28 เม.ย. 2021 เวลา 07:53 • หนังสือ
#47 เล่ม 2 บทที่ 18 หน้า 281 ~ 284
...
N : พระองค์กำลังจะบอกอะไรนะครับตอนนั้น...
...
...
...
G : ฉันกำลังจะบอกว่าในสังคมอื่น (สังคมที่ตื่นรู้แล้ว) การปันสิ่งที่ตัวเองได้รับมา (สิ่งที่พวกเธอเรียกว่า "รายได้") เพื่อนำไปทำประโยชน์แก่สังคมโดยรวมนั้นถือเป็นเรื่องที่ทำกันเป็นปกติ
ภายใต้🔹ระบบสังคมใหม่🔹ของพวกเธอที่เรากำลังคุยกันอยู่นี้
✨ทุกคนจะหารายได้ในแต่ละปีได้มากเท่าที่ตัวเองต้องการ แต่จะเก็บส่วนที่หาได้นี้ไว้ได้ไม่เกินจำนวนหนึ่ง✨
N : จำนวนเท่าไหร่ครับ❓
G : แล้วแต่จะตกลงกัน จากความเห็นชอบของทุกคน
N : แล้วส่วนที่เกินจากจำนวนที่ตกลงกันนั้น❓
G : จะถูกนำไปใช้ประโยชน์ผ่านกองทุนเพื่อการกุศลของโลกในนามของผู้บริจาค เพื่อที่ทั้งโลกจะได้รู้ว่าใครเป็นผู้ทำประโยชน์
ผู้บริจาคมีสิทธิเลือกได้ว่าจะให้เงินส่วนเกิน 60% ของที่ตนบริจาคนั้นใช้ไปกับอะไร เพื่อจะได้นำเงินส่วนเกินส่วนใหญ่ไปใช้ให้สอดคล้องกับความต้องการจริงๆของผู้บริจาค
เงินส่วนเกินที่เหลืออีก 40% จะนำไปจัดสรรให้แก่โครงการต่างๆที่สมาพันธ์โลกเห็นชอบและดูแลอยู่
N : ถ้าทุกคนรู้ว่า หากตนมีรายได้เกินกว่าจำนวนที่กำหนดแล้วจะต้องถูกนำไปให้คนอื่น แล้วทีนี้อะไรที่จะจูงใจให้พวกเขาทำงานต่อไปละครับ❓ อะไรที่จะผลักดันไม่ให้พวกเขาหยุดมือเมื่อรายได้ถึง "ขีดจำกัด" แล้ว❓
G : บางคนจะหยุด แต่แล้วยังไงล่ะ❓
ก็ให้พวกเขาหยุดไปสิ 🔸การบังคับให้ทำงานเกินเพดานรายได้เพื่อนำเงินไปบริจาคเข้ากองทุนการกุศลของโลกนั้นไม่จำเป็นหรอกนะ🔸
✴️เงินที่ประหยัดได้จากการไม่ต้องผลิตอาวุธสงครามเพียงอย่างเดียวก็มากพอที่จะจัดหาความจำเป็นขั้นพื้นฐานให้กับทุกคนแล้ว✴️
นอกเหนือจากเงินที่ประหยัดได้จากการผลิตอาวุธแล้ว เงินเพียงเล็กน้อยแค่ 10% ที่เกินจากเพดานรายได้จากคนทั่วโลกจะช่วยยกระดับเกียรติยศศักดิ์ศรีและความมั่งคั่งของสังคมทั้งหมดขึ้นสู่ระดับใหม่ (ไม่ใช่ยกระดับแค่เฉพาะบางประเทศเท่านั้น)
และเงินบริจาคที่เกินจากเพดานรายได้ที่เกิดจากการตกลงกันของทุกคนนั้นจะก่อให้เกิดโอกาสและความพึงพอใจให้กับทุกคน 🌟จนความริษยาและความโกรธแค้นของคนในสังคมจะมลายหายไปได้อย่างแท้จริง🌟
💢ดังนั้นบางคนจะหยุดทำงาน โดยเฉพาะกับคนที่เห็นว่าสิ่งที่ตัวเองทำอยู่คือการตรากตรำทำงานหนักอย่างยากลำบาก💢
✨แต่กับคนที่เห็นว่าสิ่งที่ตัวเองทำอยู่นั้นคือความรื่นเริงเบิกบานอย่างยิ่งจะไม่มีวันหยุดทำหรอก✨
N : ใช่ว่าทุกคนจะมีโอกาสได้ทำงานแบบนั้นเสียเมื่อไหร่
G : ไม่จริง ทุกคนทำได้
✨ความเบิกบานในที่ทำงานนั้นไม่ได้เกี่ยวอะไรกับหน้าที่ที่ต้องทำเลย✨
✴️แต่ขึ้นอยู่กับจุดมุ่งหมายต่างหาก✴️
แม่ที่ต้องตื่นมาตอนตีสี่เพื่อเปลี่ยนผ้าอ้อมให้ลูกจะเข้าใจเรื่องนี้ได้อย่างแจ่มแจ้ง ผู้เป็นแม่กำลังกล่อมลูกน้อย ซึ่งไม่ว่าจะมองจากมุมไหนก็ไม่เห็นว่าสิ่งที่แม่กำลังทำอยู่นั้นคือการตรากตรำทำงาน เพราะทัศนคติและเจตจำนงที่ผู้เป็นแม่มีต่อสิ่งที่ตัวเองกำลังทำอยู่รวมถึงจุดมุ่งหมายที่มีต่อกิจกรรมที่กำลังทำอยู่นี้เองที่ทำให้กิจกรรมที่กำลังทำนั้นเป็นความรื่นเริงเบิกบานอย่างแท้จริง
ฉันเคยใช้ความรู้สึกของผู้เป็นแม่มาเป็นตัวอย่างแล้วก่อนหน้านี้ เพราะความรักของแม่ที่มีต่อลูกนั้นใกล้เคียงพอให้เธอสามารถทำความเข้าใจแนวคิดบางอย่างที่ฉันกำลังพูดถึงในหนังสือเล่มนี้และในไตรภาคนี้ได้
N : แต่ถึงอย่างนั้น อะไรคือจุดมุ่งหมายของการขจัด "ศักยภาพในการหารายได้ไม่มีขีดจำกัด" ออกไปครับ❓
มันจะไม่เป็นการขัดขวางมนุษย์ไม่ให้มีหนึ่งในประสบการณ์ถึงโอกาสอันยิ่งใหญ่ที่สุด รวมถึงหนึ่งในประสบการณ์ของการผจญภัยที่น่าตื่นเต้นที่สุดไปหรือครับ❓
G : เธอจะยังคงมีโอกาสและการผจญภัยด้านรายได้เป็นตัวเงินที่สูงเสียจนน่าตกใจ เพดานรายได้จะสูง มากๆ มากกว่าที่คนทั่วไป (มากกว่าคนทั่วไปสิบคนรวมกัน) จะเคยคิดต้องการและจำเป็นเสียอีก
จะไม่มีการจำกัดจำนวนรายได้ที่เธอสามารถหาได้ จะจำกัดก็เพียงแต่เงินที่เธอสามารถเก็บเอาไว้ใช้ส่วนตัวเท่านั้น ส่วนที่เหลือตีเสียว่าเป็นเงิน 25 ล้านเหรียญต่อปี (ฉันสมมติตัวเลขขึ้นมาเพื่อชี้ประเด็นเฉยๆ) จะนำไปใช้ในโครงการและบริการที่เป็นประโยชน์ต่อมนุษยชาติทั้งมวล
ส่วนเรื่องเหตุว่าทำไมถึงต้องทำอย่างนี้...
✴️เพดานรายได้ของเงินที่สามารถเก็บไว้ได้คือภาพสะท้อนของระดับจิตสำนึกบนโลก✴️
คือการแสดงให้เห็นถึง "การตระหนักรู้" ว่า ✨จุดมุ่งหมายสูงสุดของชีวิตไม่ใช่การสะสมความมั่งคั่งให้ได้มากที่สุด แต่คือการทำสิ่งที่ดีงามที่สุดต่างหาก✨
✨พร้อมกับแสดงถึงความเข้าใจในผลลัพธ์ที่ตามมาว่าแท้จริงแล้ว "ความมั่งคั่งที่กระจุกตัว" นั่นเอง (มิใช่ความมั่งคั่งที่แบ่งปันออกไป) คือปัจจัยสำคัญที่สุดที่ก่อให้เกิดสถานการณ์อันยุ่งยากทางสังคมและทางการเมืองที่สาหัสสากรรจ์และไม่จบไม่สิ้นกับโลกใบนี้✨
...
...
...

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา