29 พ.ค. 2021 เวลา 13:29 • สุขภาพ
Day 10 เริ่มต้นวันดีๆ แต่วันนี้ครอบครัวไม่ได้อยู่พร้อมหน้า
0:00 เสียงติ๊กเตือนดังขึ้นเบาๆ สมองเริ่มไวและรับรู้แต่คงยังขี้เกียจ
0: 55 เสียงติ๊กอีกเสียงดังขึ้นอีกแล้ว ตอนนี้ด้วยความตื่นตัวจึงเอื้อมมือหยิบ iPad ขึ้นมา มีไลน์โชว์มากมาย แต่ที่กลุ่มครอบครัวเรามี 2 คอมเม้นท์รีบคลิ๊กอ่านทันใด
Happy birthday mom… จาก ลช เป็นคนแรก ช่างน่ารักซะเหลือ รอจนข้ามวันเพื่ออยากบอกแม่เค้า (เอ..รึว่าสอบเสร็จหมด นั่งเล่นเกมส์หล่ะนี่ แต่เวลาดี ดูมีความตั้งใจ ให้ผ่านนะ)
0:55 happy birthday mom อีกข้อความจาก ลส นัยมันอยู่ตรง เลข 55 นี่แหล่ะ ทั่วไปเพื่อนฝูงจะรู้ว่าผมและครอบครัวเกี่ยวพันกับเลขนี้อย่างเหนียวแน่น ทั้งบ้านเลขที่ ทั้งซอยที่พัก ทั้งรถ ทั้งเบอร์โทรศัพท์ต่างๆนานา พยายามโยงเข้าหาโดยตลอด คิดเดาเอาว่า เธอน่าจะอยากเอาใจแม่ เลยเลือกที่เวลาเป๊ะ
0:56 HBD ….. ผมส่งคนสุดท้าย อยากบอกว่ามีความสุขมากๆนะ
0:57 ลส ถามว่าพ่อยังไม่นอนรึ เลยคุยกันนิดหน่อยแถมเร่งให้เธอนอนซะที ก็ได้เห็นแต่ข้อความโอดครวญมาว่าตายแน่ สอบพรุ่งนี้ ก็บอกให้ตั้งใจทำดีที่สุด แล้วก็แยกย้าย ไม่มีคนอ่านข้อความเพิ่ม แสดงว่านอนกันหมดแล้ว เว้นแต่เจ้า ลส จะดื้ออ่านหนังสือต่อ
5:30 วันนี้วันครบรอบวันเกิดคุณภรรยา ในทุกปี กว่า 33 ปีที่รู้จักกัน กว่า 25 ปีที่อยู่กินฐานะสามีภรรยา แทบทุกปีเลยทีเดียว เมื่อถึงวันนี้ สิ่งที่ปฏิบัติมาตลอดคือทำบุญ อาจตักบาตรในช่วงเช้าบ้าง พอสายชวนเด็กๆไปเข้าวัดเข้าวากราบไหว้สิ่งศักดิ์สิทธิ์บ้าง จนสายก็หาอาหารอร่อยๆทาน แต่ปีนี้ได้แต่ส่งคำอวยพรเท่านั้นจริงๆ
ผมเป็นคนขี้จุกจิก ดุ ทิฐิ ดื้อ รั้น เนี๊ยบรักอิสระ ไม่ค่อยแคร์ความรู้สึกคนอื่น แต่ใส่ใจในรายละเอียตตลอดคิดเสมอว่าทุกคนทำได้ แต่ลึกๆให้ความสำคัญกับครอบครัวมาโดยตลอด อยากให้ทุกคนยืนอยู่ได้ด้วยตัวเอง บ่อยครั้งที่ทำเหมือนไม่แยแส แต่แอบคอยดู คอยช่วยเหลือ ผ่านเหตุการณ์นี้ ทำให้รู้ว่า ชีวิตช่างเล็กเสียนี่กระไร ไม่มีใครคาดเดาเอาอะไรได้เลย ขอส่งผ่านความรักความปรารถนาดีให้กับภรรยาผู้น่ารัก ขอให้แข็งแรงเร็ววัน ส่วนตัวเองแข็งแรงขึ้นแล้วแน่นอน
6:00 ตื่นทานยา favipiravir 4 เม็ดสุดท้าย ถัดจากนี้ไม่มีตัวช่วยอะไรอีกแล้ว
วันนี้รู้สึกดีขึ้นมากมาย ถ้าไม่ประเมินตนผิดพลาด 80-90% ปกติแล้ว จะมีก็ยังรู้สึกบ้างบางครั้งที่หน้าอก แต่เชื่อว่าการฟื้นฟูร่างกายตนเองจะค่อยๆทำหน้าที่ของเขาเองต่อจากนี้
วันนี้เนื่องจากกายพร้อม ใจพร้อม ระบบความนึกคิดเป็นตรรกะพร้อม ก็ขอรวบรวมเหตุการณ์ต่างๆที่เกิดขึ้นอีกครั้ง เพื่อให้คนป่วย หรือกลุ่มคนที่มีความเสี่ยงสูง (ความเสี่ยง , ไม่เสี่ยง , เสี่ยงสูงไม่สูง) คิดว่าทุกคนน่าจะพอเสิร์ทหาอ่านได้ เอาว่าในสถานการณ์นี้เสี่ยงสูงคือรู้แน่ว่าได้เคยใกล้ชิดสัมผัส หรือมีกิจกรรมใดๆในสถานที่ที่รู้แน่ชัดว่ามีผู้ติดเชื้อ
ผมอยากให้ทุกคนรู้ ตัวตนของตนเองเป็นลำดับแรกๆ ทั้งนี้จะช่วยสกรีน ความยุ่งยากต่างๆที่เหล่าแพทย์และพยาบาลกำลังทำงานกันอย่างจริงจังให้ทันกับเหตุการณ์ได้ เรื่องนี้ค่อนข้างสำคัญ การแค่คิดว่าตนมีความเสี่ยง ทั้งๆที่ไม่มีอาการ รอคอยได้ กับคิดเองว่าเสี่ยง แต่มีอาการ ในทางความเป็นจริงต่างกันมากๆ บางคนไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตนเสี่ยงหรือไม่ แถมไม่มีอาการแต่อยากตรวจเทส อยากบอกว่าในทางปฏิบัติทำได้ คุณมีเงินอยากจ่ายก็ทำได้ แต่อยากให้เพิ่มความคิดคำนึง 2 อย่างว่า จำเป็นมั้ย ที่จะอยากเช็ค กับจำเป็นมั้ยที่จะพาตัวเองเข้า พท เสี่ยงจริงๆ จากเดิมที่ตัวเองอาจไม่เสี่ยงเลยก็ได้ กลับนำพาตัวเองเข้าสู้ พท ที่มีคนเสี่ยงมากมาย
(อันนี้นอกจากการจับตรวจเช็คแบบปูพรมในพื้นที่ระบาดที่ภาครัฐทำ ซึ่งเป็นการหาต้นตอและคัดแยกจริงจัง)
ดังนั้นหากไม่อยู่ในกลุ่มเสี่ยง อย่านำพาตัวไปเสี่ยงเลย มันป้องกันได้ยากเหมือนกับที่ผมได้เจอมากับตัวเอง
จาก 14 เมษ ที่ภรรยาพบว่าตัวเองผิดปกติ ทุกชีวิตในครอบครัวเข้าสู่โหมดระวังตัวกันสุดชีวิต เรามีความพร้อมทั้งอุปกรณ์และสถานที่ ให้ดูแลแยกตัวกักกันอย่างไร สุดท้ายก็ไม่พ้น เริ่มที่ภรรยา ตามด้วยลูกสาว ผมเองกว่าจะพบ เข้าไป 12 วันให้หลัง ก็ไม่รู้หรอกว่าติดไปตอนไหน รุนแรงขนาดไหน อย่างไร จนเริ่มเหนื่อยง่าย
ส่วนลูกชาย ไปพบ 14 วันให้หลังโน่น มันเป็นภัยมืดที่เราไม่สามารถเห็นได้เลย แถมมีอันตรายมาก
ที่นี้ประเด็นมันอยู่ตรงที่เราจะแยกแยะอาการป่วยเราได้อย่างไร ซึ่งผมไม่สามารถชี้แจงได้ ได้แต่ให้ข้อมูลดังนี้
1)ภรรยาอายุ 51 เริ่มจากเจ็บคอ จนเจ็บคอมากและถูกตรวจพบติดเชื้อเป็นคนแรก
2)ลูกสาว อายุ 18 เข้าตรวจในฐานะผู้มีความเสี่ยง ผลไม่มีอาการใดๆ แต่ติดเชื้อ
3)ผมเองอายุ 55 หลังตรวจครั้งแรกไม่พบเชื้อ แล้วก็อยู่ดูแลลูกๆ จนเริ่มมีอาการเหนื่อยง่าย หลังจากทราบว่าภรรยาติดเชื้อแล้ว 12 วันให้หลัง
4)ลูกชาย อายุ 18 หลังตรวจครั้งแรกไม่พบเชื้อ มาพบอีกครั้งหลังผมถูกยืนยันติดเชื้อ ซึ่งก็รวมเวลากว่า 14 วัน และไม่มีอาการใดๆ
หากใครก็ตามที่อยู่ในสถานะคล้ายคลึงผม ถือเป็นผู้มีความเสี่ยงสูงสุด หากเป็นผู้ประกันตนในระบบประกันสังคม สามารถติดต่อขอเข้ารับการตรวจเช็คตามสถานพยาบาลที่ตนขึ้นทะเบียนได้เลย ไม่ต้องไปวิ่งหาที่ตรวจเช็ค (จดข้อมูลไว้ในมือถือหรือเครื่องเตือนจำบ้างก็ดี เวลาฉุกละหุกจะได้หาเจอ รวมทั้งพวกบัตรประกันต่างๆ) ทั้งนี้จะได้ไวทันต่อเหตุการณ์และเข้าสู่ระบบด้วย แต่หากไม่มีชื่อในฐานะผู้ประกันตน หากมีเงินจะเข้าเช็คที่ไหนก็ได้ หรือหากไม่มีเงินก็เข้าขอตรวจเช็คตามสถานพยาบาลภาครัฐต่างๆได้เลย อาจล่าช้าบ้างเพราะคนป่วยเยอะก็ต้องเผื่อเวลาไว้ด้วย แถมการซักประวัติจะเยอะมาก เพื่อให้ได้มาซึ่งข้อมูลเรา ต้องมีสติตั้งมั่น ถึงจะป่วยอย่างไร การให้ข้อมูลที่ครบถ้วนถูกต้องก็จะทำให้แผนการรักษาเราถูกต้องและแม่นยำขึ้น
เหนืออื่นใด เราต้องรู้อาการตัวเอง รู้ความเสี่ยงตัวเอง อยู่ในสภาพที่ยังดูตัวเองได้บ้าง การเข้ารับการรักษาที่ทันท่วงที จะช่วยให้เรามีโอกาสรอดสูงขึ้น ข้อมูลที่ใกล้เคียงสภาพเรามากที่สุดจะทำให้คุณหมอ สามารถวินิจฉัยรายละเอียดและจ่ายยาเราได้อย่างถูกต้องมากเท่านั้น
ผมเห็นโพสต์การสูญเสียคนสนิท ญาติพี่น้องมากมาย ทั้งในแง่เตือนภัย ให้กำลังใจ ตำหนิความผิดพลาดของการสุญเสีย อยากบอกว่าไม่อยากให้เกิดขึ้นเลยไม่ว่ากับชีวิตใคร ครอบครัวใด ผมเชื่อว่าทุกฟากส่วนใครอยู่หน้าที่ไหน ใครรับผิดชอบอะไรล้วนต่างทุ่มเทความสามารถเข้าดำเนินการแก้ไขอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย การให้ข้อคิด ให้กำลังใจ เป็นวิธีที่ดีที่สุด ส่งผ่านกำลังใจให้มากกว่าตอกย้ำอุทาหรณ์ จะส่งผลให้มีพลังขับเคลื่อนในทิศทางที่ดีที่ถูกต้อง
กลับมาเรื่องการเข้ารักษาตัว ผู้ป่วยทุกคนที่ได้พูดคุย รู้จักจะได้รับยารักษามาแตกต่างกันไปตามอาการ แต่เท่าที่สังเกตุพบว่าส่วนใหญ่จะได้รับ favipiravir ด้วย ผมเองก่อนถูกนำตัวมาที่สถานพักฟื้น รร รัตนโกสินทร์ หมอได้วินิจฉัยจ่ายยา เป็น favipiravir จำนวน 50 เม็ด พร้อมยา dexamethasone สำหรับทาน 5 วัน กับใบนัดตรวจอีกครั้งในวันที่ 14 พค
ของภรรยาก็ได้รับ favipiravir มาเบื้องต้น 34 เม็ดพร้อมยาแก้ไอ แก้ไข้ ต่อมาไปรับ เพิ่ม อีก 16 เม็ดรวม 50 เม็ด
ลส ก็ได้รับมาในปริมาณใกล้ๆกัน จะมีก็ ลช ยังไม่ได้คุยกันมากแต่เห็นแรกๆก็ทานเจ้า favipiravir นี้จนหมอบอกร่างกายแข็งแรง ไม่ต้องทานยาแล้ว
เพื่อนร่วมห้องก็ได้รับ favipiravir มา 50 เม็ด
แต่หล่ะคนมีนัดหมายตรวจเช็คร่างกายตลอด ทั้งภรรยา ลส ลช วิ่งไป รพ แทบวัน - 2 วันครั้ง กันเลย
รวมทั้งรูมเมทผมด้วย เขาแจ้งว่าตามแผนกักตัวที่นี่ เค้าต้องไปตรวจที่จุฬาภรณ์ หลายครั้งเลย
หันกลับมาดูเราเอง ไม่มีนัดหมายเลยจน วันที่ 14 ใจนึงก็เอ๊ะ .. เอ๊ะ… เอ๊ะ มันมีเอ๊ะมากมายที่คิด แถมช่วงแรกๆก็ยังสู้กับสภาพอาการป่วยอย่างหนัก ทำให้ค่อนข้างอ่อนเพลียง่าย สมองไม่ค่อยทำงาน
ได้แต่อาศัยยาอยู่รอดไปวันๆ จนวันที่ครบยาหมด อาการต่างๆดูคล้ายจะดันกลับมา
แต่ก่อนหน้าก็มีแจ้งทาง คุณหมอที่จุฬาภรณ์แล้วว่ายาจะหมดแล้ว ไม่ทราบคุณหมอมีจ่ายยาเพิ่มหรือไม่ เพราะต้องหาคนไปรับยา
เพื่อนคนป่วยที่พักที่ รร รัตนโกสินทร์ก็ต่างมีอัธยาศัยที่ดี เอื้อเฟื้อซึ่งกันและกัน มีการรวบรวมรายชื่อคนที่ต้องรับยาในวันเดียวกัน ซึ่งผมก็อาจเป็น 1 ในผู้โชคดีที่วันนั้น มีเพื่อนคนป่วยต้องรับยากัน 5 คน ทั้ง 5 ก็ส่งรายชื่อลงขันจ้างแกรปไปรับยาให้
หลังรับยามาเลยไม่รู้ว่าผมจะเป็นคนเดียวรึเปล่าที่ได้รับยา favipiravir เพิ่มอีก 40 เม็ด โดยที่ผลอาการต่างๆเพียงพูดคุยกับคุณหมอผ่านคอล และผ่านข้อมูลที่ส่งแลกเปลี่ยนในทุกวันกับเหล่าเจ้าหน้าที่ ที่เก็บรวบรวมข้อมูลเท่านั้น เกี่ยวกับยาก็พอรับทราบจากคุณหมอในวันที่ทำ ct scan แต่ตอนนั้นเบลอหมดแล้ว ไม่คิดว่าตนเองติดโควิท และเป็นหนักหรือไม่แต่อย่างไร ได้ยินเพียงหมอแจ้งว่า ผลปอดฟุ้งๆกระจายดีว่าไม่เกิน 50% อาจจะทานยาดูว่าซัก 5 วันหรือ 10 วันดี พร้อมแจ้งนัดตรวจอีกที 14 วันให้หลัง
ใจก็คิดเพียงว่าคงไม่หนัก ถ้าหนักหมอน่าจะนัดเช็คไปเรื่อยๆ ก็เลยไม่ค่อยเครียด ทานยาตามหมอแจ้งเป๊ะๆ ตลอดเวลาที่รักษาตัว
อาการก็ดีขึ้นตามลำดับ ถึงแม้จะสาหัสอยู่ก็ตาม ก็ได้กำลังใจ จากเพื่อนๆพี่ๆน้อง
จนวันนี้ ยาหมดแล้ว เราต้องสู้ด้วยภูมิคุ้มกันของตัวเองแล้ว เราแข็งแรงพอแล้ว เราต้องสู้ต่อไปให้ได้ ด้วยสติที่ตั้งมั่นบนความไม่ประมาท
11:00 เพื่อนร่วมห้องแข็งแรงแล้ว ทาง รพ อนุญาตให้กลับได้
กลายเป็นสภาพโดดเดี่ยวแล้วสิเรา
12:20 ทานข้าว วันนี้มีแกงเขียวหวานไก่
ด้วย
14:30
ออกซิเจน 98 อัตราการเต้น 92
อุณหภูมิ 37
อัตราการหายใจ 10/นาที
หลังออกกำลัง 98
18:30 ทานข้าว ผัดพริกหมู วันนี้สั่งยำเนื้อ ฟรุ๊ตเค้ก แล้วก็ จิงเจอร์เอล มาทานด้วย เริ่มเจริญอาหาร
20:30 อาบน้ำนอน ก่อนนอนไม่วายหยิบเครื่องวัดออกซิเจนมาเช็คตัวเอง ได้ 98 นอนหลับฝันดี
โฆษณา