แม้ว่าความสามารถของเธอจะเป็นที่ยอมรับในวงการวิทยาศาสตร์ แต่เพศสภาพของเธอ กลับไม่ได้รับการยอมรับตาม ในปี 1911 เธอสมัครเข้าเป็นสมาชิกของ French Academy of Science ซึ่งเป็นสถาบันของนักวิทยาศาสตร์ที่มีชื่อเสียงของฝรั่งเศส
หนังสือพิมพ์ฝั่งอนุรักษ์นิยมของฝรั่งเศส ที่พยายามโจมตี Marie Curie ในภาพนี้เธอโดนกล่าวหาว่าแม้กระทั่งรูปหน้าของเธอ ก็ไม่เหมาะที่จะเป็นสมาชิกของ French Academy of Sciences (Source: Pinterest)
อีกสิ่งที่ทำให้เธอพลาดการเป็นสมาชิกของสถาบันก็คือ ในปีเดียวกันนั้นเอง มีข่าวว่า Marie กำลังคบอยู่กับ Paul Langevine นักเรียนคนหนึ่งของ Pierre ซึ่งแต่งงานแล้วและมีอายุน้อยกว่าเธอถึง 5 ปี และการคบกันนี้ไม่ได้คบกันแบบธรรมดา เพราะทั้งคู่มีการเช่าอพาร์ทเมนต์อยู่ด้วยกันเป็นเรื่องเป็นราว และ Marie ก็เคยถูกภรรยาของ Paul ดักทำร้ายและขู่ให้เธอเดินทางออกจากฝรั่งเศสมาแล้ว
ในช่วงเวลาเดียวกัน เธอ และ Paul Langevine ได้รับคำเชิญให้ไปประชุมสัมมนาที่เบลเยี่ยม โดยเธอเป็นผู้หญิงคนเดียวในบรรดานักวิทยาศาสตร์ทั้งหมด 20 คนที่ได้รับเชิญ โดยหัวข้อในการสัมมนาครั้งนี้คือ “กัมมันตภาพรังสี” และหนึ่งในนักวิทยาศาสตร์ที่เข้าร่วมประชุมก็คือ Albert Einstein เจ้าของทฤษฎีสัมพันธภาพ และทั้งสองได้กลายมาเป็นเพื่อนสนิทกันจนกระทั่งทั้งสองเสียชีวิต
Marie Curie พร้อมกับ Albert Einstein ในงานประชุมสัมมนาที่เบลเยี่ยมในปี 1911 (Source: Pinterest)
และในขณะที่เธอกำลังแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกับเหล่าอัจฉริยะของโลก ในปารีส ภรรยาของ Paul ก็เจอจดหมายรักที่ Marie และ Paul เขียนโต้ตอบกัน เธอตัดสินใจเอาจดหมายเหล่านั้นไปให้นักข่าว และจดหมายบางส่วนก็ถูกตีพิมพ์ Marie Curie กลายมาเป็นผู้หญิงต่างชาติที่ทำลายสถาบันครอบครัวอันดีงาม แถมตอนนี้เธอกับ Paul ยังแอบหนีไปเบลเยี่ยมด้วยกันสองคนอีกด้วย (ซึ่งจริง ๆ คือไปประชุมสัมมนา)
เมื่อเธอเดินทางกลับมายังปารีส เธอพบว่ามีกลุ่มคนที่โกรธแค้นล้อมรอบบ้านเธออยู่ เธอโดนขู่ โดนถ่มน้ำลายใส่ เพื่อนนักวิทยาศาสตร์คนอื่น ๆ ของเธอเริ่มถอยห่าง จนสุดท้ายเธอกับลูกสาวต้องย้ายไปอยู่ที่บ้านเพื่อนเป็นการชั่วคราว ว่ากันว่าเรื่องของ Marie Curie กับ Paul Langevine เป็นข่าวที่โด่งดังที่สุดเป็นอันดับ 2 รองจากข่าวเรื่องการขโมยภาพ Mona Lisa เลยทีเดียว
Marie Curie และ Paul Langevin อยู่ด้านหน้า (Source: Pinterest)
แม้จะโดนนักข่าวรุมเร้า และผู้คนก่นด่า ก็ยังมีคนคอยให้กำลังใจเธอมากมาย โดยเฉพาะ Albert Einstein ที่เขียนจดหมายมาหาเธอ พร้อมบอกว่าให้เธอไม่ต้องไปใส่ใจกับเสียงนกเสียงกาทั้งหลาย และเธอก็ยังคงมุ่งมั่นที่จะทำการทดลองทางวิทยาศาสตร์ต่อไป
ตัวของ Marie เองก็เรียนทั้งการขับรถและการซ่อมรถ และเป็นหนึ่งในคนที่ขับรถในหน่วย Petite Curie หลายครั้งที่รถของเธอต้องขับเข้าไปใกล้กับดินแดนของศัตรู และรถของเธอคว่ำ แต่เธอก็สามารถซ่อมรถ และขับรถต่อเข้าไปยังแนวหน้าอย่างกล้าหาญ
หลายครั้งที่ Marie Curie จะเป็นผู้ขับรถเข้าไปในสนามรบด้วยตัวของเธอเอง (Source: wikipedia)
แต่มีอยู่เพียงคนเดียวเท่านั้นที่เธอยอมให้สัมภาษณ์ นักข่าวคนนั้นเป็นนักข่าวหญิงชาวอเมริกันนามว่า William Brown Meloney ว่ากันว่าที่ Marie ยอมให้เธอสัมภาษณ์นั้นเป็นเพราะว่า Meloney เป็นผู้หญิงที่มาจากครอบครัวยากจนในชนบท แต่เธอก็ใช้ความสามารถของเธอไต่เต้าจนกลายมาเป็นหนึ่งในนักข่าวที่เก่งที่สุดของอเมริกานั่นเอง
William Brown Meloney (ซ้ายสุด) พร้อมกับ Marie Curie และลูกสาวทั้งสองของเธอ ตอนที่ Marie เดินทางมายังอเมริกา (Source: Pinterest)
องค์กรสตรีต่าง ๆ ในอเมริกาไม่ว่าจะเป็น Woman of America ไปจนถึงหน่วยเนตรนารีในเมืองเล็ก ๆ ต่างระดมทุนกันอย่างขมักเขม้น และจัดตั้ง Marie Curie Radium Fund ขึ้น จนในที่สุด Meloney ก็สามารถระดุมทุนได้ และ Marie Curie ก็ได้รับคำเชิญให้เดินทางมายังอเมริกา เพื่อมารับ Radium ของเธอ
Marie Curie เมื่อเธอเดินทางไปมหาวิทยาลัยโคลัมเบีย (Source:
Marie พร้อมกับลูกสาวทั้งสอง เดินทางไปยังเมืองสำคัญต่าง ๆ ของอเมริกา เพื่อบรรยายตามมหาวิทยาลัย แต่สุขภาพของ Marie นั้นกลับไม่ค่อยเอื้ออำนวยต่อการเดินทางนัก เธอมักจะดูเหนื่อยล้าตลอดเวลา อาการตาต้อของเธอเริ่มแย่ลงเรื่อย ๆ รวมถึงไตของเธอก็ทำงานได้ไม่ดีนัก หลายปีกับการคลุกคลีอยู่กับกัมมันตรังสี เริ่มส่งผลร้ายต่อสุขภาพของเธอแล้ว
ในที่สุดหลังจากการเดินทางจบลง เธอได้รับเชิญไปยังทำเนียบขาวเพื่อรับ Radium 1 กรัมจากมือของประธานาธิบดี Warren G. Harding ด้วยตัวของเธอเอง Marie กล่าวว่าช่วงเวลานี้เป็นช่วงเวลาที่เธอดีใจมาก และนอกจาก Radium แล้ว เธอยังได้รับเงินสนับสนุนจำนวนมากจากสหรัฐอเมริกา
1
Marie Curie และ ประธานาธิบดี Warren G. Harding (Source: Pinterest)
ต่อมาในปี 1922 เธอได้รับเชิญเข้าเป็นสมาชิกของกลุ่ม International Committee on Intellectual Cooperation ซึ่งเป็นการรวมตัวกันของกลุ่มนักวิทยาศาสตร์เพื่อจะระดมทุนให้กับนักวิทยาศาสตร์ที่ไม่มีเงินทุนวิจัย และเพื่อให้เกิดความร่วมมือกันในการพัฒนาทางวิทยาศาสตร์ ที่นี้เองที่เธอได้มีโอกาสทำงานร่วมกับนักวิทยาศาสตร์ที่มีชื่อเสียงมากมาย และยังได้เป็นส่วนหนึ่งของคณะกรรมการ International Atomic Weight Committee ด้วย
ในปี 1925 เธอเดินทางไปยังโปแลนด์ บ้านเกิดที่เธอรัก เพื่อเข้าร่วมพิธีวางเสาเข็มให้กับสถาบัน Warsaw Radium Institute และเป็นครั้งแรกที่เธอได้มีโอกาสบรรยายเรื่องของกัมมันตภาพรังสีให้กับผู้ฟังในภาษาโปลิช ภาษาที่เธอรักและแสนภูมิใจ
Marie Curie ปลูกต้นไม้ต้นแรกที่สถาบัน Warsaw Radium Institute (Source: https://www.thegreenjournal.com)
สมุดบันทึกของ Marie Curie ยังคงมีสารกัมมันตรังสีหลงเหลืออยู่จนถึงปัจจุบัน (Source: blog.bir.org.uk)
หลังจากเธอเสียชีวิตไป มีหนังสือเกี่ยวกับเธอหลายเล่มได้รับการตีพิมพ์ ซึ่งหนึ่งในนั้นคือหนังสือที่ลูกสาวคนที่สองของเธอ Eve เป็นผู้แต่ง มีรูปปั้น Marie Curie อยู่ในสถานที่หลายแห่งเช่นที่ปารีสและวอร์ซอว์ โรงพยาบาลและโรงเรียนหลายแห่งได้รับการตั้งชื่อตามเธอ รวมถึงมีสถานใต้ดินในกรุงปารีสที่ได้รับการตั้งชื่อว่า Pierre et Marie Curie แต่ที่น่าสนใจที่สุดคือมีการตั้งชื่อดอกกุหลาบพันธุ์หนึ่งว่า Marie Curie เพื่อเฉลิมฉลองครบรอบ 75 ปีหลังจากที่เธอเสียชีวิต
ดอกกุหลาบ Marie Curie มีสีส้มอมชมพู เป็นดอกกุหลาบที่มีความสวยงาม และบานตลอดช่วงฤดูร้อน และที่สำคัญทนต่อสภาพอากาศได้เป็นอย่างดี ก็คงเหมือนกับเธอที่อดทนเพื่อความสำเร็จและความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์นั่นเอง
กุหลาบ Marie Curie (Source: wikipedia)
Marie Curie คือหนึ่งในอัจฉริยะ ที่นำความเปลี่ยนแปลงมาให้กับโลกของเราอย่างปฏิเสธไม่ได้ การค้นพบของเธอเปลี่ยนความเชื่อพื้นฐานของฟิสิกส์ในเรื่องของอะตอม ส่งผลให้เกิดการต่อยอดที่นำไปสู่การค้นพบใหม่ ๆ มากมาย โดยเฉพาะในสาขาเกี่ยวกับนิวเคลียร์ฟิสิกส์
ในส่วนของเคมี ธาตุชนิดใหม่ที่เธอและ Pierre ค้นพบ แม้จะพรากชีวิตไปหลายชีวิต แต่ก็ถูกนำมาดัดแปลงเพื่อใช้ในการรักษาหลายชีวิตเช่นกัน การทำคีโมเพื่อรักษาผู้ป่วยมะเร็งในปัจจุบันจะไม่มีทางเกิดขึ้นได้เลย ถ้าไม่มีการค้นพบของ Marie Curie
1
Pierre และ Marie Curie คู่รักนักวิทยาศาสตร์ในช่วงที่ทั้งคู่ไป Honeymoon (Source: Pinterest)