13 มิ.ย. 2021 เวลา 23:00 • ปรัชญา
ดั่งสายน้ำไหล (๒๙)
เมื่อเราเฝ้าดูตัวเองให้มาก ในที่สุดเราก็เข้าสู่ความรู้สึกที่ไร้เสถียรภาพ ความรู้สึกไม่มีที่พึ่ง ความรู้สึกที่ว่างเปล่า ความรู้สึกที่ว่าเราเคยคิดว่า เราเคยเป็นอย่างโน้นอย่างนี้ ที่จริงเราไม่เป็นอะไรเลย เราเคยคิดว่าเรารู้โน่นรู้นี่ ที่จริงเราไม่ได้รู้อะไรเลย
เมื่อเป็นเช่นนี้เราก็สั่นสะท้าน ยิ่งสั่นมากๆ หน้ากากมันจะหลุดออกหลายด้าน เมื่อคุณพบว่าคุณพึ่งอะไรไม่ได้เลย นั่นเป็นโอกาสดีแล้วเพราะตลอดเวลานั้นเรามุ่งเข้าหาที่พึ่ง ผู้หญิงผู้ชายก็มุ่งเข้าซุกใต้ปีกของใครสักคนหนึ่งหวังให้เขาคุ้มครอง ไม่ว่าจะคุ้มครองทางด้านใด
มนุษย์ทั่วไปไม่เคยตั้งหลักจะพึ่งธรรมชาติที่ในตัวเอง ไม่เคยแม้จะฝันถึงการเจริญภาวนา ไม่เคยคิดและไม่อยากจะคิด โดยเฉพาะสิ่งนี้เกิดขึ้น แม้แต่กับบุคคลที่คงแก่เรียน และดูเหมือนว่ายิ่งคงแก่เรียนเท่าไรก็ยิ่งไม่ต้องการที่จะพึ่งตัวเอง
คำว่าไม่ต้องการพึ่งตัวเองหมายความว่าไม่อยากรู้จักตัวเอง แต่อยากให้คนอื่นยกขึ้นเรื่อยๆ
ฉะนั้นการเรียนภาวนาที่แท้ก็คือการลอกหน้ากากออกทีละชั้นๆ จนถึงเนื้อใน
เมื่อเรามาเจริญภาวนาเราจะค้นพบกลโกงต่างๆ ในตัวเรา ค้นพบความบ้าคลั่งของความคิดนึกกระแสของอารมณ์พัดผ่านมาหรือเข้าไปในที่เราไม่อยากเข้าไปแต่ว่าพลัดตกลง เราก็ทุกข์ทรมาน แต่ก็ได้รู้จักความจริงเท่าที่มันเป็นจริงจะสอดใส่เสน่ห์ของชีวิตให้
ปฏิบัติธรรมใหม่ๆ จะเหงาเงียบ รู้สึกเหมือนกับถูกตัดขาดจากโลกภายนอก แต่ไม่ช้าไม่นาน การรู้สึกโดดเดี่ยวนี้จะค่อยๆ แปรเปลี่ยนสภาพเป็นความพึงใจอิ่มใจ ความรู้สึกสันโดษ แต่ก่อนหนีสันโดษ หนีความมักน้อย สันโดษ แปลว่า อิ่มใจ
คำอธิบายธรรมนั้นชาวเซ็นเขาบอกว่าเหมือนนิ้วที่ชี้ไปที่พระจันทร์ ถ้าคนไหนมัวสนใจคำพูด ความไพเราะของภาษา หรือมัวไปจับผิดในคำพูด เราก็จะพลาดโอกาสที่จะเห็นพระจันทร์
คำพูดทั้งหมดชี้บ่งไปสู่สภาวะในตัวเรา ดังน้นผู้มีปฏิภาณไหวพริบจะไม่มัวสนใจคำพูดแต่สนใจสิ่งที่คำพูดบ่งถึง นั่นแหละเป็นสิ่งที่จะทำให้เราสะสางปัญหามากมายได้โดยเร็ววัน
คำพูดอย่างดีก็เพียงช่วยเรียกร้องให้หันมาสนใจสิ่งที่มีอยู่ เหมือนที่ผมเล่าให้ฟังว่าถ้าเราไปที่ที่หนึ่ง คืออยากจะไปชมพระอาทิตย์ขึ้นว่ามันสวยอย่างไร ใครคนหนึ่งลุกขึ้นแล้วอธิบายว่าสวยอย่างนั้นอย่างนี้ คำพูดทั้งหมดนั่นกลับบังเรา เมื่อเราฟังแล้วพลาดโอกาสได้ดูด้วยตัวเอง
แต่ถ้าเราทำตามคนที่ชำนาญในที่นั้น พาเราไปนั่งที่ชะง่อนผาในมุมที่เราสามารถมองท้องฟ้าทางทิศตะวันออกได้อย่างกว้างขวาง แล้วเราก็เห็นพระอาทิตย์ขึ้นด้วยตาเราเอง คนๆ นั้นเป็นผู้ทำประโยชน์ให้เรามากกว่าคนที่ลุกขึ้นยืนข้างหน้าแล้วบรรยายความบดบังของจริงหมดสิ้น
ความจริง จริงอย่างไร เราจะเห็นมันได้ เราจะรู้มันได้ถ้าเราเฝ้าดูถูกจุด เปรียบเหมือนชาวบ้านพาเราปีนภูเขาแล้วบอกเราว่า นั่งตรงนี้นะ แล้วอย่าง่วงอย่าหลับ ลืมตาไว้ พระอาทิตย์ขึ้นอย่างไรแล้วคุณจะรู้เอง
ดังนั้นตอนที่เราเห็นเอง นี่เองเป็นความประทับใจ ส่วนคำพูดนั้นไม่อาจสร้างความประทับใจให้คนได้นาน ไม่ช้าไม่นานจะลืมเลือนกันไป แต่พอไปเห็นธรรมชาติในชีวิตที่เกิดจากการแนะนำนั้น ทีนี้ก็จำได้ ก็ซึ้งใจแล้ว
ฉะนั้นเรียนธรรมกี่ปีๆ จากตำรา จากหนังสือ ฟังเทศน์กี่ร้อยกัณฑ์นั้นมันไม่ซึ้ง ไม่อาจซาบซึ้งได้ เราปฏิบัติจนรู้จักชัดเข้าไปแล้ว ทีนี้จะซาบซึ้ง และเมื่อบุคคลซาบซึ้งในธรรมแล้วเขาก็ปลอดภัย อารมณ์จะเริ่มเป็นไปในธรรม กระแสความคิดรายวันจะเริ่มเป็นไปในเรื่องไม่พยาบาท ไม่เบียดเบียน เรื่องความเพียรมันจะปรารภขึ้นมาเอง
แต่ถ้ายังไม่ซาบซึ้งในธรรมในตัวเอง อารมณ์จะเป็นอารมณ์โลกๆ ยังติดยึดในสิ่งโน้นสิ่งนี้ และการทะเลาะเบาะแว้งสงครามทางความคิด ความทุกข์ก็ติดตามมา
รวบรวมจากคำแนะนำต่อกลุ่มธรรมจาริณี ในรายการภาวนาประจำปี พ.ศ. ๒๕๒๙ ณ อาศรมศานติ-ไมตรี

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา