7 พ.ค. 2021 เวลา 16:38 • ประวัติศาสตร์
Marie Skłodowska Curie : ฟันฝ่าอคติสู่การค้นพบที่ยิ่งใหญ่ ตอนที่ 1
1
หลายคนคงจะรู้จักรางวัลโนเบลกันใช่มั้ยครับ รางวัลอันทรงเกียรตินี้จะมอบให้กับผู้ที่ทำคุณประโยชน์ในด้านต่าง ๆ ให้กับมวลมนุษยชาติ ไม่ว่าจะเป็นด้านสันติภาพ วรรณกรรม เศรษฐศาสตร์ หรือวิทยาศาสตร์
แต่รู้รึป่าวครับ ว่าใครคือผู้หญิงคนแรกที่ได้รับรางวัลอันทรงเกียรตินี้ เธอเป็นชาวโปแลนด์ ที่เติบโตมาในครอบครัวของอาจารย์ และสิ่งที่เธอค้นพบสร้างความตื่นตะลึงให้กับวงการวิทยาศาสตร์ในสมัยนั้นเป็นอย่างมาก การค้นพบของเธอทำให้หลายสิ่งหลายอย่างของโลกได้รับการพัฒนาอย่างก้าวกระโดด สร้างรายได้ และช่วยชีวิตผู้คนมากมาย แต่ในขณะเดียวก็นำมาซึ่งความเจ็บปวด และความตายของคนหลายคน รวมถึงตัวของเธอเอง
วันนี้ Kang’s Journal จะพาทุกคนไปรู้จักกับอัจฉริยะคนหนึ่งที่ชื่อของเธอมักจะไม่ได้ถูกนึกถึงนัก แต่การค้นพบของเธอนั้นยิ่งใหญ่ไม่แพ้ใครเลยทีเดียว Marie Skłodowska Curie
Marie Skłodowska Curie (Source: Pinterest)
ชีวิตวัยเด็ก
Marie Curie มีชื่อเดิมว่า Maria Salomea Skłodowska เธอเกิดในวันที่ 7 พฤศจิกายน 1867 ในเมือง Warsaw เขตปกครองโปแลนด์ ต้องขออธิบายก่อนว่าในตอนนั้นโปแลนด์ซึ่งเคยเป็นประเทศเอกราชมาก่อน ถูกแบ่งออกเป็น 3 ส่วน ภายใต้การปกครองของปรัสเซีย (เยอรมันในปัจจุบัน) ออสเตรีย และจักรวรรดิรัสเซีย ซึ่งกรุง Warsaw เป็นส่วนที่อยู่ภายใต้การปกครองของจักรวรรดิรัสเซีย และ Maria เป็นลูกสาวคนสุดท้องของครอบครัวในบรรดาพี่น้องทั้งหมด 5 คน
พ่อและแม่ของเธอ เป็นอาจารย์ในโรงเรียนทั้งคู่ โดยพ่อของเธอ Władysław Skłodowski เป็นอาจารย์สอนวิชาเลขและฟิสิกส์ และเป็นคณะกรรมการในโรงเรียนมัธยมสองแห่ง ส่วนแม่ของเธอเป็นอาจารย์และผู้บริหารของโรงเรียนสตรีแห่งหนึ่งในกรุง Warsaw เรียกได้ว่าเธอเติบโตมาในครอบครัวของครูบาอาจารย์อย่างแท้จริง
Marie Curie (ซ้ายสุด) พ่อ และพี่สาวทั้งสองของเธอ (Source: nobelprize.org)
อย่างไรก็ตาม สิ่งที่พ่อและแม่ของเธอสอนลูก ๆ ทั้งห้าของพวกเขาเสมอคือเรื่องของประวัติศาสตร์โปแลนด์ พวกเขาสอนให้ลูก ๆ รักและภูมิใจในความเป็นชาวโปแลนด์ เรียนรู้วัฒนธรรมโปแลนด์ และพูดภาษาโปลิชกันในบ้าน ซึ่งขัดกับความต้องการของจักรวรรดิรัสเซียที่ต้องการจะกำจัด “ความเป็นโปแลนด์” ให้สิ้นซาก พวกเขาต้องทำทุกอย่างกันอย่างลับ ๆ เพราะถ้าถูกจับได้ พวกเขาจะต้องโดนลงโทษอย่างหนัก
แต่เพราะพ่อและแม่ของเธอเป็นสมาชิกของกลุ่มรักชาติโปแลนด์ ซึ่งเป็นกลุ่มคนที่อยู่เบื้องหลังการประท้วงต่าง ๆ ทางการจึงทำการยึดที่ดินและทรัพย์สินของทั้งคู่ พร้อมกับบีบทั้งคู่ให้ลาออกจากการเป็นอาจารย์ สิ่งเหล่านี้ประกอบกับการลงทุนที่ผิดพลาด ทำให้ที่บ้านของ Maria ที่เคยมีฐานะดี ต้องเปิดเป็นหอพักสำหรับเด็กผู้ชายเพื่อหารายได้เสริมมาจุนเจือครอบครัว
Marie Curie และพี่น้องของเธอ (Source: http://93029029.weebly.com/early-life.html)
แต่ข้อดีคือ ก่อนที่พ่อของเธอจะออกมาจากโรงเรียนที่เขาสอนนั้น ทางการรัสเซียได้สั่งให้มีการงดสอนวิชาวิทยาศาสตร์ให้กับเด็กชาวโปแลนด์ ดังนั้นเขาจึงถือโอกาสนำเครื่องมือต่าง ๆ จากห้องวิทยาศาสตร์มาไว้ที่บ้าน แล้วสอนลูกตัวเองด้วยสิ่งของเหล่านั้นซะเลย นี่เองที่ทำให้ Maria เติบโตมากับการเล่นหลอดทดลอง ตะเกียงแอลกอฮอล์ แทนที่จะเป็นตุ๊กตาเหมือนเด็กทั่วไป
ในปี 1875 พี่สาวคนโตสุดของเธอเสียชีวิต และอีกสามปีต่อมา แม่เธอก็เสียชีวิตลงด้วยโรควัณโรค ว่ากันว่าแม่ของเธอนั้นมักจะหลีกเลี่ยงการกอด หอมแก้ม หรือใช้ของร่วมกับลูก ๆ และสามีของเธอหลังจากที่เธอรู้ว่าตัวเองมีเชื้อวัณโรคอยู่ และหลังจากคนที่สำคัญในชีวิตของเธอสองคนต้องมาตายจากไป เธอจึงตัดสินใจดำเนินรอยตามพ่อของเธอด้วยการเป็นคนที่ไม่นับถือศาสนาใด ๆ เลย
2
Marie Curie ในวัยเด็ก (Source: Pinterest)
การที่เธอไม่ศรัทธาในศาสนาใด ๆ เลยนี่เองที่ทำให้เธอยิ่งหันมาสนใจในวิทยาศาสตร์มากขึ้น เธอรู้สึกว่าพระเจ้าไม่ใช่ผู้ที่จะช่วยชีวิตแม่เธอได้ สิ่งที่จะช่วยแม่ของเธอได้จริง ๆ แล้วก็คือวิทยาศาสตร์นี่เอง
Maria เริ่มเข้าเรียนในโรงเรียนประถมตอนอายุ 10 ขวบ จากนั้นก็เข้าเรียนต่อที่โรงเรียนมัธยมหญิง และเธอจบการศึกษาด้วยเกียรตินิยมเหรียญทองในปี 1883
ใบจบการศึกษาระดับมัธยมของ Marie Curie (Source: nobelprize.org)
แต่ในขณะที่เรียนอยู่นั้น มักจะมีเจ้าหน้าที่ของรัสเซียมาตรวจโรงเรียนของเธออยู่เป็นประจำ พวกเธอต้องซ่อนหนังสือภาษาโปแลนด์ และท่องบทสวดสรรเสริญพระเจ้าเป็นภาษารัสเซีย หรือท่องลำดับกษัตริย์ของรัสเซียให้กับเหล่าเจ้าหน้าที่ฟัง รวมไปถึงต้องคอยปลอบประโลมเพื่อน ๆ ของเธอที่ครอบครัวต้องแตกสลาย จากการถูกทางการรัสเซียจับเข้าคุก สิ่งเหล่านี้ส่งผลให้เธอเกิดอาการเครียดอย่างรุนแรง
1
พ่อของเธอตัดสินใจให้เธอเดินทางไปพักผ่อนกับญาติของเขาในต่างจังหวัด ที่ซึ่งเธอได้ใช้เวลาอยู่กับธรรมชาติ และเธอตัดสินใจเปิดคลาสเล็ก ๆ เพื่อสอนเด็กชายหญิงในหมู่บ้านเป็นงานอดิเรกไปด้วย
1
Marie Curie ตอนอายุ 10 ปี (Source: Pinterest)
หลังจากผ่านไป 2 ปี เธอพยายามที่จะกลับเข้าเรียนอีกครั้ง แต่ตอนนั้นไม่มีมหาวิทยาลัยไหนในโปแลนด์เลยที่รับนักศึกษาหญิง เธอและพี่สาวของเธอ ผู้ซึ่งหลงใหลในการศึกษาเช่นกัน จึงตัดสินใจลงเรียนใน Flying University ซึ่งเป็นสถาบันการศึกษาชั้นสูงใต้ดินที่ดำเนินการโดยคนโปแลนด์แทน
เหตุผลที่สถาบันแห่งนี้มีชื่อว่า Flying หรือ Floating University นั้นเป็นเพราะการเรียนการสอนของที่นี่ จะไม่มีที่เรียนเป็นหลักแหล่ง เพื่อไม่ให้ทางการัสเซียจับได้โดยสถานที่เรียนจะถูกสลับสับเปลี่ยนไปเรื่อย ๆ นั่นเอง
Flying University หรีอสถาบันการศึกษาชั้นสูงใต้ดินของโปแลนด์ (Source: https://casestudiesforeducationalturn.blog.hu)
เก็บเงินเรียน
แต่การศึกษาในสถาบันการศึกษาใต้ดินที่ต้องเรียนแบบลับ ๆ ไม่ใช่แนวทางของเธอ เธอต้องการที่จะเข้าศึกษาในสถาบันที่มีชื่อเสียงของยุโรป ดังนั้นเธอและพี่สาวจึงทำข้อตกลงกัน Maria จะทำงานสองปี เพื่อหาเงินมาช่วยส่งเสียพี่สาวของเธอ และพี่สาวของเธอหลังจากเรียนจบจะต้องทำงานหาเงิน เพื่อส่งเสีย Maria ให้ได้เรียนต่อเช่นกัน
1
Maria และพี่สาวของเธอ Bronislawa (Source: wikipedia)
ดังนั้น Maria จึงเริ่มงานแรกของเธอ ด้วยการสมัครงานเป็นพี่เลี้ยงเด็ก ปีแรกเธอทำงานอยู่ใน Warsaw จากนั้นเธอย้ายไปอยู่ในชนบท เพื่อทำงานดูแลบ้านให้กับครอบครัวครอบครัวหนึ่ง เธอกลายมาเป็นที่รักของทุกคน และร่วมมือกับลูกสาวคนโตของบ้านในการจัดตั้งห้องเรียนเล็ก ๆ ในหมู่บ้านเพื่อสอนเหล่าบรรดาเด็ก ๆ
และที่นี่เอง เธอไปตกหลุมรักกับชายคนหนึ่งนามว่า Kazimierz Żorawski ทั้งสองต่างรักและชอบพอกัน และหวังว่าจะได้แต่งงานกันในอนาคต แต่เนื่องจาก Maria มาจากครอบครัวยากจน ทางพ่อแม่ฝ่ายชายจึงกีดกันความรักในครั้งนี้ และสุดท้ายทั้งสองก็ต้องแยกจากกัน
Kazimierz Żorawski คนรักคนแรกของ Marie Curie (Source: https://alchetron.com/Kazimierz-%C5%BBorawski)
Kazimierz Żorawsk ต่อมากลายมาเป็นนักคณิตศาสตร์ที่มีชื่อเสียงมากคนหนึ่งของโลก และกลายมาเป็นอาจารย์และคณบดีของ Krakow University หนึ่งในมหาวิทยาลัยที่มีชื่อเสียงที่สุดของโปแลนด์ และว่ากันว่าตอนที่เขาแก่แล้วนั้น เขามักจะเดินมานั่งที่หน้ารูปปั้นของเธอที่หน้าสถาบัน Radium Institute ในกรุง Warsaw สถาบันที่เธอเป็นคนก่อตั้งขึ้น จนกระทั่งวันสุดท้ายของชีวิต
หลังจากทำงานได้ 3 ปี Maria เดินทางกลับมายัง Warsaw เพื่อทำงานพี่เลี้ยงเด็กต่อ เธอใช้เวลาในช่วงนี้สะสมเงินทอง เพื่อที่จะใช้ส่งเสียตัวเองและพี่สาวเรียนต่อที่มหาวิทยาลัยในกรุงปารีส พร้อมกับอ่านหนังสือต่าง ๆ และเข้าเรียนในสถาบันการศึกษาใต้ดิน เธอเข้าฝึกงานด้านวิทยาศาสตร์กับแลปเคมีแห่งหนึ่ง จนกระทั่งปลายปี 1891 เธอก็ออกเดินทางจากโปแลนด์สู่ปารีส เพื่อไปตามหาความฝัน
สู่ปารีสเมืองศิวิไลซ์
หลังจากเดินทางถึงปารีสแล้ว เธอตัดสินใจเข้าศึกษาด้านฟิสิกส์ เคมี และคณิตศาสตร์ที่มหาวิทยาลัยปารีส (University of Paris) หรือที่รู้จักกันในชื่อว่ามหาวิทยาลัยซอร์บอร์น (Sorbonne University) ในตอนแรกเธออาศัยอยู่กับพี่สาวของเธอ ซึ่งตอนนี้แต่งงานกับสามีชาวโปแลนด์เป็นที่เรียบร้อยแล้ว แต่เธอพบว่าเธอต้องการพื้นที่ที่สงบและเป็นส่วนตัว เพื่อที่เธอจะสามารถใช้เวลาคิดงานต่าง ๆ ได้ ดังนั้นเธอจึงย้ายมาเช่าห้องเล็ก ๆ แถวมหาวิทยาลัยแทน
University of Paris สถานที่ที่ Marie Curie ไปเรียนต่อ (Source: wikipedia)
ด้วยงบที่จำกัด เธอต้องใช้ชีวิตอย่างยากลำบาก ในหน้าหนาวเธอต้องรับมือกับห้องที่ไม่มีเครื่องทำความร้อน ด้วยการใส่เสื้อผ้าทั้งหมดที่เธอมีอยู่เพียงเพื่อให้ร่างกายอบอุ่น เธอต้องเรียนในเวลากลางวัน ทำงานสอนหนังสือในเวลากลางคืน เพื่อหาเงินมาเป็นทุนการศึกษา และอย่าลืมว่าเธอต้องเรียนทุกอย่างเป็นภาษาฝรั่งเศส ภาษาที่ไม่ได้ภาษาแม่ของเธอ และเธอก็ยังไม่คล่องภาษานี้มากนัก
1
และในที่สุดในปี 1893 สองปีหลังจากเข้าศึกษา เธอได้รับปริญญาใบแรกในสาขาฟิสิกส์ และเริ่มเข้าทำงานเป็นครั้งแรกในห้องแลปของ Gabriel Lippman และในขณะเดียวกัน เธอก็ได้รับทุนการศึกษาเพื่อเรียนปริญญาใบที่ 2 ซึ่งเธอก็สามารถคว้ามาได้ในปี 1894
2
หลังจากได้รับปริญญา 2 ใบแล้ว เธอเริ่มชีวิตการเป็นนักวิทยาศาสตร์แบบเต็มตัว ด้วยการเป็นนักค้นคว้าวิจัยเกี่ยวกับคุณสมบัติทางแม่เหล็กของโลหะชนิดต่าง ๆ ซึ่งเป็นการวิจัยของ Society for the Encouragement of National Industry หน่วยงานที่มีเป้าหมายในการศึกษาโลหะชนิดต่าง ๆ เพื่อนำมาพัฒนาอุตสาหกรรมของประเทศฝรั่งเศส
Marie Curie ตอนอายุ 24 ปี (Source: pinterest)
พบรักในห้องแลป
หลังจากทำการทดลองไปได้ระยะหนึ่ง Maria หรือ Marie (ชื่อของเธอในภาษาฝรั่งเศส) ต้องการห้องแลปที่มีขนาดใหญ่ขึ้นเพื่อขยายขอบข่ายการทดลองของเธอ เธอจึงตัดสินใจขอความช่วยเหลือจาก Józef Wierusz-Kowalski นักฟิสิกส์ชาวโปแลนด์ที่เป็นคนรู้จักของเธอ
ทาง Kowalski พยายามนึกถึงคนที่จะสามารถช่วยสาวน้อย Marie ผู้กระตือรือร้นได้ และชื่อที่เขานึกถึงคือ Pierre Curie ซึ่งทำหน้าที่เป็นนักวิจัยในสถาบัน ESPCI (City of Paris Industrial Physics and Chemistry Higher Educational Institution) และแม้ว่าแลปของ Pierre จะไม่ใหญ่พอสำหรับความต้องการของ Marie เขาก็พยายามหาแลปที่มีขนาดตรงความต้องการของเธอให้เธอจนได้
Pierre Curie (Source: wikipedia)
จากนั้น Marie และ Pierre ก็ติดต่อพูดคุยกันอยู่เรื่อย ๆ และจากการที่ทั้งสองมีความรักในวิชาวิทยาศาสตร์ร่วมกันอยู่เป็นทุนเดิม ทำให้ความผูกพันเริ่มก่อตัวขึ้น จนกลายมาเป็นความรักในที่สุด และหลังจากคบหากันได้ระยะหนึ่ง Pierre ก็ขอเธอแต่งงาน
แต่เรื่องกลับไม่ง่ายขนาดนั้น Marie เป็นคนที่รักในรากเหง้าความเป็นโปแลนด์ของเธอ เธออยากนำความรู้ความสามารถของเธอกลับไปพัฒนาบ้านเกิดเมืองนอนที่เธอรัก ในตอนนั้นแม้ Pierre จะบอกว่าเขายอมที่จะไปทำงานเป็นครูสอนภาษาฝรั่งเศสจน ๆ ในโปแลนด์ เธอก็ยังปฏิเสธเขาอยู่ดี
และในฤดูร้อนปี 1894 Marie เดินทางกลับมา Warsaw และเริ่มสมัครงานตามมหาวิทยาลัยต่าง ๆ ในฐานะนักวิจัย แต่ปริญญา 2 ใบจากปารีส ไม่ช่วยอะไรเธอเลย นั่นเป็นเพราะเธอถูกปฏิเสธจากมหาวิทยาลัยชั้นนำต่าง ๆ อย่าง Krakow University เพียงเพราะเธอเป็นผู้หญิง และผู้หญิงไม่ได้รับการยอมรับให้มาทำหน้าที่เป็นนักวิจัยในโปแลนด์
Krakow University ในโปแลนด์ที่ปฏิเสธการจ้างงานของ Marie เพราะเธอเป็นผู้หญิง (Source: wikiwand)
สิ่งนี้นำความผิดหวังมาให้เธอเป็นอย่างมาก แต่ตลอดระยะเวลาเหล่านั้น จดหมายจาก Pierre นี่แหละ ที่เป็นสิ่งที่ช่วยเยียวยาจิตใจของเธอให้เธอมีกำลังใจต่อไป จนสุดท้ายเธอก็ใจอ่อน เธอยอมกลับไปปารีสตามคำชวน (บวกตื้อ) ของเขาและการสนับสนุนของครอบครัวเธอ แม่ของเธอถึงขนาดบอกว่าเธอไม่ควรจะกลับมาโปแลนด์ด้วยซ้ำ และให้เธอรีบแต่งงานกับ Pierre ซะ
เมื่อเธอกลับมาถึงปารีส Pierre สนับสนุนให้เธอเรียนปริญญาเอกต่อ และในทางกลับกันเธอก็เป็นผู้สนับสนุนให้ Pierre ตีพิมพ์รายงานเกี่ยวกับสภาพแม่เหล็ก ซึ่งเป็นสิ่งที่เขากำลังทำวิจัยอยู่ จนเขาเองที่เป็นคนได้รับปริญญาเอกในปี 1895 และได้รับการเลื่อนตำแหน่ง
ในเดือนกรกฎาคม 1895 ทั้งสองแต่งงานกัน ในงานไม่มีพิธีการทางศาสนาใดใดทั้งสิ้นเพราะทั้งคู่ต่างก็ไม่ศรัทธาในศาสนา และ Marie ก็แต่งตัวเข้าพิธีวิวาห์ด้วยชุดสีน้ำเงินเข้ม ซึ่งเป็นชุดที่เธอใช้ใส่ในห้องแลปของเธอเป็นประจำ ในเวลาว่างทั้งคู่มักจะขี่จักรยานไปตามสถานที่ต่าง ๆ และเดินทางท่องเที่ยวต่างประเทศ เรียกได้ว่าทั้ง Pierre และ Marie ได้พบกับคู่ชีวิตที่แท้จริงในที่สุด
ภาพแต่งงานของ Marie และ Pierre Curie (Source: nobelprize.org)
รังสีปริศนา
ในปี 1895 ปีที่ทั้งคู่แต่งงานกัน Wilhelm Roentgen นักวิทยาศาสตร์ชาวเยอรมัน ทำการทดลองในห้องแลปของเขา โดยการนำกระดาษแข็งสีดำสนิทมาคลุมรอบหลอด Cathode Ray ซึ่งเป็นหลอดแก้วสุญญากาศที่ใช้ในการสร้างประจุไฟฟ้า ผลปรากฏว่ามีวัตถุบางอย่างที่วางอยู่ใกล้ ๆ กับกระดาษแข็งสีดำนั้นเกิดการเรืองแสงขึ้นมา
Roentgen จึงตั้งสมมุติฐานว่า ต้องมีพลังงานบางอย่างที่สามารถทะลุกระดาษแข็งออกมา แล้วมากระทบกับวัตถุจนเกิดการเรืองแสงอย่างแน่นอน และจากการศึกษาต่อ เขาก็พบว่าพลังงานนี้สามารถทะลุเนื้อเยื่อมนุษย์ได้ แต่ไม่สามารถทะลุของแข็งอย่างกระดูก หรือโลหะได้ และเขาตั้งชื่อพลังงานนี้ว่ารังสี X หรือ X-Ray นั่นเอง
1
ภาพถ่าย X-Ray ภาพแรกของโลก ซึ่งเป็นมือของภรรยาของ Roentgen นั่นเอง (Source: wikipedia)
ต่อมาในปี 1896 Henri Becquerel ซึ่งได้ศึกษารายงานการทดลองของ Roentgen จึงตัดสินใจศึกษาเรื่องของรังสี X ต่อ วันหนึ่งเขาวางผลึก Uranium เอาไว้ข้างฟิล์มถ่ายภาพ พอรุ่งเช้าเขาพบว่าบนฟิล์มนั้นมีรอยบางอย่างอยู่ ซึ่งนั่นหมายความว่าจะต้องมีพลังงานหรือรังสีบางอย่างที่แผ่ออกมาจากผลึก Uranium แล้วมากระทบกับฟิล์มถ่ายภาพอย่างแน่นอน และ Becquerel ก็เรียกรังสีนี้ว่ารังสี Uranium
1
แต่ข้อแตกต่างของการทดลองทั้งสองคือหลอด Cathode Ray ของ Roentgen มีการกระตุ้นด้วยไฟฟ้า จึงจะสามารถมีพลังงานออกมาได้ ในขณะที่ Uranium นั้นไม่ได้รับการกระตุ้นด้วยพลังงานใดใดเลย พลังงานหรือรังสีจาก Uranium นั้นเหมือนจะถูกเปล่งออกมาจากตัวของมันเอง
Henri Becquerel (Source: wikipedia)
เมื่อได้อ่านรายงานเกี่ยวกับการค้นพบรังสีทั้งสอง Marie จึงตัดสินใจที่จะทำวิทยานิพนธ์ปริญญาเอกของเธอโดยเลือกรังสี Uranium มาเป็นหัวข้อในการทำวิจัย
1
โชคเข้าข้างเธอ เพราะเมื่อ 15 ปีก่อน Pierre และน้องชายของเขาเพิ่งจะผลิตอุปกรณ์ที่ชื่อว่า Electrometer ขึ้นมา ซึ่งเป็นอุปกรณ์ที่ใช้วัดค่าประจุไฟฟ้า และเมื่อเธอใช้อุปกรณ์ชนิดนี้ เธอค้นพบว่ารังสี Uranium ทำให้อากาศรอบตัวสามารถเหนี่ยวนำไฟฟ้าได้ และเธอยังค้นพบต่อไปว่าความสามารถในการเหนี่ยวนำไฟฟ้านั้น จะขึ้นอยู่กับปริมาณของ Uranium พูดง่าย ๆ ก็คือ ถ้ามี Uranium มาก ก็ยิ่งมีรังสีมาก และถ้ารังสียิ่งมาก อากาศรอบตัวก็จะยิ่งเหนี่ยวนำไฟฟ้าได้ดียิ่งขึ้นนั่นเอง
1
เครื่อง Electrometer ที่ Marie Curie ใช้ในการวัดค่าไฟฟ้า (Source: Pinterest)
และในเมื่อ Uranium สามารถปล่อยพลังงานหรือรังสีได้ โดยไม่ได้รับพลังงานจากภายนอกเลย ดังนั้นสมมุติฐานของเธอคือ การแผ่รังสีนั้นมาจากการแตกตัวของอะตอมของ Uranium เอง ซึ่งนี่คือสมมุติฐานที่เปลี่ยนกฎเกณฑ์ทุกอย่างในวงการวิทยาศาสตร์ เพราะในสมัยนั้นมีความเชื่อว่า อะตอมคือหน่วยที่เล็กที่สุดของทุกอย่าง และไม่สามารถแบ่งแยกให้เล็กกว่านี้ได้อีกแล้ว (ซึ่งในปัจจุบันเราก็ทราบแล้วว่าอะตอม ประกอบขึ้นด้วยโปรตอน นิวตรอน และอิเล็กตรอนนั่นเอง)
1
Marie และ Pierre Curie (Source: Pinterest)
การทดลองเปลี่ยนโลก
ในปี 1897 เธอให้กำเนิดลูกสาวคนแรกของเธอ Irene และเพื่อหาเงินมาจุนเจือครอบครัว เธอเริ่มทำงานเป็นอาจารย์ที่โรงเรียนแห่งหนึ่ง พร้อม ๆ กับทำงานในห้องแลปไปพร้อม ๆ กับสามี
Marie และ Pierre Curie พร้อมกับ Irene ลูกสาวคนแรกของทั้งคู่ (Source: Pinterest)
ห้องแลปของทั้งสองจริง ๆ แล้วไม่ควรจะเรียกว่าเป็นห้องแลปด้วยซ้ำ เพราะจริง ๆ แล้วมันคือห้องเรียนวิชาแพทยศาสตร์ที่ไม่ใช้แล้วนำมาดัดแปลง ทำให้ระบบถ่ายเทอากาศไม่ดีนัก แต่ด้วยความรักในวิทยาศาสตร์ ทั้งคู่ใช้เวลาทั้งวันทำการทดลองต่าง ๆ ในห้องแลปแห่งนี้อย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย
2
ห้องแลปแรก ๆ ของทั้งคู่ ซึ่งดัดแปลงมาจากห้องเรียนเก่า (Source: wikipedia)
วิธีการทดลองของ Marie นั้นค่อนข้างยุ่งยาก เริ่มจากการที่เธอนำแร่ที่มีส่วนประกอบของ Uranium มาสองชนิด ได้แก่ Pitchblende และ Torbernite มาเปรียบเทียบกัน แต่สิ่งที่เธอค้นพบกับทำให้เธอเกิดความสงสัยมากขึ้นไปอีก เพราะเธอพบว่าแร่ Pitchblende และ Torbernite มีความ active มากกว่าแร่ Uranium บริสุทธิ์ถึง 4 และ 2 เท่าตามลำดับ นั่นหมายความว่าในตัวของแร่ทั้งสองชนิด จะต้องมีธาตุชนิดอื่นอยู่อย่างแน่นอนที่มีความสามารถในการแผ่รังสีได้ดีกว่า Uranium
ดังนั้นเธอจึงเริ่มมองหาธาตุชนิดนั้น และในที่สุดเธอก็ค้นพบว่า Thorium ก็มีความสามารถในการแผ่รังสีเช่นกัน แต่ลำพังเพียง Thorium ก็ยังไม่สามารถใช้อธิบายถึงปรากฏการณ์นี้ได้ดีนัก เธอรีบเขียนรายงานเกี่ยวกับ Thorium เพื่อที่จะนำไปเสนอในงานประชุมวิชาการ แต่เป็นที่น่าเสียดายที่มีคนตัดหน้าเธอไปก่อนเพียง 2 เดือน
แร่ Pitchblende ที่มีส่วนประกอบของ Uranium และธาตุบางอย่างที่ให้ความเข้มรังสีมากกว่า Uranium (Source: http://wheretofindrocks.com)
แต่สิ่งที่ทุกคนต่างมองข้ามไปคือสิ่งที่เธอเขียนไว้ในรายงาน ซึ่งมีประโยคหนึ่งที่เธอเขียนถึงสมมุติฐานของเธอว่า น่าจะมีธาตุชนิดอื่นที่สามารถแผ่รังสีได้ดีกว่า Uranium ฝังอยู่ในแร่ Pitchblende และ Torbernite อย่างแน่นอน และความกระหายที่จะค้นพบธาตุชนิดนี้นี่เอง ที่เป็นแรงขับเคลื่อนให้เธอทำการทดลองต่อ
ในตอนนี้เองที่ Pierre สามีของเธอได้เข้ามาร่วมทำการทดลองกับเธออย่างจริงจัง เพราะเขามั่นใจว่าการทดลองของเธอ กำลังจะนำไปสู่การค้นพบบางอย่างที่ยิ่งใหญ่อย่างแน่นอน
1
เธอและสามีของเธอเริ่มจะนำ Pitchblende มาบด เริ่มจาก 100 กรัม เพิ่มเป็น 200 กรัม และเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ จนในที่สุดเธอก็ต้องใช้แร่ชนิดนี้มากเป็นตัน ๆ เลยทีเดียว หลายครั้งที่เธอต้องยืนหน้าเตาร้อน ๆ เพื่อใช้ท่อนเหล็กที่สูงกว่าตัวเธอในการกระทุ้ง และบดหินเหล่านี้ทีละ 20 กิโลกรัม
จากความพยายามอุตสาหะ ในที่สุดเธอและสามีก็ทำสำเร็จ ในเดือนกรกฎาคม 1898 ทั้งสองได้เสนอรายงานกับที่ประชุมทางวิชาการ ถึงการค้นพบธาตุชนิดใหม่ที่ Marie ตั้งชื่อว่า “Polonium” ตามชื่อของประเทศโปแลนด์ บ้านเกิดของเธอ และอีก 6 เดือนต่อมาในเดือนธันวาคม ทั้งคู่ก็ประกาศถึงการค้นพบธาตุอีกชนิดหนึ่งที่ทั้งคู่ตั้งชื่อว่า “Radium” ซึ่งมาจากคำว่า Ray หรือรังสีในภาษาลาติน และสองสามีภรรยา Curie นี่เองที่เป็นคนนิยามพลังงานหรือรังสีที่แผ่ออกมาจากธาตุเหล่านี้ว่า "Radioactivity" หรือ "กัมมันตภาพรังสี"
3
ข่าวพาดหัวในหนังสือพิมพ์ของฝรั่งเศส ถึงการค้นพบธาตุกัมมันตรังสีใหม่ชื่อว่า Radium (Source: Pinterest)
แต่การจะพิสูจน์ให้ได้ว่าธาตุทั้งสองชนิดนี้มีอยู่จริง ทั้งคู่จะต้องมีการสกัดเอา Polonium และ Radium บริสุทธิ์ออกมาให้ได้ แต่ความยากคือ Pitchblende เป็นแร่ที่มีความซับซ้อนสูง มีส่วนประกอบของธาตุหลายชนิด ดังนั้นการจะสกัดเอาธาตุทั้งสองออกมาเป็นขั้นตอนที่ยากมากด้วยเครื่องไม้เครื่องมือสมัยนั้น
1
ในที่สุดด้วยความพยายามอย่างหนัก ทั้งสองใช้วิธีการตกผลึก และสามารถแยกธาตุ Radium ออกมาได้ในปี 1902 แต่เป็นในรูปแบบของ Radium Chloride หรือผลึกเกลือ Radium และต้องใช้เวลาอีก 8 ปี กว่าที่ Marie จะสามารถสกัดเอา Radium บริสุทธิ์ออกมาได้ ซึ่งจากหิน Pitchblende จำนวน 1 ตัน จะสามารถให้ Radium ได้เพียง 0.1 กรัมเท่านั้น
ในช่วงของการทดลองนั้น Marie และ Pierre ได้ร่วมมือกันเขียนรายงานทางวิชาการมากถึง 32 ฉบับ โดยหนึ่งในนั้นมีการกล่าวถึงศักยภาพของ Radium ในการฆ่าเซลล์มะเร็ง และนี่เองที่เป็นจุดเริ่มต้นของการศึกษาถึงการนำธาตุกัมมันตรังสีมาใช้ในการรักษาโรคมะเร็ง
2
Marie และ Pierre Curie ใช้วิธีการบดแร่ Pitchblende ในครกเล็ก ๆ จากนั้นนำไปตกผลึก เพื่อแยก Radium ออกมา (Source: Pinterest)
ความสำเร็จที่มาพร้อมกับการดูถูก
ปี 1903 จัดว่าเป็นปีทองของคู่สามีภรรยา Curie เพราะ Marie ได้รับปริญญาเอกจากมหาวิทยาลัยปารีสซึ่งถือเป็นความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่มากสำหรับผู้หญิงในสมัยนั้น ส่วนสามีของเธอ Pierre ก็ได้รับการบรรจุเข้าเป็นอาจารย์ชั่วคราวในมหาวิทยาลัยปารีสเช่นกัน
ในเดือนมิถุนายน ทั้งคู่ได้รับเชิญให้ไปบรรยายเกี่ยวกับกัมมันตภาพรังสี ที่สถาบัน Royal Institute ที่กรุงลอนดอน แต่ Marie กลับพบว่านอกจากในบ้านเกิดของเธอแล้ว ในอังกฤษผู้หญิงก็ยังโดนดูถูกเช่นกัน เพราะเธอไม่ได้รับอนุญาตให้ขึ้นบรรยาย Pierre จึงต้องทำหน้าที่นี้แทนเธอ แต่เธอก็ไมได้ใส่ใจกับเรื่องนี้มากนัก ส่วนเหรียญรางวัลที่เธอได้มาก็กลายไปเป็นของเล่นของลูกสาวของเธอทันทีเมื่อเดินทางกลับถึงปารีส
1
รายงานการประชุมของ Pierre Curie ที่ Royal Institute (Source: Twitter)
ในเดือนธันวาคมปีเดียวกัน The Royal Swedish Academy of Sciences ได้ตัดสินใจที่จะมอบรางวัลโนเบลสาขาฟิสิกส์ให้กับ Pierre Curie และ Henri Becquerel ในฐานะที่ทั้งสองเป็นผู้ค้นพบและอธิบายเรื่องของกัมมันตภาพรังสี โดยไม่มีชื่อของ Marie อยู่ในฐานะผู้รับรางวัล
เมื่อเรื่องนี้เดินทางมาถึงหูของ Pierre เขายืนยันทันทีว่าถ้าเธอไม่ได้รับรางวัลนี้ร่วมกับเขา เขาก็จะขอปฏิเสธรางวัลนี้เพราะเธอคือผู้ค้นพบกัมมันตภาพรังสีตัวจริง และเขาเป็นเพียงผู้ช่วยเท่านั้น สุดท้ายชื่อของเธอก็ถูกใส่เข้าไปในฐานะผู้รับรางวัล ไม่น่าเชื่อว่าแม้แต่รางวัลอันทรงเกียรติที่ควรจะปราศจากอคติใดใด ก็ยังมีอคติต่อสตรีเพศอยู่ดี
1
Henri Becquerel, Pierre Curie และ Marie Curie รับรางวัลโนเบลสาขาฟิสิกส์ร่วมกันในปี 1903 (Source: britannica)
และเรื่องก็ยังไม่จบเพียงเท่านั้น ในตอนที่มีการกล่าวสุนทรพจน์ยินดีกับทั้งสาม ทางหัวหน้าสถาบันกล่าวว่า “It’s not good that a man should be alone, so god has created a woman to help a man” ซึ่งความหมายกลาย ๆ ก็คือการพยายามบอกว่า Marie ก็เป็นได้แค่ผู้ช่วยของ Pierre เท่านั้น แต่จะยังไงก็แล้วแต่ Marie Curie คือผู้หญิงคนแรกของโลกที่ได้รับรางวัลอันทรงเกียรตินี้
แต่ที่สุดยอดไปกว่านั้นคือทั้งคู่ตัดสินใจที่จะไม่เดินทางไปรับรางวัล (ซึ่งมีน้อยคนนักที่จะทำ) เนื่องจากทั้งสองกำลังยุ่งอยู่กับการทดลอง และตัว Pierre เองก็สุขภาพไม่ค่อยดีนัก แต่เนื่องจากการจะได้รับรางวัลอย่างเป็นทางการจะต้องมีการบรรยายหลังจากได้รับรางวัลด้วยจึงจะถือว่าสมบูรณ์ ดังนั้นทั้งคู่จึงเดินทางไปยัง Stockholm ในปี 1905 เพื่อรับรางวัล ส่วนเงินที่ได้มา ทั้งสองก็นำมาเป็นเงินทุนในการทำการทดลองต่อ รวมถึงใช้เป็นทุนการศึกษาให้กับเด็กยากจนหลายคนด้วย
ประกาศนียบัตรรางวัลโนเบลของ Pierre และ Marie Curie (Source: Wikimedia)
ในตอนนั้นเองทางมหาวิทยาลัยเจนีวา ได้เชิญ Pierre ไปเป็นอาจารย์และคณะผู้บริหาร ทำให้ทางมหาวิทยาลัยปารีส ต้องทำการรั้งตัวเขาไว้โดยการบรรจุ Pierre Curie เข้าเป็นอาจารย์ถาวร และเป็นหนึ่งในผู้บริหารคณะฟิสิกส์ รวมถึงคำสัญญาที่จะสร้างห้องแลปใหม่ที่ทันสมัยและมีเครื่องไม้เครื่องมือครบครันตามคำร้องขอของเขา
ในขณะเดียวกันหลังจากการค้นพบ Radium ของทั้งคู่ ทั้งสองตัดสินใจที่จะไม่จดลิขสิทธิ์ Radium ซึ่งนั่นหมายความว่า ไม่ว่าใครก็ตามก็สามารถใช้ประโยชน์จาก Radium ได้โดยที่ไม่ต้องเสียค่าลิขสิทธิ์ใดใด ต่อมาทั้งคู่ได้กล่าวในภายหลังว่าการคิดค่าลิขสิทธิ์นั้น “Goes against the spirit of science” หรือ “ขัดต่อหลักการของวิทยาศาสตร์”
3
นิตยสาร LIFE ของอเมริกาที่กล่าวถึงการค้นพบ Radium (Source: Pinterest)
จากไปอย่างไม่มีวันหวนกลับ
ในเดือนธันวาคมปี 1904 Marie ให้กำเนิดลูกสาวคนที่ 2 ที่มีชื่อว่า Eve และเธอได้จ้างพี่เลี้ยงเด็กชาวโปแลนด์ให้มาดูแลลูก ๆ ของเธอ ลูกของเธอทั้งสองได้รับการสอนให้รู้ถึงรากเหง้าความเป็นโปแลนด์ และวัฒนธรรมของโปแลนด์ รวมถึงภาษาโปลิชด้วย เพราะสิ่งที่ Marie ภาคภูมิใจที่สุดก็คือความเป็นโปแลนด์ของเธอ และเธอก็ต้องการปลูกฝังสิ่งเหล่านี้ให้กับลูก ๆ เช่นกัน
อย่างไรก็ตาม ในเดือนเมษายน ปี 1906 Pierre ผู้ซึ่งกำลังครุ่นคิดถึงการทดลองของเขาอยู่ กำลังเดินออกจากบ้านลงไปบนถนน โดยไม่ได้ดูซ้ายขวา ทำให้เขาถูกรถม้าที่วิ่งมา ชนเข้าอย่างจัง Pierre ล้มลงบนถนน และล้อหลังของรถม้าก็บดขยี้กะโหลกของเขา ส่งผลให้เขาเสียชีวิตคาที่ หนึ่งในนักวิทยาศาสตร์ที่เก่งที่สุดในโลกได้จากไปแล้วอย่างไม่มีวันหวนกลับเพียงในชั่วเวลาไม่กี่วินาทีเท่านั้น
1
Pierre Curie โดนรถม้าชน และเสียชีวิต (Source: wikipedia)
Marie หัวใจแตกสลายเมื่อทราบข่าว เธอได้เสียทั้งเพื่อนสนิท สามี และคู่หูทำการทดลองไปในเวลาเดียวกัน เธอพยายามกลับไปทำการทดลองต่อเพื่อจะได้ลืมเรื่องราวต่าง ๆ แต่เธอก็เขียนไว้ในบันทึกส่วนตัวว่าห้องแลปนั้นเต็มไปด้วยความโศกเศร้า
แต่สิ่งที่ทำให้เธอภาคภูมิใจที่สุดคือ เธอได้รับเลือกให้เข้าบรรจุเป็นอาจารย์หญิงคนแรกในมหาวิทยาลัยปารีสแทนที่สามีของเธอ ในวันแรกนักข่าวต่างพากันมาทำข่าว ทุกคนทั้งปารีสอยากรู้ว่าผู้หญิงจะสามารถสอนหนังสือในระดับมหาวิทยาลัยได้หรือไม่ และเธอจะสามารถรับมือกับการสูญเสียสามีของเธอได้ดีแค่ไหน เธอจะร้องไห้ฟูมฟายต่อหน้านักเรียนหรือไม่ ซึ่งผลปรากฎคือ เธอเดินเข้ามาในห้องเรียน หยิบชอล์ก กล่าวประโยคเดียวกับที่สามีของเธอกล่าวทิ้งท้ายเอาไว้ในคลาสสุดท้าย และทำการสอนเนื้อหาต่อจากที่สามีของเธอสอนทิ้งไว้ราวกับเป็นเรื่องปกติธรรมดา
2
Pierre และ Marie Curie (Source: Pinterest)
และสิ่งที่เธอปรารถนาสูงสุดที่จะทำให้ได้คือ ห้องแลปที่ทางมหาวิทยาลัยสัญญากับสามีของเธอเอาไว้ เธอต้องการให้ห้องแลปแห่งนี้เป็นเสมือนอนุสรณ์ของ Pierre แต่พอ Pierre เสียชีวิตลง โครงการต่าง ๆ ก็ดูเหมือนจะล่าช้าไปด้วย จนสุดท้ายสถาบัน Pasteur Institute (สถาบันที่ตั้งชื่อเป็นเกียรติกับ Louise Pasteur ผู้ค้นพบยาปฏิชีวนะ) จึงยื่นมือเข้ามาช่วย โดยการให้เธอลาออกจากมหาวิทยาลัยปารีส และย้ายมาทำงานกับทางสถาบันแทน
การเชิญชวนครั้งนี้สุดท้ายก็สามารถไปกระตุ้นมหาวิทยาลัยปารีสให้รีบทำอะไรเร็วขึ้น จนสุดท้ายทางมหาวิทยาลัยและสถาบัน Pasteur Institute ก็ร่วมมือกันจัดตั้ง Radium Institute ขึ้น ซึ่งปัจจุบันใช้ชื่อว่า Curie Institute เพื่อเป็นศูนย์กลางในศึกษาวิจัยเกี่ยวกับกัมมันตภาพรังสี รวมถึงฟิสิกส์ เคมี และเภสัชกรรม และเปิดทำการในปี 1914 บนถนนที่มีชื่อว่า Rue de Pierre-Curie และเธอได้รับการแต่งตั้งให้เป็นผู้บริหารของสถาบันอันทรงเกียรติแห่งนี้
1
อย่างที่ได้กล่าวไปแล้วว่าในที่สุดในปี 1910 เธอก็สามารถสกัด Radium บริสุทธิ์ได้สำเร็จ และเธอยังมีส่วนร่วมในการกำหนดหน่วยที่ใชัวัดค่ากัมมันตรังสี และเธอก็ตั้งชื่อหน่วยวัดนี้ว่า “Curie” โดย 1 Curie จะมีค่าเท่ากับปริมาณกัมมันตภาพรังสีที่ปล่อยออกมาจาก Radium 1 กรัม
1
Marie Curie ผู้กำหนดค่าวัดกัมมันตรังสี (Source: Pinterest)
จบไปแล้วนะครับกับตอนที่ 1 ของ Marie Skłodowska Curie นักวิทยาศาสตร์หญิงผู้เปลี่ยนโฉมหน้าวงการวิทยาศาสตร์ไปแบบหน้ามือเป็นหลังมือ ความทุ่มเทและความรักในวิทยาศาสตร์ของเธอและสามีนั้นเรียกได้ว่ายากที่จะหาใครมาเปรียบเทียบได้
แม้ว่าเธอจะเกิดมาในยุคที่ผู้หญิงโดนดูถูก แต่เธอก็ไม่สนใจในเรื่องเหล่านั้น แต่กลับทำการทดลองต่อไปอย่างไม่ลดละ ในขณะที่ต้องเลี้ยงดูลูก ๆ สองคนไปด้วย มาถึงตอนนี้สามีของเธอได้เสียชีวิตไปแล้ว ตอนหน้าเรามาดูกันครับว่าเธอจะดำเนินชีวิตต่อไปอย่างไร และมารับรู้เรื่องราวที่หลายคนอาจจะไม่รู้มาก่อนว่า เธอคือผู้ช่วยชีวิตทหารหลายล้านคนในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 1 อย่าลืมติดตามกันนะครับ :)
สามารถตามอ่านตอนที่ 2 ได้ที่ https://www.blockdit.com/posts/6090fe2cb635110c36fc684a
ที่มา:
Podcast
The History Chicks EP74-75 "Marie Curie"

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา