8 มิ.ย. 2021 เวลา 11:35 • สุขภาพ
“คบกันมานานก็เลิกกันได้”
คบกันมานาน และมีลูกด้วยกัน ทำไมถึงเลิกกัน ?
บทความนี้ถือเป็นภาคต่อโดยตรง
ของบทความในชื่อ “วิธีเลือกแฟนฉบับนักจิตฯ”
(ท่านใดที่ยังไม่ได้อ่าน สามารถตามลิงค์นี้ไปได้เลยครับ https://www.blockdit.com/posts/60bde7668e36290b6dfa9f42)
ในเมื่อมีการเลือกแฟนไปแล้ว (ที่เป็นเหมือนจุดเริ่มต้น)
ทีนี้ก็มาต่อกันที่จุดจบของสถานะแฟนกันเลย
(อะไรกัน พึ่งเลือกแฟน จะมาเลิกกันซะแล้ว 5555)
โดยเนื้อหาที่ผมจะนำมาบอกเล่าในครั้งนี้
ผมขอนำเสนอความเข้าใจที่คลาดเคลื่อน
ซึ่งคนเรามักเข้าใจผิดหรือคิดกันไปเองครับว่า
-คบกันมานาน ไม่เลิกกันหรอก
-มีลูกด้วยกันแล้ว ไม่ทิ้งกันหรอก
เหล่านี้จึงเป็นปัจจัยเรื่องเวลา
และสมาชิกใหม่ในครอบครัว
ที่อาจทำให้เราเผลอเข้าใจไปว่า
“ถ้ามีสิ่งเหล่านี้ความสัมพันธ์จะไม่จบลง”
แต่เพราะความจริงมันไม่ได้เป็นอย่างที่ฝัน
เนื่องจากยังมีปัจจัยอีกหลายอย่าง
ที่ทำให้ใครหลายคนตัดสินใจยุติความสัมพันธ์
ส่วนจะมีเนื้อหาอะไรบ้างนั้น
เรามาเริ่มกันเลยครับ ^^
ผมขอเริ่มจากเรื่องของ “เวลา” ก่อนครับ
โดยเวลาในที่นี้หมายถึง “ความยาวนานในการคบกัน”
ไม่ว่าจะเป็นหลายสิบปี, 7 ปี (อาถรรพ์), พึ่งครบ 1 ปี
หรือจะยาวนานเท่าใดก็ตาม
จากการทำงานที่ผ่านมาได้ทำให้ผมพบว่า
“ตัวระยะเวลาที่เพิ่มขึ้น”
ไม่ได้เป็นสิ่งชี้ชัดว่า ความสัมพันธ์จะไม่จบลง
เอาง่าย ๆ ก็คือ
-ระยะเวลาไม่ใช่เครื่องบ่งชี้ “คุณภาพของความสัมพันธ์”
-ระยะเวลาไม่ได้เป็นปัจจัยเดียว “ที่จะทำให้คนเราตัดสินใจคบกันต่อ”
นี่จึงหมายความว่า “เวลาเป็นเพียงตัวเลข”
แต่ด้วยการนึกคิดไปเอง
เราก็มักจะคาดเดาไปมากมาย เช่น
-ยิ่งนาน แปลว่า รักกันมากขึ้นในทุกวัน
-ยิ่งนาน แปลว่า ยิ่งมั่นคงมากขึ้นเรื่อย ๆ
-ยิ่งนาน แปลว่า เป็นคำสัญญาที่จะอยู่ด้วยกัน
ฯลฯ
แต่เบื้องหลังภาพฝันไม่ได้เป็นเช่นนี้เสมอไป
เพราะบ่อยครั้งเหลือเกินในการทำงาน
ที่ผมได้ยินเรื่องราวเบื้องหลังความยาวนานในสายสัมพันธ์
“นั่นคือ อยากไป แต่ก็ไปไม่ได้ เพราะ...”
-อยู่เพราะ ทน
-อยู่เพราะ ไม่กล้าไปเริ่มใหม่กับใคร
-อยู่เพราะ เดี๋ยวโดนคนมองไม่ดีถ้าหากเลิกกันไป
ฯลฯ
จุดนี้เองที่ช่วยให้เราได้รู้ว่า
“เบื้องหลังของระยะเวลา”
ยังมีสิ่งอื่นอีกนอกจากความรักความเข้าใจ
และความต้องการที่จะเคียงข้างกัน
ซึ่งสะท้อนความจริงออกมาว่า
“เป็นการอยู่อย่างไม่มีความสุข”
ซึ่งทำให้เราเห็นปรากฎการณ์ของผู้คนมากมาย
ที่คบกันมาอย่างยาวนาน
แล้วตัดสินใจเลิกกัน หรือ ทิ้งกันไป
เรามาต่อกันในอีกประเด็นครับ
ในกรณีที่มีลูกด้วยกัน ทั้งจากสายเลือด หรือ การรับมาเลี้ยง
(ทำให้มีสมาชิกใหม่ของครอบครัวเพิ่มเข้ามา)
นี่ก็อาจทำให้คนเราคาดเดาไปเองได้เหมือนกัน
ว่าการมีลูกอาจหมายถึงอะไรบางอย่าง เช่น
-มีลูก แปลว่า พร้อมเดินเคียงข้างกัน
-มีลูก แปลว่า จะไม่ทอดทิ้งกันไปไหน
-มีลูก แปลว่า รักและตั้งใจที่จะดูแลกันและกัน
ฯลฯ
ซึ่งไม่ว่าจะมีสมาชิกใหม่เพิ่มขึ้นกี่คนก็ตาม
จากการทำงานของผมพบว่า
“บางครั้งการมีลูก ก็คือ การมีลูก”
ไม่ได้เป็นอะไรมากกว่านั้น หรือ ไม่ได้มีอะไรพิเศษขนาดนั้น
(อาจฟังดูโหดร้าย แต่ก็เกิดขึ้นจริงครับ)
และบางทีการมีลูกก็กลายเป็นตัวเร่งปฏิกิริยาของความขัดแย้งไปด้วยก็มี
ส่วนเหตุผลของการอยู่ด้วยกัน
ก็มีความจริงเบื้องหลังทำนองเดียวกับเรื่องของเวลา
“นั่นคือ อยากทิ้ง แต่ก็ทิ้งไม่ลง เพราะ...”
-อยู่เพราะ คำว่า “รับผิดชอบ” มันค้ำคอ
-อยู่เพราะ กลัวทิ้งไปแล้วตนเองรู้สึกผิด
-อยู่เพราะ ไหน ๆ ก็มีลูก ก็ทน ๆ เลี้ยงดูกันไป
-อยู่เพราะ ไม่อยากให้ครอบครัวเสียหน้า
ฯลฯ
นี่จึงไม่ทำให้แปลกใจเลยครับ
ที่เมื่อถึงจุดหนึ่ง
เราจะเห็นคู่ชีวิตที่มีลูกด้วยกัน-คบกันมานาน
ตัดสินใจแยกทางกัน
เมื่อเราเห็นภาพกว้างของความสัมพันธ์เหล่านี้
เราก็จะพบว่า
“ความสัมพันธ์”
ไม่ได้ขึ้นอยู่กับระยะเวลา หรือ การมีลูก แต่เพียงอย่างเดียว
เพราะถึงจะมีทั้งสองสิ่งนี้ก็ยังมีการเลิกราให้เราได้เห็น
เนื่องจากมันยังมีสิ่งที่เรียกว่า “อุปสรรค”
ที่ส่งผลต่อบุคคลในความสัมพันธ์
ดังนั้น
ในการทำงานผมจึงมักจะถามผู้รับบริการ
เพื่อสำรวจถึงความจริงในใจของผู้รับบริการว่า
-อะไรทำให้ตัดสินใจเลือกคบคนนี้ / อยากได้อะไรจากคนนี้
-ได้รับสิ่งที่อยากได้มากน้อยเพียงใด / อะไรทำให้อยากได้ขนาดนี้
-มีความรักความผูกพันให้กับคู่ชีวิต/ครอบครัวแค่ไหน
-อยากเดินร่วมทางกับคู่ชีวิต/ครอบครัวต่อไปแค่ไหน
-ต้องการดูแลความสัมพันธ์ในชีวิตคู่/ครอบครัวเพียงใด
-ตอนนี้มีความสุขกับชีวิตคู่/ครอบครัวเพียงใด
ซึ่งเหล่านี้เป็นคำถามเพื่อสำรวจครับ
เพราะบางครั้ง เราก็ไม่เคยถามสิ่งเหล่านี้กับตนเอง
หรือบางที ก็รู้คำตอบอยู่แล้วเพียงแต่ไม่กล้าพูดออกมา
“เมื่อบุคคลเข้าถึงคำตอบที่อยู่ในใจแล้ว”
ก็จะเป็นจุดเริ่มต้นในการตัดสินใจต่อไปครับ
ชีวิตคู่ หรือ ครอบครัว
เป็นธรรมดาที่จะเกิดความขัดแย้งกัน
ซึ่งความขัดแย้งนั้น
มักจะมาจากโจทย์ในใจ หรือ เงื่อนไขในใจของแต่ละคน
ซึ่งจะมีผลต่อความสัมพันธ์ เช่น
-รบกวนการสื่อสาร
-ปิดบังการบอกความต้องการ
-ขัดขวางการเข้าใจดูแลกันและกัน
-สร้างความยากลำบากในการแก้ปัญหา
-ทำลายความสุขในชีวิตคู่/ครอบครัว
“เป็นสิ่งที่ทำให้เกิดอุปสรรคในความสัมพันธ์”
อุปสรรคนั้นจะคลี่คลายมากขึ้น
หากแต่ละบุคคลมีปัจจัยเหล่านี้
-อยากเข้าใจและเปลี่ยนแปลงตนเอง
-อยากเข้าใจชีวิตคู่/ครอบครัวมากยิ่งขึ้น
-ยังมีความรักความผูกพันให้กับคู่ชีวิต/ครอบครัว
-อยากเดินร่วมทางกับคู่ชีวิต/ครอบครัวต่อไป
-พร้อมดูแลแก้ไขปัญหาในความสัมพันธ์
ปัจจัยเหล่านี้ก็จะนำไปสู่การรู้จักตนเอง
และการสะสางเงื่อนไขในใจ
รวมทั้งการเปลี่ยนแปลงท่าทีในความสัมพันธ์
ซึ่งจะช่วยให้ความสัมพันธ์เปลี่ยนแปลงไป
ทั้งในเรื่องของการได้เข้าใจกันและกันมากยิ่งขึ้น
การสื่อสาร และการจัดการกับความขัดแย้ง
(ซึ่งสามารถนำไปสู่การคบกันต่อ
หรือ ตัดสินใจแยกทางกันหากพบว่า ไปต่อไม่ได้จริง ๆ)
แต่ถ้าหากเป็นอีกแบบนึงล่ะ
-รู้แล้วว่าเลือกคบคนนี้เพราะอะไร (หรือยังไม่รู้ก็ได้)
-ยังรักอยู่ (หรือหมดรักไปแล้ว)
-ไม่อยากอยู่ด้วยกันอีกแล้ว
-ไม่อยากปรับเปลี่ยนอะไรทั้งนั้น
“ทำนองว่า กูไม่อยู่แล้วโว้ย / กูไม่อยากคบกับคนนี้แล้วโว้ย”
ถ้าผู้รับบริการมั่นใจในคำตอบ
และยังยืนยันในความต้องการ
ตรงนี้ก็จะนำไปสู่การยุติความสัมพันธ์ครับ
(เนื่องจากนักวิชาชีพไม่ได้มีหน้าที่ยื้อความสัมพันธ์)
ซึ่งนักจิตฯอย่างผมก็มีหน้าที่ให้การยุตินั้น
เป็นไปอย่างราบรื่น
หรือ ให้เกิดความทุกข์แก่บุคลในความสัมพันธ์น้อยลง
เพื่อให้เกิดรอยร้าวน้อยที่สุด
และเพื่อให้แต่ละคนได้ไปเริ่มชีวิตใหม่ด้วยความสุข
ผมเข้าใจว่า
หากเราเริ่มจากการเลือกคู่ชีวิตอย่างรู้ตัว
(แต่ถ้าไม่รู้ตัวก็ไม่เป็นไร เราสามารถรู้จักตัวเองทีหลังได้ครับ)
แล้วดูแลความสัมพันธ์ที่มีอยู่ให้ถูกที่ถูกทาง
โดยที่เราไม่ยึดเอาเงื่อนไขส่วนตัว
หรือ ยึดเอาความต้องการของตัวเองเป็นศูนย์กลาง
(ไม่ทำร้ายตัวเอง ไม่ทำลายผู้อื่น รวมทั้งไม่ทำร้ายทั้งสองอย่างข้างต้น)
จนละเลยคนในความสัมพันธ์
มันก็จะทำให้เรามีปัจจัยในการเข้าใจตนเอง
และเติมเต็มความต้องการของตัวเองได้ (โดยไม่ต้องไปบีบคั้นจากคู่ชีวิต)
รวมทั้งมีปัจจัยในการเข้าใจและสามารถดูแลคนรอบข้าง
ซึ่งจะนำไปสู่การปรับตัวอย่างสมดุล
“สร้างความสุขให้แก่ชีวิต”
สุดท้ายนี้
สำหรับผมแล้ว
หากเราเข้าใจธรรมชาติตนเอง
เข้าใจธรรมชาติของผู้อื่น
และสามารถมีความสุขกับชีวิตได้
เราก็จะทำให้ชีวิตคู่ หรือ ครอบครับเป็นสุขไปด้วย ^^
(ขอจบบทความไว้ตรงนี้ก่อนที่จะยาวไปกว่านี้นะครับ 555
ยังมีประเด็นให้เขียนต่ออีกหลายอย่าง
ขอเก็บเอาไว้ในโอกาสหน้าก็แล้วกันนะครับ)

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา