2 มิ.ย. 2021 เวลา 05:07 • ประวัติศาสตร์
สปีชเปลี่ยนโลก และจุดเริ่มต้นอันดำมืดของ “สงครามครูเสด (Crusades)”
หลายคนที่ติดตามผม น่าจะเคยได้อ่านซีรีส์ชุด “สงครามครูเสด (Crusades)” ซึ่งผมได้เคยเขียนไว้นานแล้ว
แต่บทความนี้ จะเจาะไปถึงจุดเริ่มต้นและเหตุการณ์การเกิดของสงครามนี้อย่างคร่าวๆ
ต้องย้อนไปตั้งแต่ก่อนจะเกิดสงครามครูเสด ในเวลานั้น “จักรวรรดิไบแซนไทน์ (Byzantine Empire)” ซึ่งเป็นจักรวรรดิที่สืบทอดมาจากจักรวรรดิโรมัน กำลังอยู่ในภาวะคับขัน
เป็นเวลานานหลายสิบปีที่ชาวเติร์ก ซึ่งเป็นชนเผ่าเร่ร่อน ดุร้าย ได้หันมานับถือศาสนาอิสลาม และได้ทำการยึดครองดินแดนรอบนอกจักรวรรดิไบแซนไทน์
ในไม่ช้า พวกเติร์กก็ได้ยึดครองเมืองเยรูซาเลม ซึ่งเป็นเมืองศักดิ์สิทธิ์
1
เยรูซาเลม
ชาวเติร์กได้สร้างเมืองหลวงของตน และอยู่ห่างจากคอนสแตนติโนเปิล เมืองหลวงของจักรวรรดิไบแซนไทน์เพียงแค่ประมาณ 160 กิโลเมตรเท่านั้น สร้างความกังวลใจให้จักรวรรดิไบแซนไทน์
เพื่อที่จะให้จักรวรรดิอยู่รอด พวกเขาจำเป็นต้องหยุดยั้งพวกเติร์ก
“จักรพรรดิอเล็กเซียสที่ 1 โคมเนนอส (Alexios I Komnenos)” จักรพรรดิแห่งจักรวรรดิไบแซนไทน์ ทรงตระหนักดีว่าพระองค์ไม่มีกำลังพอที่จะต้านทานพวกเติร์กได้ จึงจำเป็นที่จะต้องขอความช่วยเหลือจากพระสันตะปาปา
จักรพรรดิอเล็กเซียสที่ 1 โคมเนนอส (Alexios I Komnenos)
ในปีค.ศ.1095 (พ.ศ.1638) พระองค์ทรงส่งจดหมายไปถึง “สมเด็จพระสันตะปาปาเออร์บันที่ 2 (Pope Urban II)” เพื่อขอให้ส่งกำลังมายังตะวันออกของโรม และทำการขับไล่พวกเติร์กออกไป
สิ่งที่พระเจ้าอเล็กเซียสที่ 1 ทรงคาดหวัง คือเหล่าทหารอาสาฝีมือดี ทั้งกล้าหาญและมากประสบการณ์ สามารถขับไล่ผู้รุกรานไปอย่างง่ายดาย
พระองค์ไม่ได้ทรงคิดเลยว่าเหตุการณ์จะกลับตาลปัตร และสงครามครั้งใหญ่ที่กินเวลานับร้อยปีจะตามมา
สมเด็จพระสันตะปาปาเออร์บันที่ 2 (Pope Urban II)
ที่ผ่านมา พระสันตะปาปานั้นทรงอำนาจมาก มีผู้ศรัทธาและอ่อนน้อมเป็นจำนวนมาก และคริสตจักรก็ได้ควบคุมเรื่องการศาสนาในยุโรป มีอิทธิพลไปทั่วยุโรป
เมื่อได้รับจดหมายจากพระประมุขแห่งจักรวรรดิไบแซนไทน์ พระสันตะปาปาเออร์บันที่ 2 ก็ทรงครุ่นคิด และสิ่งที่พระองค์จะทรงทำ ก็จะเป็นสิ่งที่พลิกประวัติศาสตร์โลก
ในการประชุมที่แกลร์มง เมื่อเดือนพฤศจิกายน ค.ศ.1095 (พ.ศ.1638) พระสันตะปาปาเออร์บันที่ 2 ได้ประทานสปีชที่จะเปลี่ยนประวัติศาสตร์โลกไปตลอดกาล
พระองค์ได้ตรัสว่าพวกเติร์กไม่เพียงแต่รุกรานดินแดนของชาวคริสต์ หากแต่ยังข่มเหงชาวคริสต์อย่างทารุณ
การประชุมที่แกลร์มง
สิ่งที่สมเด็จพระสันตะปาปาเออร์บันที่ 2 ตรัสนั้นเกินจริงไปมาก แต่นี่เป็นเพียงจุดเริ่มต้นเท่านั้น
พระองค์ได้ตรัสต่อถึงบาปของผู้ที่กระทำต่อชาวคริสต์ รวมถึงการที่อัศวินชาวคริสต์ทำสงคราม ต่อสู้กับอัศวินชาวคริสต์ด้วยกัน เข่นฆ่ากันเอง
1
หากเหล่าอัศวินยังมีเกียรติ ก็ควรจะหยุดฆ่ากันเองและไปยังดินแดนศักดิ์สิทธิ์
“พี่น้องทั้งหลาย พวกเจ้าควรจะสั่นสะท้าน เจ้าควรจะสั่นสะท้านที่ได้ก่อความรุนแรงต่อชาวคริสต์ การหันดาบไปหาพวกซาราเซน ยังไม่ชั่วร้ายเท่า”
คือตอนหนึ่งของสปีชที่สมเด็จพระสันตะปาปาเออร์บันที่ 2 ได้ตรัสไว้
สมเด็จพระสันตะปาปาเออร์บันที่ 2 ได้ทรงให้คำมั่นว่าใครก็ตามที่ถูกฆ่าในดินแดนศักดิ์สิทธิ์ หรือแม้แต่เสียชีวิตในระหว่างทางไปยังดินแดนศักดิ์สิทธิ์เพื่อทำสงครามครูเสด จะได้รับการอภัยโทษในบาปของตน
เป็นการ “ล้างบาป”
หากใครที่เคยศึกษาหลักคำสอนของศาสนาคริสต์ อาจจะรู้สึกทะแม่งๆ ในคำกล่าวของสมเด็จพระสันตะปาปาเออร์บันที่ 2 หากแต่ก็ต้องพิจารณาว่าในยุคนั้น ผู้ที่ได้ศึกษาคำสอนอย่างจริงๆ จังๆ มีเพียงนักบวชและสมาชิกคริสตจักรเพียงไม่กี่รายเท่านั้น
ในเวลานั้น ผู้คนจำนวนมาก แม้แต่อัศวิน ก็ยังอ่านไม่ออก เขียนไม่ได้ อย่าว่าแต่ศึกษาหลักคำสอนเลย แค่เซ็นชื่อตัวเองยังลำบาก
1
เมื่อเป็นอย่างนี้ หลายคนจึงมองพระสันตะปาปาเป็นเสมือนตัวแทนของพระเจ้า รู้พระประสงค์ของพระเจ้าดีกว่าทุกคน
1
แต่พระองค์ก็ทรงพูดถูกในเรื่องของความรุนแรงที่เกิดขึ้นในยุโรป อัศวินต่างเข่นฆ่ากันเองแทบทุกวัน ซึ่งส่วนมากก็เป็นในการฝึก ไม่ใช่การรบจริงๆ
อัศวินนั้นก็มีชีวิตอยู่เพื่อต่อสู้ และในเวลานี้ พระสันตะปาปาก็ได้ประทานโอกาสให้พวกเขาออกต่อสู้ในนามของพระเจ้า แถมยังไม่บาปอีก
แน่นอนว่าเหล่าอัศวินย่อมไม่พลาดโอกาสนี้
สปีชของสมเด็จพระสันตะปาปาเออร์บันที่ 2 ได้ทำให้เกิดสงครามที่ดำเนินต่อมาเป็นเวลานับร้อยปี และเป็นสงครามที่สำคัญที่สุดครั้งหนึ่งในประวัติศาสตร์
แต่สมเด็จพระสันตะปาปาเออร์บันที่ 2 ก็ไม่ทรงสามารถเห็นผลของสงครามครูเสดครั้งที่ 1 เพราะเมื่อข่าวการยึดครองเยรูซาเลมมาถึงตะวันตก พระองค์ก็ได้สิ้นพระชนม์ไปก่อนแล้ว
โฆษณา