3 มิ.ย. 2021 เวลา 02:07 • ประวัติศาสตร์
“บรู๊ซ ลี (Bruce Lee)” ตำนานซุปตาร์กังฟูผู้สั่นสะเทือนวงการภาพยนตร์
หลายคนที่เป็นแฟนภาพยนตร์ โดยเฉพาะภาพยนตร์บู๊กังฟู น่าจะต้องเคยเห็นและคุ้นหน้าของ “บรู๊ซ ลี (Bruce Lee)” นักแสดงชาวจีน-อเมริกันเป็นอย่างดี
แต่เรื่องราวของชีวิตเขาเป็นอย่างไร? มีประวัติความเป็นมาอย่างไร? เราลองไปดูคำตอบแบบคร่าวๆ กันครับ
“บรู๊ซ ลี (Bruce Lee)” เกิดเมื่อวันที่ 27 พฤศจิกายน ค.ศ.1940 (พ.ศ.2483) ที่แคลิฟอร์เนีย สหรัฐอเมริกา
พ่อแม่ของเขานั้นเป็นชาวฮ่องกง และมีลูกทั้งหมดสี่คน ซึ่งหนึ่งในนั้นคือบรู๊ซ
พ่อ แม่ และลีในวัยเด็ก
ชื่อเดิมของเขาคือ “หลีจุนฟาน (Lee Jun Fan)” แต่นางพยาบาลตั้งชื่อให้เขาว่า “บรู๊ซ (Bruce)”
ในเวลาต่อมา หลายคนรู้จักเขาในฐานะนักแสดงบู๊ชื่อดัง แต่อันที่จริง ลีนั้นเข้าวงการมาตั้งแต่อายุเพียงสามเดือน โดยได้แสดงเป็นสแตนด์อินให้แก่ทารกชาวอเมริกันในภาพยนตร์เรื่อง “Golden Gate Girl”
ลีในภาพยนตร์เรื่องแรก
ขณะมีอายุได้ 2-3 ขวบ ลีต้องตามพ่อแม่ย้ายกลับไปฮ่องกง และตลอดเวลาในช่วงวัยเด็ก ตั้งแต่อายุหกขวบ ลีก็ได้แสดงในภาพยนตร์กว่า 20 เรื่อง อีกทั้งยังมีชื่อเสียงด้านการแต่งบทกวี และการเต้นรำ อีกทั้งยังชนะเลิศการเต้นชาช่าอีกด้วย
เมื่อเข้าสู่วัยรุ่น ลีก็ได้เข้าเรียนในโรงเรียนในฮ่องกง ซึ่งเขาก็มักจะถูกเด็กชาวอังกฤษแกล้ง เนื่องจากเขาเป็นคนเชื้อสายจีน ทำให้ลีต้องไปเข้าร่วมกับแก๊งเด็กข้างถนนเพื่อไม่ให้ใครมากลั่นแกล้ง
ในปีค.ศ.1953 (พ.ศ.2496) ขณะอายุได้ 13 ปี ลีก็ได้เริ่มเรียนกังฟูกับ “ยิปมัน (Yip Man)” ปรมาจารย์กังฟูที่มีชื่อเสียง
1
ลีและยิปมัน
เมื่อมีอายุได้ 18 ปี ลีก็ได้ย้ายไปอยู่กับเพื่อนของพ่อที่ซีแอตเทิล สหรัฐอเมริกา โดยเรียนในระดับมัธยมที่สหรัฐอเมริกาและทำงานเป็นพนักงานเสิร์ฟในร้านอาหาร
เมื่อเรียนจบชั้นมัธยม ลีก็ได้เข้าศึกษาต่อที่มหาวิทยาลัยวอชิงตัน โดยศึกษาภาควิชาปรัชญา โดยในช่วงมหาวิทยาลัยนี้เอง ลีได้สอนมวยจีนโบราณที่ชื่อว่า “หวิงชุน (Wing Chun)” ให้นักศึกษาคนอื่นๆ
ปรากฎว่าเหล่าคนที่เรียนกับลีนั้นชื่นชอบมาก ทำให้ลีตัดสินใจลาออกจากมหาวิทยาลัยและเปิดโรงเรียนสอนศิลปะการต่อสู้ของตนเองในซีแอตเทิล
ที่โรงเรียนสอนศิลปะการต่อสู้นี้เอง ลีได้พบกับ “ลินดา เอเมอรี (Linda Emery)” และทั้งคู่ก็ได้แต่งงานกันในปีค.ศ.1964 (พ.ศ.2507)
ลีและภรรยาย้ายไปแคลิฟอร์เนีย โดยลีได้เปิดโรงเรียนสอนศิลปะการต่อสู้อีกสองแห่ง และทำการสอน “จีทคุนโด (Jeet Kune Do)” ซึ่งเป็นศิลปะการต่อสู้ที่ลีคิดค้นขึ้น
ลีนั้นชื่นชอบการสอน และมองเหล่านักเรียนเป็นครอบครัว และเขาได้มุ่งมั่นในการคิดค้นการต่อสู้ที่นำเทคนิคและสไตล์การต่อสู้ต่างๆ มารวมเข้าด้วยกัน
สำหรับชีวิตครอบครัว ลีและภรรยามีลูกด้วยกันสองคน นั่นคือ “แบรนดอน ลี (Brandon Lee)” ซึ่งเกิดในปีค.ศ.1965 (พ.ศ.2508) และ “แชนนอน ลี (Shannon Lee)” ซึ่งเกิดในปีค.ศ.1969 (พ.ศ.2512)
ลีกับภรรยาและลูก
ในปีค.ศ.1966 (พ.ศ.2509) ลีได้รับโอกาสแสดงในซีรีส์ทางโทรทัศน์เรื่อง “The Green Hornet” ในบทผู้ช่วยพระเอก โดยในช่วงนี้ เขาได้รับบาดเจ็บที่หลัง จึงใช้เวลาในช่วงพักฟื้นเขียนหนังสือเกี่ยวกับจีทคุนโด
1
เมื่อเริ่มหายดี ลีก็ได้แสดงในภาพยนตร์อีกหลายเรื่อง และตัวเขาก็ได้มีไอเดียเกี่ยวกับการสร้างซีรีส์ทางโทรทัศน์ โดยตั้งชื่อว่า “Kung Fu”
ในเรื่อง Kung Fu นี้ แต่เดิมนั้น ลีต้องได้บทนำ หากแต่บทของเขาก็ถูกส่งไปให้นักแสดงชาวอเมริกันแสดงแทน เนื่องจากผู้กำกับและทีมงานไม่คิดว่าผู้ชมชาวอเมริกันจะยอมรับให้นักแสดงชาวเอเชียแสดงในบทนำ
1
ลีถูกปฏิเสธอย่างไม่มีเยื่อใย เขาจึงรู้สึกเบื่อที่ไม่ได้รับโอกาสดีๆ ด้วยเหตุผลเรื่องเชื้อชาติ จึงตัดสินใจกลับไปฮ่องกงในปีค.ศ.1971 (พ.ศ.2514) และเซ็นสัญญาเพื่อแสดงนำในภาพยนตร์สองเรื่อง
ลีจากซีรีส์ The Green Hornet
ในปีเดียวกันนี้ ภรรยาและลูกของลีได้ย้ายมาฮ่องกงกับลี และเป็นปีที่ภาพยนตร์เรื่อง “The Big Boss” ออกฉาย โดยมีลีแสดงนำ
ภาพยนตร์เรื่องนี้ทำเงินอย่างถล่มทลายในฮ่องกง ส่งให้ชื่อของลีเป็นนักแสดงแถวหน้าในทันที
The Big Boss
ภาพยนตร์เรื่องต่อไปที่ตามมาคือ “Fist of Fury” และก็ได้ทำลายสถิติรายได้ในฮ่องกง
ลีเพิ่งย้ายมาฮ่องกงได้เพียงแค่หนึ่งปี แต่เขาก็สร้างชื่อโด่งดังไปทั่วเอเชีย
เมื่อประสบความสำเร็จในฐานะของนักแสดง ลีก็ได้ตั้งบริษัทภาพยนตร์ของตนเอง นั่นคือ “Concord Production” และได้ผลิตภาพยนตร์เรื่อง “Return of the Dragon” ซึ่งเป็นภาพยนตร์เรื่องแรกที่ลีกำกับการแสดงด้วยตนเอง และเป็นนักแสดงนำของเรื่อง
Return of the Dragon
เพียงไม่กี่เดือนก่อนที่ภาพยนตร์เรื่อง “Enter the Dragon” ซึ่งเป็นภาพยนตร์ที่ลีกำกับเองเป็นเรื่องที่สองจะออกฉาย ลีก็เกิดเป็นลมขณะให้สัมภาษณ์กับนักข่าวในฮ่องกง โดยเขามีอาการชักและปวดหัว
ลีถูกนำตัวส่งโรงพยาบาลโดยด่วน ก่อนที่แพทย์จะวินิจฉัยว่า ลีมีภาวะสมองบวม
แพทย์ได้ทำการรักษา ลดการบวมของสมอง และให้ลีกลับบ้าน
ในวันที่ 20 กรกฎาคม ค.ศ.1973 (พ.ศ.2516) ลีได้พูดคุยกับนักแสดงหญิงชาวไต้หวันคนหนึ่ง โดยทั้งคู่กำลังคุยงานภาพยนตร์ ก่อนที่ลีจะบ่นว่าปวดหัว นักแสดงหญิงจึงมอบยาแก้ปวดให้เขา
ลีได้กินยาแก้ปวดและขอนอนพัก
“เรย์มอนด์ เชา (Raymond Chow)” ผู้ซึ่งเป็นโปรดิวเซอร์ภาพยนตร์และเพื่อนของลี ได้พยายามจะปลุกลี แต่ลีก็ไม่ตื่น
เมื่อเห็นท่าไม่ดี เชาจึงเรียกให้แพทย์มาตรวจดูลี ซึ่งแพทย์ก็ได้ใช้เวลากว่า 10 นาทีเพื่อพยายามปลุกให้เขาฟื้น หากแต่ก็ไม่เป็นผล จึงต้องเรียกรถพยาบาล
1
กว่าที่รถพยาบาลจะนำร่างของลีไปถึงโรงพยาบาล ลีในวัย 32 ปีก็ได้เสียชีวิตแล้ว โดยลีมีภาวะสมองบวมอีกครั้ง อีกทั้งมีอาการแพ้ยาแก้ปวดที่ทานเข้าไป
ร่างไร้วิญญาณของลี
บางคนคิดว่าเขาถูกฆาตกรรม บางคนก็ว่าการเสียชีวิตของเขาเป็นเพราะคำสาป หากแต่ผลการชันสูตรศพก็พิสูจน์ได้ชัดเจนว่าสาเหตุการเสียชีวิตของเขานั้น เป็นเพราะปฏิกิริยาตอบสนองต่อยาแก้ปวดที่เขาได้ทานเข้าไป
ต่อมา “Enter the Dragon” ออกฉาย และประสบความสำเร็จทั้งในเอเชียและสหรัฐอเมริกา ทำเงินไปกว่า 200 ล้านดอลลาร์ (ประมาณ 6,000 ล้านบาท) และทำให้ชื่อของลีกลายเป็นตำนานแห่งวงการภาพยนตร์
Enter the Dragon
จนถึงทุกวันนี้ ชื่อของลีก็ยังเป็นที่กล่าวขวัญ ไม่เพียงแต่เรื่องความเก่งกาจของเขาเท่านั้น แต่ยังเป็นการที่เขาได้ปูทางให้นักแสดงชาวเอเชียคนอื่นๆ ให้เข้ามาโลดแล่นในวงการฮอลลีวู้ด และก้าวข้ามอุปสรรคทางด้านเชื้อชาติไปได้
ชีวิตของลี อาจจะเป็นตัวอย่างที่ดีของความมุ่งมั่น ไม่ยอมแพ้อะไรง่ายๆ
หากลียอมถอดใจตั้งแต่ถูกปฏิเสธบทในซีรีส์อเมริกัน ชื่อของเขาคงไม่เป็นตำนานมาจนถึงทุกวันนี้
โฆษณา