Blockdit Logo
Blockdit Logo (Mobile)
สำรวจ
ลงทุน
คำถาม
เข้าสู่ระบบ
มีบัญชีอยู่แล้ว?
เข้าสู่ระบบ
หรือ
ลงทะเบียน
ดูก่อนนอน
•
ติดตาม
24 พ.ค. 2021 เวลา 13:12 • นิยาย เรื่องสั้น
เรื่องสั้น ขวัญผวา ตอน บ้านไร้จุดจบ (ฉบับเต็ม)
สวัสดีครับผมชื่อ ดาวิด ส่วนนี่เพื่อนของผมชื่อ ปีเตอร์เทอร์รี่ เขาเป็นคนที่ติดเฮโรอีนมาก เราเป็นเพื่อนกันในมหาวิทยาลัยจนกระทั่งผมเรียนจบ แต่เขาดรอปเรียนไปหลังจากเริ่มเรียนได้ 2 ปี เรื่องราวของผมเริ่มต้นตอนที่ผมย้ายออกมาจากหอพักแล้วเข้าไปอยู่ห้องเช่าเล็ก ๆ ผมก็ไม่ได้เจอกับปีเตอร์มากนัก เราจะคุยกันทางออนไลน์เป็นระยะ ๆ มีช่วงหนึ่งที่เขาไม่ได้ออนไลน์เป็นเวลาประมาณ 5สัปดาห์ ผมไม่ได้กังวลอะไรมากนัก เพราะเขาอาจจะเสพยาอยู่จนไม่ได้ทำอย่างอื่นก็ได้ แต่แล้วคืนหนึ่งผมก็เห็นเขากลับมาออนไลน์อีกครั้ง ก่อนที่ผมจะทักเขาไป เขากลับส่งข้อความมาหาผมก่อน “ ดาวิดพวกเราต้องคุยกัน” นั่นคือตอนที่เขาบอกกับผมเรื่อง “บ้านไร้จุดจบ” ที่เรียกชื่อนี้ก็เพราะไม่มีใครเคยไปถึงทางออกสุดท้ายของบ้านได้เลย กฎของบ้านหลังนี้ค่อนข้างง่าย คือไปให้ถึงห้องสุดท้ายของบ้านแล้วคุณจะได้เงินรางวัล $ 500
ภายในบ้านมีทั้งหมด 9 ห้อง บ้านหลังนี้ตั้งอยู่นอกตัวเมือง ห่างจากบ้านของผมประมาณ 4 ไมล์ เห็นได้ชัดว่าปีเตอร์น่าจะเคยได้ลองไปที่บ้านหลังนั้นแล้วแต่ก็น่าจะล้มเหลวไป เขาเป็นคนติดยา ผมคิดว่าน่าจะเป็นเพราะยานั่นแหละที่ทำให้เขาเห็นสิ่งที่ผิดธรรมชาติในบ้านหลังนั้น ผมยังคงไม่เชื่อที่เขาเล่า ผมบอกกับเขาว่าผมจะลองไปดูในคืนวันพรุ่งนี้และไม่ว่าเขาจะพยายามโน้มน้าวผมแค่ไหนก็ตาม $ 500 มันฟังดูไม่น่าเกินจริงเท่าไหร่ และแล้วผมก็ไปที่บ้านหลังนั้น
เมื่อผมมาถึง ผมก็สังเกตเห็นบางสิ่งบางอย่างที่แปลกๆ เกี่ยวกับบ้านหลังนี้ทันที คุณเคยเห็นหรืออ่านอะไรบางอย่างที่ไม่น่ากลัว แต่กลับมีบางอย่างทำให้รู้สึกเสียวสันหลังขึ้นมารึเปล่า? หัวใจของผมเต้นช้าลงก่อนที่จะเข้าไปในบ้าน ภายห้องดูเหมือนล็อบบี้ของโรงแรมธรรมดาๆ ที่ตกแต่งไว้สำหรับวันฮาโลวีน มีป้ายเขียนไว้ว่า “ห้องที่ 1 ทางนี้” ไปให้ถึงอีก 8 ห้องแล้วคุณจะได้รับรางวัล ผมหัวเราะเบาๆ แล้วก็เดินไปที่ประตูของห้องแรก
ห้องแรกทำผมหัวเราะหนักมาก ของทั้งหมดในห้องมันคือของที่ใช้ในวันฮาโลวีนที่มีทั้ง ผีผ้าคลุม และหุ่นยนต์ซอมบี้ที่จะส่งเสียงตอนที่เดินผ่าน สุดทางเดินเดินในห้องคือประตูของห้องถัดไป ผมมุ้งหน้าไปยังห้องที่ 2 ต่อ
ห้องที่ 2 มีหมอกอยู่เต็มห้องไปหมด ดูเหมือนจะใช้เทคโนโลยีที่ดีกว่าห้องแรก ไม่เพียงแต่มีเครื่องพ่นหมอกเท่านั้น แต่ยังมีค้างคาวตัวหนึ่งห้อยลงมาจากเพดานและบินวนเป็นวงกลม เริ่มจะน่ากลัวขึ้นแล้ว ดูเหมือนว่าพวกเขาจะมีเพลงวันฮาโลวีนที่เล่นวนซ้ำอยู่ที่ไหนสักแห่งในห้อง ผมไม่เห็นเครื่องเล่นเสียงเลย แต่เสียงน่าจะมาจากลำโพงที่ซ่อนไว้สักที่ในห้องนี้แน่นอน ผมเดินข้ามของเล่นสองสามอย่างไป มันไม่น่ากลัวเลยสักนิด ผมเดินยืดอกไปยังห้องถัดไป
ผมเอื้อมมือไปที่ลูกบิด และมันทำให้หัวใจของผมตกลงไปที่ตาตุ่ม ผมไม่อยากเปิดประตูนี้เลย ความรู้สึกน่าหวาดกลัวถาโถมเข้ามาอย่างหนัก ผมนิ่งอยู่สักพักเพื่อสลัดความกลัวออกไปจากนั้นก็เปิดประตูเข้าไป
ห้องที่ 3 คือช่วงที่สิ่งต่างๆเริ่มเปลี่ยนไป บนพื้นห้องดูเหมือนห้องธรรมดาทั่วไป มีเก้าอี้ตัวนึงวางอยู่บนพื้นกลางห้อง มีตะเกียงดวงหนึ่งแขวนอยู่ที่มุมห้อง ให้แสงสลัวๆ พาดผานวัตถุในห้องจนเกิดเป็นเงาบนพื้นห้องและผนัง นอกจากเก้าอี้แล้วยังมีของอีกหลายอย่างอยู่ในห้อง ผมค่อยๆเดินไปที่ประตูพร้อมกับความหวาดกลัวที่เริ่มกัดกินเข้ามา ตอนนั้นเองที่ผมเริ่มรู้สึกว่ามีบางอย่างไม่ถูกต้อง ผมหันหลังกลับพยายามเปิดประตูห้องก่อนหน้าแต่มันถูกล็อคจากอีกด้านนึง มันทำให้สติผมแทบหลุด มีใครบางคนล็อคประตูขณะที่ผมกำลังจะเปิดมัน ไม่มีทาง ผมไม่ได้ยินเสียงใครเลยนี่นา หรือมันอาจจะเป็นระบบล็อคอัตโนมัติ บางทีผมคิดว่าผมอาจจะกลัวเกินไปก็ได้ ผมตัดสินใจหันกลับไปที่ห้อง ตอนนี้เงาที่เคยเห็นในตอนแรกมันหายไปแล้วรวมทั้งของอื่นๆในห้องด้วย แต่เงาของเก้าอี้ยังไม่ได้หายไป
จากนั้นผมก็เริ่มเดินอย่างช้าๆ ผมเคยเห็นเงาน่ากลัวแบบนี้ตอนเด็กๆ ผมสามารถจินตนาการให้มันเป็นอย่างอื่นได้ ผมเริ่มรู้สึกดีขึ้นเมื่อเดินมาถึงกลางห้อง แล้วขณะที่ผมก้มมองพื้น บ้าน่า ผมมองไม่เห็นเงาของตัวเองเลย แทบไม่มีเวลาให้กับความกลัว ผมรีบวื่งให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ไปที่ประตูห้องถัดไปโดยไม่คิดว่าตัวเองจะเข้ามาที่ห้องนี้
ห้องที่ 4 อาจจะเป็นห้องที่น่ากลัวที่สุด พอผมปิดประตูแสงทั้งหมดดูเหมือนจะถูกดูดออกและนำกลับไปไว้ที่ห้องก่อนหน้า ความมืดล้อมรอบตัวผมจนไม่กล้าขยับไปไหน ที่ผ่านผมไม่เคยกลัวความมืดเลย แต่ตอนนี้มันทำให้ผมแทบประสาทหลอน ผมมองไม่เห็นอะไรเลย ผมเอามือของตัวเองมาจับที่หน้าอก ไม่รู้เลยว่าตอนนี้ผมกำลังทำอะไรอยู่ มันมืดเกินที่จะอธิบายได้ ผมไม่ได้ยินเสียงอะไรเลย ทุกอย่างเงียบสงัด ไม่ได้ยินแม้แต่เสียงลมหายใจของตัวเอง
ผมตัดสินใจเริ่มออกเดินแต่ก็เสียหลักสะดุดล้มไปข้างหน้า จังหวะนั้นหัวใจผมเต้นเร็วมากนั่นเป็นสิ่งเดียวที่ผมรู้สึกได้ว่าตัวเองยังมีชีวิตอยู่ ผมมองไม่เห็นประตูเลย ไม่แน่ใจด้วยซ้ำว่าห้องนี้มันจะมีประตูอยู่ตรงไหน จากนั้นความเงียบก็ถูกทำลายลงด้วยเสียงฮัมต่ำเสียงนึง ผมรู้สึกได้ถึงบางอย่างที่อยู่ข้างหลังผม ฉันรีบหมุนตัวไปมองรอบ ๆ ทั้งๆที่แทบมองไม่เห็นจมูกของตัวเองเลยด้วยซ้ำ ผมรู้ว่ามันอยู่ตรงนั้น ไม่ว่าจะมืดแค่ไหนก็ตามผมก็รู้ว่ามีบางอย่างอยู่ที่นั่น เสียงครวญครางดังเข้ามาใกล้มากขึ้น ผมรู้สึกได้ว่าตอนนี้มันมาอยู่ข้างหน้าผมแล้ว ผมค่อยๆก้าวถอยหลัง ผมไม่เคยรู้สึกกลัวอะไรขนาดนี้มาก่อน ผมไม่สามารถบรรยายความกลัวในตอนนี้ได้เลย ผมไม่กลัวว่าตัวเองจะตายด้วยซ้ำ แต่ผมกลัวสิ่งที่อยู่ตรงหน้าผมตอนนี้มากกว่า แล้วจู่ๆไฟก็กระพริบขึ้นมาชั่วขณะแต่ว่า
ไม่มีอะไรเลย ไม่มีอะไรอยู่ตรงนั้นเลย ผมรู้สึกโล่งใจ แล้วหลังจากนั้นห้องจมลงสู่ความมืดอีกครั้งและเสียงครวญครางก็กลายเป็นเสียงกรีดร้องดังลั่น ขณะนั้นผมก็กรีดร้องเช่นกันจนไม่ได้ยินเสียงที่น่ารังเกียจนี้เพราะเสียงของผมกลบเสียงนั้นไปจนหมด ผมออกตัววิ่งออกห่างจากเสียงนั้นและพยายามคลำหาที่จับประตูจนเจอแล้วรีบเปิดเข้าสู่ห้องถัดไป
ความเดิมจากตอนที่แล้ว ดาวิดได้เข้ามาในบ้านไร้จุดจบตามคำแนะของปีเตอร์เพื่อนของเค้า ดาวิดผ่านห้องที่ 1 และห้องที่2 ไปอย่างสบายๆ ความหน้ากลัวเริ่มขึ้นตั้งแต่ห้องที่ 3 และห้องที่ 4 เป็นห้องที่ทำให้เค้าแทบเสียสติ เพราะเสียงประหลาดเสียงหนึ่ง ทำให้เค้าต้องวิ่งหนีไปยังห้องที่ 5 และเรื่องราวของตอนนี้จะเริ่มต้นในห้องที่ 5
ก่อนที่ผมจะบรรยายห้องที่ 5 คุณต้องเข้าใจบางอย่างก่อน ผมไม่ใช่พวกติดยา ไม่มีประวัติเกี่ยวกับการใช้ยาเสพติดหรือโรคประสาทประเภทไหนเลย ซึ่งภาพหลอนในวัยเด็กที่ผมเคยเห็นมันจะเกิดขึ้นเฉพาะเมื่อตอนผมเหนื่อยหรือเพิ่งตื่นนอน เพราะตอนแรกที่ผมเข้ามาในบ้านหลังนี้ผมยังรู้สึกสบายๆอยู่เลย
หลังจากล้มลงในห้องที่ 5 ผมมองจากพื้นขึ้นไปบนเพดาน สิ่งที่ผมเห็นไม่ได้ทำให้ผมตกใจ มันทำให้ฉันประหลาดใจมากกว่า เพราะมันมีต้นไม้ตั้งตระหง่านอยู่ทั่วห้องราวกับป่า เพดานในห้องนี้ดูสูงกว่าห้องอื่น ๆ ทำให้ผมคิดว่าห้องนี้น่าจะอยู่ตรงกลางบ้าน ผมลุกขึ้นจากพื้นปัดฝุ่นและมองไปรอบ ๆ มันเป็นห้องที่ใหญ่ที่สุดเลยเท่าที่ผ่านมา ผมมองไม่เห็นประตูจากที่ที่ผมอยู่ หญ้าและต้นไม้ต่างๆบดบังทางออกอยู่ มาถึงจุดนี้ผมคิดว่าภายในห้องจะน่ากลัวกว่านี้ แต่นี่เหมือนเป็นสวรรค์ไปเลยเมื่อเทียบกับห้องก่อนหน้า ผมคิดว่าไอ้เจ้าตัวที่อยู่ในห้องที่ 4 คงจะไม่มาที่ห้องนี้ แต่ผมคิดผิด
เมื่อเดินเข้าไปในห้องลึกขึ้นเรื่อย ๆ ผมก็เริ่มได้ยินสิ่งที่ควรจะได้ยินเวลาที่อยู่ในป่า แมลงส่งเสียงเจื้อยแจ้วและนกกระพือปีกเป็นครั้งคราว นั่นเป็นเสียงที่กวนใจผมมากที่สุด ผมได้ยินเสียงแมลงและสัตว์อื่น ๆ แต่กลับมองไม่เห็นพวกมันเลย ผมเริ่มสงสัยว่าบ้านหลังนี้มันใหญ่ขนาดไหนกันแน่ ก่อนเข้ามาในบ้านหลังนี้ มันแทบจะเหมือนบ้านทั่วๆไป แต่ห้องนี้แทบจะเต็มไปด้วยป่า มองไม่เห็นเพดานและผนังห้องเลยด้วยซ้ำ สิ่งเดียวที่ทำให้ผมรู้ว่าผมยังอยู่ข้างในบ้านคือพื้นห้องที่เป็นพื้นไม้สีเข้ม
ผมเดินไปเรื่อย ๆ หวังว่าต้นไม้ต้นถัดไปที่ผมเดินผ่านไปจะเผยให้เห็นประตูของห้องถัดไป หลังจากเดินไปสักพักผมรู้สึกว่ามียุงตัวนึงบินมาเกาะที่แขน ผมปัดมันออกและเดินต่อไป วินาทีต่อมาผมรู้สึกว่าน่าจะมีอีก 10 ตัวมีเกาะที่ตัวผม ผมรู้สึกว่าพวกมันไต่ขึ้นลงบนแขนและขาของผมและมีสองสามตัวไต่อยู่ที่หน้าผม ผมสะบัดหน้าไปมาอย่างดุเดือดเพื่อไล่พวกมันทั้งหมดออกไป แต่พวกมันก็กลับมาอีก ผมมองลงไปและส่งเสียงกรีดร้องอู้อี้ จริงๆมันเป็นเสียงครวญครางมากกว่า แต่พอผมมองดูดีๆกลับไม่เจออะไรเลย ไม่เห็นแมลงเลยสักตัว แล้วที่ผมรู้สึกว่ามีอะไรไต่อยู่ล่ะ มันคืออะไร ความรู้สึกหวาดกลัวเริ่มกลับมาอีกแล้ว ผมล้มตัวลงพื้นกลิ้งตัวไปมาอย่างร้อนรน ต้องบอกก่อนว่าผมเกลียดแมลงมากโดยเฉพาะผมมองไม่เห็นพวกมัน แต่ยังรู้สึกได้ว่าพวกมันยังเกาะผมอยู่ ผมเริ่มคลานไม่ตามพื้น ผมไม่รู้ว่าผมจะไปที่ไหน ไม่มีทางเข้าที่ไหนเลยและผมก็ยังไม่เห็นทางออกด้วยซ้ำ ขณะคลานไปก็ยังรู้สึกได้ว่าพวกแมลงผีนั่นมันยังคงเกาะตามตัวผมอยู่
หลังจากผ่านไปเกือบชั่วโมงผมก็เจอประตูสักที ผมรีบพยุงตัวขึ้นตบแขนขาตัวเอง แล้วพยายามวิ่งออกไป แต่กลับทำไม่ได้ ร่างกายของผมเหนื่อยล้าจากการคลานและจัดการกับสิ่งที่อยู่ตามตัวผม ผมเดินไปที่ประตูอย่างช้าๆ
ประตูอยู่ห่างออกไปเพียงไม่กี่เมตร แต่แล้วผมก็ได้ยินเสียงนั้นอีกครั้ง เสียงของไอ่ตัวที่อยู่ในห้องที่ 4 แต่ตอนนี้เสียงนั้นมันดังมาจากห้องถัดไป ห้องที่อยู่ข้างหน้าผมตอนนี้ เสียงนั้นดังและทุ้มขึ้นกว่าเดิมเหมือนเข้ามากระทบตัวผมอย่างจัง พอยืนอยู่หน้าประตูแมลงที่เกาะตามตัวก็ได้หายไปหมดแล้ว ผมจับลูกบิดประตู แต่ไม่กล้าออกแรงบิดประตู ผมรู้ว่าถ้าผมหนีออกไปทางเดิมพวกแมลงก็จะกลับมาและก็ไม่มีทางออกไปจากห้องที่ 4 ได้แน่เพราะประตูมันล็อคอยู่ ผมทำได้แค่ยืนนิ่งอยู่ตรงนั้น หัวก็พิงกับประตูที่มี
เครื่องหมายเลข 6 มือจับลูกบิดอย่างสั่นเทา เสียงครวญครางดังมากจนผมไม่ได้ยินด้วยซ้ำว่าตัวเองกำลังคิดอะไรอยู่ ผมทำอะไรไม่ได้นอกจากเดินหน้าต่อไป ห้องที่ 6 อยู่ข้างข้างหน้าและห้องนั้นมันจะเป็นนรกอย่างแน่นอน
ผมตัดสินใจเปิดประตูเข้าไป แล้วหลับตาลง แต่หูก็ยังได้ยินเสียงนั้น มันยังคงดังอยู่รอบๆตัวผม แต่เมื่อผมปิดประตูเสียงนั้นก็หายไป ผมลืมตาขึ้นด้วยความประหลาดใจและประตูที่ผมเพิ่งปิดไปเมื่อกี้ก็หายไปเช่นกัน ตอนนี้มันเป็นเพียงแค่กำแพง ผมมองไปรอบ ๆ ด้วยความตกใจ ห้องนี้เหมือนกับห้องที่ 3 มีเก้าอี้และโคมไฟตัวเดียวกัน แต่คราวนี้เงาทอดผ่านถูกที่ถูกทางแล้ว สิ่งที่ไม่เหมือนเดิมคือไม่มีประตูทางออกและประตูที่ผมเพิ่งเข้ามาก็หายไป ตอนนี้ผมรู้สึกว่าตัวเองกำลังจะเสียสติแล้ว ผมทำอะไรไม่ได้เลย ผมไม่ได้กรีดร้อง ไม่ได้ส่งเสียง
ผมใช้มือข่วนกำแพงเบา เป็นกำแพงที่หนาพอสมควร ผมคิดว่ามันต้องมีประตูซ่อนอยู่ที่ไหนสักแห่งแน่นอน มันต้องมีอยู่แน่นอน ผมข่วนไปตรงที่เคยมีลูกบิดประตูอยู่ ผมยังคงทำแบบนั้นอยู่เรื่อยๆ ผมคุกเข่าลงเงียบ ๆ เสียงเดียวที่ได้ยินในห้องคือเสียงเล็บข่วนกับผนังไม่หยุดหย่อน ผมรู้ว่าประตูมันจะอยู่ตรงนั้น เพียงแค่ผมต้องพังผนังนี้ให้ได้
“เป็นไงบ้าง”
ผมตกใจสะดุ้งลุกขึ้นแล้วหันหลังกลับไปมองตามเสียงที่ได้ยิน จนถึงตอนนี้ผมยังรู้สึกเสียใจที่หันกลับไปอยู่เลย มีเด็กหญิงตัวเล็ก ๆ คนหนึ่ง เธอสวมชุดเดรสสีขาวนุ่ม ๆ ที่ยาวลงมาถึงเข่า เธอมี ผิวขาว ดวงตาสีฟ้า เธอเป็นสิ่งที่น่ากลัวที่สุดที่ผมเคยเห็นและผมรู้ว่าไม่มีอะไรในชีวิตของผมที่จะน่ากลัวเท่ากับสิ่งที่ผมเห็นในตัวเธอ
ผมเห็นบางอย่าง บางอย่างที่ดูเหมือนร่างกายของผู้ชายซึ่งมีขนาดใหญ่กว่าปกติและมีขนปกคลุมทั่วร่างกาย ที่ผมรู้คือไม่ใช่มนุษย์แน่ๆ มันดูเหมือนปีศาจหมาป่ามากกว่า มันน่าสยดสยองมาก เหมือนกับเด็กสาวตรงหน้าผมกับปีศาจตัวนี้เป็นคนๆเดียวกัน ผมไม่สามารถบรรยายได้จริงๆ แต่ผมเห็นพวกเขาในเวลาเดียวกัน พวกเขาอยู่ในจุดเดียวกันในห้องนี้ แต่มันเหมือนกับการมองสองมิติที่แยกจากกัน เมื่อผมเห็นเด็กสาวผมก็จะเห็นปีศาจ เมื่อผมเห็นปีศาจผมก็จะเห็นเด็กสาว ผมแทบเป็นใบ้ไปเลย แทบไม่อยากเชื่อสายตาตัวเอง ผมใช้ความคิดกับเหตุการณ์ตรงหน้าไม่ได้เลยสักนิด ผมเคยกลัวมากที่สุดในชีวิตเมื่อไม่นานมานี้ แต่มันเทียบไม่ได้เลยกับตอนนี้ ผมทำได้แค่ยืนนิ่งแล้วจ้องมองภาพตรงหน้า ผมถูกขังไว้ที่นี่กับปีศาจ
และแล้วมันก็เริ่มพูด “ดาวิด คุณต้องฟังฉัน” ผมได้ยินเป็นเสียงของเด็กสาว แต่มันเหมือนไม่ได้มาจากเสียงพูด มันเหมือนเป็นเสียงในความคิดมากกว่า แล้วก็ไม่มีประโยคไหนที่มันพูดอีกมาอีกเลย เสียงนั้นยังคงย้ำประโยคเดิมซ้ำแล้วซ้ำเล่าในคว่มคิดของผมและฉันก็เห็นด้วยกับที่มันพูด ผมต้องฟังมัน ผมไม่รู้ว่าจะทำอย่างไร ผมกำลังตกอยู่ในความบ้าคลั่ง แต่ก็ไม่สามารถละสายตาจากสิ่งที่อยู่ตรงหน้าได้ ผมล้มลงไปกองกับพื้น ผมคิดว่าตัวเองน่าจะสลบไปแล้ว แต่ก็ไม่ ผมแค่อยากให้มันจบลงสักที ผมจ้องมองที่มัน มันก็จ้องมาที่ผมอย่างไม่ละสายตา ผมเห็นหนูของเล่นกำลังวิ่งไปมาบนพื้นตรงหน้า ผมเคยเห็นมันมาแล้วในห้องที่ 2 บ้านหลังนี้กำลังเล่นสนุกกับผม แต่เมื่อผมเห็นหนูของเล่นตัวนั้น มันทำให้สติผมเริ่มกลับมาอีกครั้ง ผมเริ่มมองไปรอบๆห้อง ผมต้องออกไปจากบ้านหลังนี้และมีชีวิตรอดกลับไปให้ได้ ผมรู้ว่าห้องนี้มันคือนรกและผมยังไม่พร้อมที่จะจบลงที่นี่ ผมกวาดตามองหาผนังหรือหาอะไรก็ได้ที่จะพาผมออกไปจากห้องนี้ จริงๆแล้วห้องนี้มันก็ไม่ได้ใหญ่มาก ดังนั้นจึงใช้เวลาไม่นานในการรู้แผนผังห้องทั้งหมด ปีศาจตัวนั้นมันยังคงจ้องมาที่ผม แต่ตอนนี้ผมไม่มีเวลาแล้ว ผมรีบหันเข้าหาผนังห้อง สำรวจดูว่ามีกลไกอะไรสักอย่างรึเปล่า
จากนั้นผมก็แทบไม่อยากจะเชื่อ ปีศาจตัวนั้นมาอยู่ข้างหลังผม แล้วกระซิบผ่านทางความคิดว่า “นายไม่ควรมาที่นี่” ผมสัมผัสได้ถึงลมหายใจที่หลังคอ แต่ผมจะไม่ยอมหันกลับไปเด็ดขาด แต่แล้วผมก็เห็นบางอย่าง มันคือเลข 7 ตัวใหญ่ที่ฝังอยู่บนผนังห้อง ผมแน่ใจว่าข้างหลังกำแพงนี้คือห้องที่ 7 อย่างแน่นอน ผมไม่รู้ว่าผมทำได้ยังไง บางทีภายในจิตใจของผมอาจจะสร้างประตูนี้ขึ้นมาก็ได้ และแล้วผมก็พบประตูที่จะพาผมไปยังห้องถัดไป ห้องที่ 7 อยู่ใกล้แค่เอื้อม ปีศาจตัวนั้นยังอยู่ข้างหลังผม แต่ไม่รู้ว่าเพราะอะไรมันถึงไม่มาจับตัวผม ผมใช้มือทั้งสองข้างกดลงไปที่เลข 7 จากนั้นก็ออกแรงอย่างกำลัง แล้วปีศาจก็กรีดร้องดังลั่น เหมือนมันกำลังจะบอกผมว่า ผมไม่มีทางจะออกไปจากที่นี่ได้ ที่นี่คือจุดจบสำหรับผม แต่ผมจะไม่ยอมให้เป็นแบบนั้น ผมออกแรงกดสุดกำลังพร้อมกับกรีดร้อง แล้วผมก็รู้สึกได้ว่าตัวผมกำลังทะลุผ่านเข้ามาในกำแพงแล้ว ผมหลับตาร้องเสียงหลง
เมื่อลืมตาขึ้น ตอนนี้เหมือนปีศาจได้หายไปแล้ว ผมถูกทิ้งไว้ความเงียบ ผมหันไปมองรอบๆห้อง แล้วสิ่งที่ผมเห็นคือ ห้องที่มีเก้าอี้กับตะเกียง
ผมแทบไม่อยากจะเชื่อสายตาตัวเอง แต่ตอนนี้ไม่มีเวลามาตกใจแล้ว ผมรีบหันกลับไปมองข้างหลัง ผมเห็นประตูอยู่ตรงนั้น แต่ไม่ใช่บานผมเคยข่วน แต่เป็นประตูธรรมดาที่มีเลขเจ็ดอยู่ ผมเริ่มตัวสั่น และใช้เวลาสักพักในการหมุนลูกบิด ผมจ้องมองไปที่ประตู ผมไม่อยากอยู่ในห้องที่หกแล้ว แต่ก็ไม่อยากคิดเลยว่าจะมีอะไรรอผมอยู่ในห้องที่ 7 บ้าง ผมหายใจลึกๆแล้วก็ตัดสินใจเปิดประตูเข้าไป
ผมพาตัวเองที่เหนื่อยล้าเดินผ่านประตูอย่างช้าๆ ประตูปิดลง ผมเริ่มมองไปรอบๆกลับพบว่าตอนนี้ผมอยู่ข้างนอกแล้ว ผมแทบอยากจะร้องไห้มาก ผมทรุดตัวคุกเข่าดีใจอย่างถึงที่สุด ในที่สุดผมก็ได้ออกจากนรกนี้สักที ผมไม่สนใจเงินรางวัลแล้วตอนนี้ ผมหันไปมองบ้านหลังนั้น จากนั้นผมก็เดินไปที่รถเพื่อขับรถกลับไปที่บ้าน อยากจะอาบน้ำให้สดชื่นเพื่อลืมสิ่งที่เจอในคืนนี้ไป
ในที่สุดผมก็มาถึงบ้านตัวเองสักที ผมเดินไปที่ประตูหน้าบ้านและรีบขึ้นไปที่ห้องทันที ผมเข้าไปอาบน้ำแล้วคิดว่าจะขอนอนพักผ่อนยาวๆไปเลย หลังจากอาบน้ำเสร็จผมก็เข้าไปหาอะไรกินในห้องครัว พออิ่มแล้วผมจึงไปที่ห้องนั่งเล่นต่อ ภาพตรงหน้าทำผมช็อคสุดขีด ตรงหน้าผมคือร่างของพ่อกับแม่นอนเปลือยเลือดถ่วมตัวสายตากำลังจ้องมองมาที่ผม สิ่งที่น่าสยดสยองที่สุดคือ พวกเขาทั้งสองกำลังยิ้มมาที่ผม ผมอวกแล้วร้องไห้ไม่หยุด ผมไม่รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้นที่นี่ ที่จริงแล้วพ่อกับแม่ไม่ได้อยู่กับผมในบ้านหลังนี้สักหน่อย และแล้วผมก็เห็นประตูบานนึง ที่ไม่เคยมีอยู่ในบ้านหลังนี้ มันคือประตูที่มีเลข 8 และที่ประตูก็เต็มไปด้วยเลือด
ทุกสิ่งทุกอย่างบอกกับผมว่าผมยังอยู่ในบ้านไร้จุดจบ ผมหนีมันไม่พ้น ที่นี่ก็คือห้องที่ 7 อย่างไม่ต้องสงสัย งั้นพวกเขาก็คงจะไม่ใช่พ่อแม่ของผมแน่นอน มันทำให้ผมโล่งใจ บ้านหลังนี้แค่กำลังเล่นสนุกกับผม ผมคงมีทางเลือกเดียวคือเดินไปเปิดประตูบานนั้น แต่แล้วสักพักเสียงครวญก็กลับมา มันกลับมาอีกแล้ว แต่คราวนี้มันดังกว่าเดิม เสียงนั้นดังทั่วบ้าน มันทำให้ผมต้องเดินต่อไปเท่านั้น ผมเดินไปหยุดอยู่ที่ประตู มันทำให้ผมอยู่ใกล้ศพของพ่อแม่มากขึ้นจนผมอยากจะอวกออกมาอีกรอบ ผมหันกลับไปดูศพของพ่อแม่อีกครั้ง ผมแทบสติแตกเพราะศพพวกเขาตอนนี้ยืนหันหน้ามาหาผมที่ยืนอยู่หน้าประตู มือชี้มาที่ผมแล้วกำลังจะอ้าปากพูดอะไรสักอย่าง ผมไม่รอให้พวกเขาพูด ผมรีบเปิดประตูไปด้วยความกลัวสุดขีด
ผมไม่ไหวแล้ว หลังจากเหตุการณ์ที่ผมประสบพบเจอมาก็คิดว่าคงไม่มีอะไรที่น่ากลัวกว่านี้อีกแล้ว แต่ก็เป็นอีกครั้งที่ผมคิดผิด ผมลืมนึกไปว่าที่นี่คือบ้านไร้จุดจบ ยิ่งคุณไปไกลมากเท่าไหร่ มันจะยิ่งน่ากลัวและน่าสดสยองมากขึ้น และในห้องที่แปดนี้ ภายในห้องมีลักษณะเหมือนห้องที่ 3 กับห้องที่ 6 อีกแล้ว แต่ที่ไม่เหมือนเดิมคือมีชายคนนึงนั่งอยู่บนเก้าอี้กลางห้อง พอผมมองไปชัดๆ ได้ยังไงกัน มันคือตัวผม ไม่มีคนที่จะหน้าตาเหมือนผมอีกแน่นอน ผมตกใจแต่ต้องคุมสติไว้ ผมค่อยๆก้าวเข้าไปหาชายคนนั้น ผมอยากดูใกล้ๆให้แน่ใจว่ามันคือตัวผมจริงๆ อยู่ๆเขาก็เงยหน้าขึ้นมามองผม เขากำลังร้องไห้อยู่
“ได้โปรด ขอร้องล่ะ อย่าทำร้ายผมเลย” ผมจึงถามกลับไป “นายเป็นใคร ฉันไม่ทำร้ายนายหรอก”
“คุณต้องทำแน่คุณจะต้องทำร้ายผมและผมไม่อยากให้คุณทำ”
เขาพูดไปแล้วก็ร้องไห้ ขาแกว่งไปมาบนเก้าอี้เหมือนกับพวกโรคจิต แต่เขาก็มีลักษณะเหมือนผมทุกอย่าง ทั้งเสื้อผ้าหน้าผมก็เหมือนกันอย่างกับแกะ “ฟังนะ นายเป็นใครกันแน่?” ผมถอยห่างจากเขาไม่ไกลมากนัก ตอนนี้มันเหมือนผมยืนคุยกับตัวเอง ผมไม่ได้รู้สึกกลัว แต่มันอาจจะเกิดขึ้นเร็วๆนี้ “คุณจะต้องทำร้ายผม คุณจะต้องทำร้ายผม ถ้าคุณอยากออกไปจากที่นี่ คุณจะต้องทำร้ายผม” “ทำไมนายถึงพูดแบบนั้น ใจเย็นๆก่อน เรามาช่วยกันหาทางออกดีกว่า” แล้วผมก็ได้เห็นบางอย่าง บนเสื้อของเขามีรอยปักสีแดงเป็นเลข 9 ผมยังคงจ้องไปที่เลขที่ 9 บนเสื้อของเขา ผมรู้ทันทีว่ามันหมายถึงอะไร ห้องที่เก้านั้นมันคือคนเป็นๆที่อยู่ตรงหน้าผม และที่แย่กว่านั้นคือเขาดูเหมือนผมทุกประการ
“คุณใช่ดาวิดรึเปล่า?” “ใช่ คุณจะต้องทำร้ายผมแน่ คุณจะต้องทำร้ายผมแน่...”
เขาตอบกลับเดวิด เขาคือผม รวมไปถึงน้ำเสียงด้วย ผมเดินคิดไปรอบๆห้อง ในขณะที่เขายังคงร้องไห้อยู่ที่เก้าอี้ ห้องนี้มันไม่มีประตู และมีลักษณะเหมือนกับห้องที่หก ประตูที่ผมใช้เปิดเข้ามาก็ได้หายไป ผมคิดว่าการข่วนผนังคงไม่ช่วยผมได้ในห้องนี้อีกแล้ว ผมรู้ว่ามันมีผนังและพื้นอยู่รอบๆเก้าอี้ ผมคิดลึกลงไปอีกจนผมคิดว่ามันน่าจะมีอะไรซักอย่างอยู่ใต้เก้าอี้ ซึ่งมันก็มีจริงๆ ใต้เก้าอีกนั้นมีมีด มีกระดาษเขียนแนบไว้ว่า "ถึงเดวิด จากเจ้าของบ้าน"
ความรู้สึกในจิตใจผมตอนที่ได้อ่านข้อความนั้นเป็นอะไรบางอย่างที่น่ากลัว ผมอยากจะโยนมันออกไปและสิ่งสุดท้ายที่ผมอยากจะทำคือเอามีดนั้นออกมาจากใต้เก้าอีก เดวิดอีกคนนึงยังคงร้องไห้ต่อไป สมองของผมมืดแปดด้านเต็มไปด้วยคำถามที่หาคำตอบไม่ได้มากมาย ใครเอามีดมาไว้ที่นี่แล้วเขารู้ชื่อผมได้ยังไง ยังไม่รวมไปถึงตัวผมอีกคนที่นั่งอยู่บนเก้าอีกนั้น ร้องไห้และอยากจะถูกทำร้ายโดยตัวผมเอง มันเกินกว่าที่ผมจะคิดได้ บ้านและเจ้าของบ้านได้เล่นสนุกกับผมตลอดเวลา ผมลองคิดว่าสถานการณ์แบบนี้เกิดขึ้นกับปีเตอร์จะเป็นยังไง แต่ผมก็เลิกคิด มันไม่สำคัญหรอก ผมหยิบมีดออกมาจากใต้เก้าอี้ ทันใดนั้นเดวิดอีกคนนึงก็หยุดร้องไห้
"เดวิด" เขาพูดน้ำเสียงเหมือนกับผม "คุณคิดว่าคุณกำลังจะทำอะไรน่ะ" ผมลุกขึ้นยืน แล้วกำมีดไว้ที่มือผมแน่น "ชั้นกำลังจะออกไปจากที่นี่ยังไงล่ะ" เดวิดที่นั่งอยู่บนเก้าอี้ ผมคิดว่าเขาคงสงบจิตสงบใจได้แล้ว เขามองมาที่ผมด้วยรอยยิ้มเล็กน้อย ผมไม่แน่ใจว่าเขาหัวเราะเยาะหรือยินดีกับผม จู่ๆเขาก็ยืนขึ้นจากเก้าอี้อย่างช้าๆ แล้วยืนมองมาที่ผม ทั้งความสูงของเขาหรือแม้แต่วิธีการยืนนั้นเหมือนกับผมหมด ผมสัมผัสได้ถึงด้ามจับยางของมีดที่มือของผม ผมจับมันแน่นขึ้น ผมคิดไม่ออกว่าผมจะใช้มันทำอะไร แต่ผมมีความรู้สึกว่าผมจำเป็นต้องใช้มัน
"ตอนนี้แหละ" น้ำเสียงของเขาทุ้มกว่าของผมตอนนี้ "ผมกำลังจะทำร้ายคุณ ผมกำลังจะทำร้ายคุณ และผมจะทำให้คุณติดอยู่ที่นี่ตลอดไป" ผมไม่ได้ตอบรับเขา ผมผลักเขาลงไปนอนบนพื้น และขึ้นคร่อมตัวเขา จี้มีดไปยังตัวเขา เขามองมาที่ผม ผมรู้สึกเหมือนกับส่องกระจกดูตัวเอง จากนั้นเสียงนั้นมันก็กลับมาอีก มันเบาและอยู่ไกลมาก แต่ผมก็รู้สึกได้ในจิตใต้สำนึกผม เดวิดมองขึ้นมาที่ผมและผมก็มองลงไปยังเดวิด จากนั้นเสียงนั้นก็ดังขึ้น ขณะนั้นเอง ผมปีกมีดลงบนอกเขาและฉีกลงไป ห้องจมลงสู่ความมืดมิดและผมได้ตกลงไป
ความมืดรอบตัวผมไม่มีผลอะไรจากการที่ผมประสบเจอมาแล้ว ห้องสี่ที่ว่ามืดนั้น ก็ยังเทียบไม่ได้กับสิ่งที่กำลังเหมือนจะกลืนกินตัวผมขณะนี้ ผมยังไม่แน่ใจว่าผมตกลงไปจนผมรู้สึกตัว ผมรู้สึกไร้น้ำหนัก รอบตัวมีแต่ความมืด จากนั้นความรู้สึกเศร้าก็ถาโถมมาหาผม ผมรู้สึกแพ้ หดหู่ และอยากฆ่าตัวตาย ผมนึกถึงดวงตาของพ่อแม่ผม ผมรู้ว่ามันไม่ใช่ของจริง แต่ผมได้เห็นมันและจิตใจของผมก็มีปัญหาในการแยกแยะระหว่างสิ่งใดจริงหรือไม่จริง ความเศร้าเริ่มรุนแรงขึ้น ผมอยู่ในห้องที่เก้าที่รู้สึกเหมือนอยู่มาทั้งวัน ห้องสุดท้าย เป็นที่ชัดเจนว่าเป็นที่สิ้นสุดของบ้านไร้จุบจด ตอนนี้ผมได้มาถึงแล้ว ณ ตอนนั้น ผมยอมแพ้แล้ว ผมคิดว่าผมคงจะติดอยู่ที่นั่นตลอดกาล เพราะรอบตัวมีแต่ความมืด และเสียงที่ทำให้ผมได้สติกลับคืนมาหลายครั้งนั้นก็ไม่ได้ดังขึ้นมาอีกเลย
ผมไร้ประสาทสัมผัสทั้ง 5 ไม่รู้สึกถึงตัวเอง ไม่ได้ยินเสียงใดๆ การมองเห็นยิ่งแล้วใหญ่ ผมลองเลียลิ้นสัมผัสถึงรสชาติที่ริมฝีปากแต่ก็ไม่พบรสชาติใดๆ ผมรู้สึกว่าตัวเองแพ้อย่างที่สุด ผมรู้ว่าผมอยู่ที่ไหน ที่นี่เป็นนรก ห้องที่เก้าต้องเป็นนรกแน่ๆ จากนั้นผมก็เห็นบางอย่าง แสงสว่าง มันมีแสงสวางอยู่ที่ปลายทางอุโมงค์ ผมยืนขึ้น และเริ่มเดินอย่างช้าๆไปยังแสงสว่างนั้น
ผมเดินไปจนเจอกับประตูที่ไม่มีอะไรเขียนไว้ และเดินผ่านมันไป ผมพบตัวเองอยู่ที่ๆผมเริ่มในบ้านไร้ แห่งนี้ เป็นห้องโถงของบ้าน มันมีลักษณะเหมือนเดิม ยังคงตกแต่งด้วยของตกแต่งวันฮาโลวีนเหมือนกับเด็กๆ หลังจากเหตุการณ์ทุกอย่างที่เกิดขึ้นคืนนั้น ผมยังคงกังวลว่าผมอยู่ที่ไหน จนทุกอย่างอยู่ในสภาวะปกติ ผมมองไปยังรอบๆห้องเพื่อหาสิ่งผิดปกติ บนโต๊ะมีจดหมายสีขาววางไว้ มีลายมือเขียนชื่อผมไว้อยู่ ด้วยความอยากรู้อยากเห็น แต่ยังคงระมัดระวังอยู่ แต่ผมก็รวบรวมความกล้าเปิดซองจดหมาย ข้างในมีจดหมาย เขียนด้วยลายมือ
เดวิด วิลเลียม ยินดีด้วย! คุณได้ไปถึงจุดจบของบ้านหลังนี้ กรุณารับของรางวัลเพื่อเป็นเครื่องหมายแห่งความสำเร็จอันยิ่งใหญ่ มีเงิน 100 เหรียญแนบมากับจดหมายฉบับนี้
ผมหยุดหัวเราะไม่ได้ ผมหัวเราะนานมาก ผมหัวเราะตอนที่ผมขึ้นไปขับรถ ผมหัวเราะตอนที่ขับรถกลับบ้าน ผมหัวเราะตอนที่ผมเปิดประตูหน้าบ้านผม และหัวเราะตอนที่ผมเห็นหมายเลขสิบสลักไว้อยู่บนประตูหน้าบ้านของผม
บันทึก
2
ดูเพิ่มเติมในซีรีส์
เรื่องสั้น ขวัญผวา
2
โฆษณา
ดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน
© 2024 Blockdit
เกี่ยวกับ
ช่วยเหลือ
คำถามที่พบบ่อย
นโยบายการโฆษณาและบูสต์โพสต์
นโยบายความเป็นส่วนตัว
แนวทางการใช้แบรนด์ Blockdit
Blockdit เพื่อธุรกิจ
ไทย