolf อายุได้ประมาณ 10 ขวบ เขาถูกครูพี่เลี้ยงฝึกด้วยความทารุณเช่น ปล่อย Rudolf ไว้ในป่าคนเดียว แล้วให้หาทางกลับออกมาเอง หรือยิงปืนในห้องนอนของ Rudolf เพื่อฝึก “ความเป็นชายชาตรี” รวมไปถึงให้อาบน้ำเย็นจัดในทุกเช้า จนกระทั่งหนูน้อย Rudolf มีอาการผวาทุกครั้งเมื่อได้ยินเสียงเปิดก๊อกน้ำ เธอจึงยื่นคำขาดว่าเธอจะต้องมีส่วนเลี้ยงดู Rudolf มากกว่าที่เป็นอยู่
1
มกุฎราชกุมาร Rudolf ในวัยเด็ก (Source: Pinterest)
ต่อมาเมื่อ Rudolf อายุได้ 31 ปี กษัตริย์ Franz-Joseph และพระเจ้า Leopold ที่ 2 แห่งเบลเยี่ยมก็ได้ทำข้อตกลงกัน โดยทางพระเจ้า Leopold ที่ 2 ได้ส่งตัวบุตรสาวของตนเองนามว่า Stephanie น้องสาวของ Louise of Belgium ที่มีอายุเพียง 16 ปี เข้าสู่ประตูวิวาห์กับมกุฎราชกุมาร Rudolf
(อ่านเรื่องราวของ Louise of Belgium ได้ที่ https://www.blockdit.com/posts/606de7d024491506551ba0a9)
ด้วยความที่เธอยังเด็ก ไร้เดียงสา และตัวของ Rudolf เองก็ไม่ได้ชอบพออะไรเธอมากมาย สุดท้ายหลังจากมีลูกสาวด้วยกัน 1 คน ชีวิตแต่งงานของทั้งคู่ก็ไปไม่รอด ต่างคนต่างมีชีวิตของตนเอง ซ้ำร้าย Rudolf ยังนำโรคติดต่อทางเพศมาให้ Stephanie และทำให้เธอเป็นหมันอีกด้วย ดังนั้นความหวังที่จะมีมกุฎราชกุมารคนต่อไปจึงมลายหายไปทันที
ส่วน Rudolf หลังจากผ่านความเครียดต่าง ๆ นา ๆ มามากในวัยเด็ก รวมถึงความกดดันในการเป็นจักรพรรดิองค์ต่อไป ก็หันไปดื่มเหล้าอย่างหนักจนถึงขึ้นเสพย์ติด
เจ้าหญิง Stephanie และมกุฎราชกุมาร Rudolf (Source: Pinterest)
Rudolf หันไปคบกับผู้หญิงมากหน้าหลายตา จนกระทั่งมาพบกับสาววัย 16 ปี นามว่า Baroness Mary Vetsera หนังสือพิมพ์ต่างประโคมข่าวการคบกันของทั้งคู่ นำความเสื่อมเสียมาสู่ชื่อเสียงของราชวงศ์เป็นอย่างมาก
และแล้วก็มาถึงปี 1889 ปีแห่งความโศกเศร้าครั้งใหญ่ทั้งกับตัวเธอ และราชวงศ์ Rudolf ในวัย 31 ปีถูกพบเป็นศพ คู่กับ Baroness Mary Vetsera ชู้รักของพระองค์ ซึ่งคาดการณ์กันว่าเป็นการฆ่าตัวตายคู่
Mayerling ชื่อของบ้านพักตากอากาศที่ศพของ Rudolf และชู้รัก (Source: Wikipedia)
โลกของ Elisabeth แทบจะพังทลายลงมาทันที เธอเพิ่งจะสูญเสียพ่อแม่ และพี่สาวของเธอ Helene ไปเมื่อไม่นาน และในที่สุดลูกชายเพียงคนเดียวของเธอ ก็มาเสียชีวิตไปอีก ทำให้ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา เธอสวมใส่แต่ชุดไว้ทุกข์สีดำแทบจะตลอดเวลา
1
เหตุการณ์ในครั้งนั้น กลายเป็นข่าวที่ได้รับการประโคมไปทั่วภาคพื้นยุโรป และ Elisabeth ก็ยิ่งกลายมาเป็นที่สนใจของสื่อต่าง ๆ ภาพของเธอในชุดยาวสีดำ ถือร่มสีขาว พร้อมพัดในมือบดบังใบหน้าของตนเอง กลายมาเป็นภาพที่อยู่ในหนังสือพิมพ์ทั่วไป และยิ่งเธอบดบังใบหน้ามากเท่าไร บรรดานักข่าวก็ยิ่งอยากได้ภาพของเธอมากขึ้นเท่านั้น ดังนั้นจึงบอกได้เลยว่าเธอคือเหยื่อคนแรก ๆ ของเหล่าปาปารัสซี่นั่นเอง
และที่น่าเศร้าไปกว่านั้น อีก 1 ปีถัดมา สหายสนิทของเธอ Count Andrássy ก็มาเสียชีวิตลง ซึ่งเธอกล่าวไว้ในบันทึกส่วนตัวว่า “เพื่อนคนเดียวและคนสุดท้ายของฉัน ได้จากไปแล้ว” ในเวลาต่อมาลูกสาวของเธอกล่าวว่าแม่ของเธอนั้น มีความสัมพันธ์กับ Count Andrássy แบบที่ไม่เคยมีกับผู้ใดมาก่อน
หลังการเสียชีวิตของ Rudolf ลูกชายของเธอ Elisabeth มักจะสวมชุดดำ และถือพัดในมือ เพื่อบดบังใบหน้าของเธออยู่เสมอ (Source: Pinterest)
จบกันแล้วนะครับกับตอนที่ 2 ของจักรพรรดินี Elisabeth ครั้งหน้าผมจะพาทุกคนไปดูบั้นปลายชีวิตของเธอ ว่าเธอมีวิธีที่จะรับมือกับความโศกเศร้าต่าง ๆ ยังไง พร้อมทั้งจุดจบของเธอที่พรากชีวิตเธอไปก่อนวัยอันควร นอกจากนี้ ผมจะพาไปรู้จักกับเรื่องราวของ Sisi Star อัญมณีประดับผมที่กลายมาเป็นสิ่งของคู่ตัวเธอ และเรื่องราวที่น่าสนใจของเครื่องประดับชิ้นนี้ อย่าลืมติดตามกันนะครับ
อ่านตอนที่ 3 ได้่ที่นี่
Podcast:
Podcast: The history chicks EP159&160 "Empress Sisi of Austria"

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา