Blockdit Logo
Blockdit Logo (Mobile)
สำรวจ
ลงทุน
คำถาม
เข้าสู่ระบบ
มีบัญชีอยู่แล้ว?
เข้าสู่ระบบ
หรือ
ลงทะเบียน
ดูก่อนนอน
•
ติดตาม
13 มิ.ย. 2021 เวลา 07:41 • นิยาย เรื่องสั้น
เรื่องสั้น ขวัญผวา ตอน ห้องใต้ดิน
เมื่อตอนผมยังเด็ก ผมมักจะอยู่กับยาย แม่หย่าร้างกับพ่อตั้งแต่ผมเด็กๆ แล้วแม่ก็แต่งงานใหม่หลังจากนั้นไม่นาน ยายของผมเปลี่ยนโรงรถให้เป็นที่อาศัยของแม่และสามีใหม่ของเธอ จนกว่าเขาทั้งคู่จะหาบ้านใหม่ได้ ซึ่งห้องนั้นไม่มีที่พอจะให้ผมอยู่ด้วย ผมจึงต้องมาอยู่ที่ตัวบ้านของยายแทน เมื่อแม่และพ่อใหม่ของผมมีเงินพอทีจะซื้อบ้านหลังใหม่ได้ ผมก็จะต้องไปกับพวกเขาด้วย แต่ว่าผมอยู่กับยายมานาน เพื่อนบ้านของผมที่อยู่แถวบ้านยายก็มีอยู่เยอะเหมือนกัน ดังนั้นผมจึงไม่ขอไปบ้านใหม่กับพ่อแม่ ผมตัดสินใจที่จะใช้ชีวิตในรั้วโรงเรียนที่เหลืออยู่ที่บ้านของยาย
จนผมโตขึ้น ผมต้องย้ายบ้านอีกครั้ง แต่ว่าครั้งนี้น่าผมจะได้อยู่กับแม่ของผมซักที แล้วได้ถือโอกาสทำความรู้จักพ่อใหม่ของผมให้มากขึ้นกว่าเดิมด้วย ถึงมันจะนานเกินไปสักหน่อยก็เถอะ ก่อนหน้านั้นผมได้วางแผนกับแฟนว่าจะแต่งงานกันตอนที่พวกเราเก็บเงินได้มากพอ นั่นก็เพื่อไว้ใช้สำหรับการจัดงานแต่ง เราวางแผนไว้ว่ามันคงจะดีถ้าพวกเรากลับไปอยู่กับพ่อแม่ของตัวเองก่อน แล้วผมและแฟนจะได้ช่วยกันเก็บเงินเอาไว้เผื่อค่าเทอมของลูกในอนาคตอีกด้วย
ลืมบอกไปเลยว่าผมมีน้องสาวด้วยนะ น้องสาวของผมได้ย้ายไปอยู่หอที่วิทยาลัย ดังนั้นผมจึงใช้ห้องนอนเก่าของเธอได้ ซึ่งห้องน้องสาวของผมอยู่ที่ห้องใต้ดินของบ้าน ห้องใต้ดินนั้นค่อนข้างเป็นระเบียบ ทางด้านขวาของห้องจะเป็นที่ซักรีดพร้อมห้องน้ำ ทางด้านซ้ายเป็นที่สำหรับนั่งเล่นแล้วมีบาร์ขนาดย่อมๆที่พ่อใหม่ของผมได้สร้างขึ้นมา แล้วภายในห้องใต้ดินก็จะมีห้องนอนของผมอยู่ด้วย นับว่าเป็นห้องที่มีทำเลดีทีเดียว
ผมเอาข้าวของสัมภาระมาไว้ที่ห้องใต้ดินเมื่อคืนวันศุกร์ ผมจัดแจงทุกอย่างได้เสร็จภายในวันเดียว แล้วเมื่อหัวถึงหมอนผมก็หลับทันที วันต่อมาในตอนบ่ายๆ ผมลงไปที่ห้องแล้วกะจะไปเล่นวีดีโอเกมส์ แต่เมื่อผมกำลังเดินลงบันไดห้องใต้ดิน ผมมองไปด้านซ้ายที่เป็นบาร์ขนาดย่อมของพ่อผม มันเป็นพื้นที่ว่างที่มีเก้าอี้โยกอยู่ ห้องนี้มีไฟสลัวๆจากแสงอาทิตย์ที่ส่องผ่านมาทางประตู เก้าอี้โยกนั้นไม่ได้ขยับแต่อย่างใด แต่ผมกลับมีความรู้สึกเหมือนว่ามันมีบางสิ่งอยู่ตรงนั้น ผมไม่ได้รู้สึกเหมือนกับว่ามีบางสิ่งจ้องมองผมอยู่นะ แต่ผมรู้สึกถึงพลังงานบางอย่างในห้องนี้ ผมไม่ชอบมันเลย ผมรีบเอาความคิดนี้ออกไปจากสมอง ผมรีบเดินเข้าไปที่ห้องผมแล้วปิดประตู ผมน่าจะคิดไปเอง ผมจึงเล่นวีดีโอแล้วลืมเรื่องนี้ไปซะ
ประมาณตี 1 ผมเลิกเล่นเกมส์แล้วตั้งใจจะนอน พ่อแม่ของผมมักจะตื่นประมาณตี 3 ถึงตี 4 อยู่ตลอด ผมได้ยินเสียงพวกเขาคลิกเมาส์เล่นโน้ตบุคเล่นเกมด้วยกันสองคนทั้งคืน เมื่อผมเดินตรงไปที่ห้องน้ำข้างนอกห้องนอนเพื่อที่จะแปรงฟัน ผมเห็นกระดาษโน้ตที่แม่เขียนไว้ว่า แสงแดดตอนเช้านั้นดีนะลูก ผมยอมรับว่ามันก็คงจะดีถ้าตื่นเช้าได้ ผมเลยเปิดประตูห้องได้ดินไว้เพื่อให้แสงแดดส่องมาถึงห้องผม ตอนที่ผมกำลังจะเดินเข้าห้องนอน ผมสัมผัสได้ถึงอะไรบางอย่างอีกแล้ว แต่ครั้งนี้มันรุนแรงกว่ามาก ผมรู้สึกขนลุกทั้งตัว ผมรีบเดินไปที่ห้องน้ำแล้วปิดประตู ผมเสร็จธุระในห้องน้ำแล้วรีบดิ่งไปที่ห้องนอนของผมที่อยู่ห่างไปไม่กี่ฟุต
ผมปิดประตูห้องนอนของผม ซึ่งในตอนแรกผมกะจะเปิดมันทิ้งไว้เพื่อให้ผมได้เห็นแสงแดดในตอนเช้า แต่ตอนนี้ผมคิดว่าผมปิดประตูไว้จะดีกว่า ยังไงผมก็ไม่ชอบตื่นตอนเช้าอยู่แล้ว แต่ผมจะยิ่งไม่กล้าตื่นเข้าไปอีกถ้าห้องนอนยังคงมืดสนิท ผมเปิดประตูห้องใต้ดินไว้ แต่ปิดประตูห้องนอน ดังนั้นแสงแดดคงไม่เล็ดลอดเข้ามาได้แน่ ผมจึงทุบประตูไปนิดหน่อย ไม่กว้างมาก แต่ก็กว้างพอที่จะให้แสงแดดส่องมาถึงในตอนเช้า ผมเปิดพัดลมเบาๆแล้วคลานกลับไปบนที่นอนผม ผมดูเหมือนคนหวาดระแวงยังไงไม่รู้ โชคดีที่เตียงของผมไม่ได้หันหน้าเข้าหาประตู ไม่งั้นผมคงจะนอนไม่หลับเพราะช่องประตูที่ผมเพิ่งทุบไปแน่
ผมข่มตาให้หลับ แต่ไม่กี่นาทีต่อจากนั้น ผมสัมผัสมันได้อีกแล้ว ผมรู้สึกเหมือนกำลังโดนจ้องมองอยู่ ประตูห้องนอนผม อยู่ดีๆมันก็แง้มออก มันอาจจะเกิดจากลมก็ได้ ผมคิดอย่างงั้น แต่มันก็ไม่น่าจะทำให้ประตูเปิดได้ง่ายขนาดนั้น ผมลืมตาอย่างช้าๆ ผมยังคงมองไม่เห็นอะไรในความมืดมิด
ผมสัมผัสได้ถึงพลังงานบางอย่างอีกแล้ว แต่มันไม่ใช่ความรู้สึกเหมือนการถูกจ้องมอง แต่ผมรู้สึกถึงบางคนหรือบางสิ่งที่น่ากลัวอย่างมาก อยู่ตรงหน้าประตูของผม ผมหลับตาปี๋พยายามสงบสติอารมณ์ไว้ ผมพยายามทำใจเย็นๆ เมื่อก่อนผมไม่ได้กลัวความมืดเลย ทำไมตอนนี้ผมกลับกลัวมันล่ะ ?
ผมพยายามสะกดตัวเองให้นอนหลับ ผมหลับตาสนิท หวังว่ามันจะเป็นเพียงแค่ความฝัน มีบางสิ่งที่ไร้รูปร่างกำลังคลานมาที่ห้องผมอย่างช้าๆ เคลื่อนตัวผ่านประตูห้องแล้วมาที่เตียงผม สิ่งนั้นหยุดอยู่กับที่เป็นเวลานาน ขณะที่ตัวผมเองพยายามอยู่นิ่งที่สุด กลัวว่ามันจะเห็นผม หลังจากนั้นเจ้าสิ่งนั้นมันก็เริ่มขยับห่างออกจากเตียงผมไป หัวใจของผมแทบจะวาย
ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา ทุกๆคืนผมมักจะสัมผัสได้ถึงบางสิ่งที่จ้องมองผมจากนอกประตู และมักจะเข้ามาที่ห้องผมแล้วเดินไปมาในห้องนอนของผม แต่มันไม่เคยเข้ามาใกล้ผมเลย ผมไม่เคยลืมตาเลยสักครั้งตอนที่ผมสัมผัสถึงมันได้ แล้วนี่มันก็ผ่านมาแปดเดือนแล้ว ผมก็เริ่มเหนื่อยกับเรื่องนี้ ผมเหนื่อยกับความรู้สึกเหมือนมีอะไรจ้องมองผมอยู่ตลอดเวลา ผมคิดว่าพอกันที ถึงแม้ผมจะกังวลเรื่องที่ผมจะนอนหลับเกินเวลา แต่ผมไม่ไหวกับเรื่องนี้แล้ว ตอนนี้ผมปิดประตูห้องใต้แล้วมันจะไม่มีแสงแดดส่องเข้ามาอีกแล้ว ผมยังคงนอนท่าเดิม หลังชิดผนัง แล้วไม่กี่นาทีหลังจากนั้น ผมรู้สึกถึงการมีบางอย่างอีกครั้ง แต่ว่าครั้งนี้มันอยู่แค่หน้าประตูแล้วรออยู่ที่ห้องซักรีด ไม่เข้ามาในห้องนอนของผม
ผมรู้สึกปลอดภัยนิดหน่อยที่มันจะมองไม่เห็นตัวผมอีกแล้ว แต่ผมก็ยังกลัวความจริงที่ว่ามันยังคงรอผมอยู่หน้าห้อง คืนต่อมาผมตัดสินใจที่จะปิดประตูห้องซักรีดไปด้วย แต่มันไม่ได้ช่วยอะไรมากนัก คืนนั้นผมก็ยังสัมผัสถึงการมีตัวตนอยู่ที่ห้องนั่งเล่น แต่ว่าความรู้สึกมันจางลงจนทำให้ผมนอนหลับสบายขึ้นเยอะเลย
ตั้งแต่ที่ผมปิดประตูห้องทั้งหมดในชั้นใต้ดินตอนกลางคืน ผมมันทำให้ผมตื่นไม่ตรงเวลาเลย บางทีผมมักจะไปทำงานสายเป็นชั่วโมง ผมจึงตัดสินใจซื้อโคมไฟแขวนหน้าประตูพร้อมตัวตั้งเวลา มันได้ผลอยู่ประมาณอาทิตย์นึง แต่มันก็ใช้ไม่ได้อีกต่อไป เพราะว่าไม่ว่าผมจะตั้งเวลาให้มันถูกต้องเท่าไรก็ตาม เช้าต่อมาเวลาปลุกของมันมักจะเร็วกว่าที่เคยตั้งไว้เสมอ หรือไม่ก็เลยเวลาที่ตั้งไว้ ผมจึงคิดว่ามันคงถึงเวลาที่จะทำตัวให้สมเป็นชายหน่อยแล้ว ผมกลับมาเปิดประตูสองประตูนั้น แล้วให้แสงอาทิตย์ปลุกให้ผมตื่นเหมือนเดิม
หลังจากที่ผมกลับมาเปิดประตูได้ไม่นาน สิ่งนั้นมันได้กลับมาอีกแล้ว ผมรู้สึกว่ามันน่ากลัวยิ่งกว่าเดิมซะอีก เหมือนกับว่ามันโกรธที่ผมไปเปิดประตูห้องใต้ดิน แต่เจ้าตัวนั้นไม่ได้เข้ามาที่เตียงนอนของผม ผมจึงพยายามข่มตาให้หลับ ในแต่ละคืน ผมพยายามทำเป็นว่าสิ่งนั้นมันไม่มีตัวตน ผมทำแบบนี้ทุกวันไม่ได้ ผมจึงปิดประตูเฉพาะวัน เสาร์ อาทิตย์ ผมต้องให้ตัวเองมีเวลาที่จะหลับได้อย่างสบายบ้าง
แน่นอนว่าเจ้าสิ่งนั้นมันไม่สนุกไปกับการตัดสินใจของผมแน่ แล้วสิ่งที่ผมไม่อยากให้เกิดขึ้นก็เกิดขึ้นจนได้ เจ้าตัวนั้นมันได้เริ่มเคลื่อนตัวเข้ามาใกล้เตียงผมขึ้นทุกวัน มันเริ่มขยับเข้ามาตอนคืนวันอังคาร มันขยับเข้ามาทีละนิด จากมุมห้องจนมาถึงกลางห้อง สองสามคืนถัดมา มันมาอยู่กลางห้องแล้วหยุดขยับ แล้วมันก็ไม่ขยับอีกเลย แต่เมื่อวันอาทิตย์มาถึง ทุกสิ่งก็เปลี่ยนไป
ผมเปิดประตูห้องใต้ดินให้แสงเข้ามา ผมรู้ดีว่าเจ้าตัวนั้นมันจะกลับมาที่ห้องของผมแน่นอน แต่ครั้งนี้มันมาเร็วกว่าครั้งก่อนๆมาก มันเข้ามาใกล้มากขึ้นกว่าทุกครั้งอีกแล้ว ผมกลัวอย่างมากแล้วพยายามไม่คิดถึงมัน สิ่งที่ผมทำได้คือทำเป็นไร้ตัวตนแล้วหลับตาให้สนิท
ไม่กี่นาทีต่อจากนั้น เจ้าตัวนั้นมันเริ่มขยับมาที่ขาเตียงของผม มันไม่ได้อยู่เฉยๆ ผมรู้สึกได้ว่ามันขยับไปมาที่ขาเตียงของผม ผมไม่สามารถข่มตาหลับได้เมื่อมันขยับไปมาแบบนี้ โชคดีหน่อยที่หลังจากนั้นมันก็กลับไปที่กลางห้องแล้วอยู่เฉยๆอย่างนั้นตลอดทั้งคืน
งานแต่งงานของผมใกล้เข้ามาถึงแล้ว ผมอยากออกไปจากบ้านหลังนี้เต็มทีแล้ว อะไรก็ตามที่อยู่ชั้นใต้ดินมันได้ใกล้เข้ามาหาผมเกินที่ผมจะรับมือไหวแล้ว ไม่กี่อาทิตย์ก็จะถึงงานแต่งของผมแล้ว แต่เจ้าตัวนั้นมันก็ยังอยู่ที่ขาเตียงของผมเหมือนเดิม ผมไม่ค่อยได้นอนเต็มนิ่ม กินน้อยลง แล้วรู้สึกไม่พอใจที่มีบางอย่างมาหลอกหลอนผมอยู่ทุกวันในตอนที่ผมใกล้จะแต่งงานแล้ว
ตอนตี 2 ที่ผมกำลังจะเข้านอน ผมกำลังจะเปิดโคมไฟแต่ก็ยังลังเลว่าจะเปิดโคมไฟหรือปิดประตูห้องนอนดี ถ้าผมเปิดโคมไฟ เจ้าสิ่งนั้นอาจจะวิ่งเข้ามาหาผมหรือมันอาจจะกลัวแสงสว่างแล้วถอยหนีกลีบไป ผมไม่มีทางรู้ได้เลยว่ามันจะเป็นยังไง ผมหายใจเข้าลึกๆ เปิดประตูสองบานนั้นแล้วรีบวิ่งกลับไปที่เตียงนอนของผม แต่ผมยังคงลังเลว่าจะเปิดโคมไฟไว้ด้วยดีรึเปล่า ตอนนี้ยังมีโอกาส พรุ่งนี้ผมไม่ได้ไปทำงานเพราะว่ามันเป็นวันก่อนแต่งงานของผม แล้วการตัดสินใจครั้งสุดท้ายของผมก็คือ ปิดประตูแล้วเปิดโคมไฟทิ้งไว้ และนี้เป็นครั้งแรกที่ผมลืมตาค้างเอาไว้มองหาว่ามีอะไรที่เข้ามาที่ห้องผมรึเปล่า
ซึ่งวิธีนี้ผมไม่เคยทำมันมาก่อนเลย
ผมยังมองไม่ค่อยเห็นอาจเป็นเพราะตาของผมยังไม่ชินกับแสงสลัวๆ แล้วผมก็สัมผัสถึงมันได้จากข้างนอก มันรออยู่ที่ห้องซักรีด สายตาของผมมองเห็นว่าเจ้าสิ่งนั้นมันมีรูปร่าง มันหมอบอยู่ หมอบลงไปกับพื้น ผมยังมองไม่เห็นรูปร่างทั้งหมดของมัน ผมยังกลัวๆอยู่ ยังไม่แน่ใจว่าเจ้าสิ่งนั้นมันอยู่ตรงนั้นจริงๆรึเปล่า ผมอยู่นิ่งๆแล้วมองไปที่เจ้าสิ่งนั้น แต่มันถูกปิดบังไปด้วยความมืดของห้องซักรีด
ผมไม่รู้จะทำยังไง ผมจึงหลับตาให้สนิท แต่ผมยังคงยืนอยู่ในห้องที่หน้าประตู ผมเริ่มแอบมองอีกทีแล้วสิ่งที่ผมเห็น มันยังคงหลอกหลอนผมจนถึงทุกวันนี้ สิ่งนั้นที่หมอบอยู่ผมเห็นมันเต็มตัวแล้ว มันหมอบลงพร้อมกับวางมือไว้ที่พื้นตรงระหว่างขาของมัน มันหมอบอยู่ที่ตรงกลางห้อง ผมจ้องมองอย่างไม่กระพริบตา เจ้าสิ่งนั้นคือแม่ของผมเอง แม่หมอบอยู่ตรงพื้นนั้นแล้วมองมาที่ผมตาไม่กะพริบ หัวของเธอห้อยลงพร้อมกับยิ้มกว้าง ผมหยิกสีบลอนด์เข้มของแม่ยุ่งเหยิงไปทั่วห้อง สิ่งนี้หรอที่ผมได้เจอมันเป็นเวลานานนับปี เป็นแม่ของผมหรอที่มาจ้องมองผมทุกคืนที่ผ่านมา เธอทำแบบนี้กับน้องสาวของผมด้วยงั้นเหรอ ? เธอกำลังถูกอะไรบางอย่างเข้าสิงรึเปล่า ?
คำถามนับล้านกำลังแล่นอยู่ในหัวของผม ไม่กี่วินาทีต่อมาผมก็พบว่าสิ่งนั้นก็คือแม่ของผมที่มองผมอยู่ตลอดเวลา เธอเริ่มขยับออกมาจากห้อง เธอค่อยๆขยับเท้าและมือของเธอ โดยแทบไม่ห่างออกจากพื้น แต่ยังคงจ้องมาที่ผมด้วยสายตาที่บ้าคลั่ง เธอหยุดอีกครั้งตรงที่ประตูของห้องซักรีด นับเป็นเวลาที่ยาวนานที่สุดในชีวิตของผม จากนั้นเธอก็อันตรธานหายไปในความมืดของห้องซักรีด
ผมไม่ได้รู้สึกถึงบางสิ่งที่มาจ้องมองผมแล้ว แม่ของผมน่าจะกลับไปที่ชั้นบนแล้ว ผมหวังให้มันเป็นอย่างงั้น ผมอยากจะขึ้นไปเช็คดูให้แน่ใจ แต่บางอย่างบอกผมว่าผมไม่ควรขึ้นไป เพราะมีแต่ผมคนเดียวที่รู้ว่าแม่ทำอะไรอยู่
ผมดูเวลาที่มือถือของผม มันผ่านมาเป็นชั่วโมงแล้วตั้งแต่แม่ออกไปจากห้องใต้ดิน และผมไม่รู้สึกถึงสิ่งนั้นอีกแล้ว ผมถือโคมไฟแล้วนั่งลงบนเตียง
แล้วผมตัดสินใจว่าจะลองออกไปดูแม่สักหน่อย อยากรู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ ผมเดินไปที่ห้องซักรีดอย่างช้าๆ แล้วเดินต่อไปยังห้องนั่งเล่นแล้วผมก็เห็นแม่ของผม หมอบลงในท่าเดิมไกลตรงแถวๆเก้าอี้โยก เธอมองมาที่ผมแบบไม่กะพริบตา เธอยังคงโยกหัวขอเธอหน้าหลังไปมาอย่างช้าๆ เธอยังคงไม่ละสายตาจากผม ผมยื่นแข็งทื่อ คลื่นแห่งความหวาดกลัวระลอกใหม่ยังคงถาโถมมาหาผม แม่ของผมเริ่มลากเท้าเข้ามาใกล้ผม เธอยังคงโยกหัวไปมาเหมือนเดิม รอยยิ้มของเธอตอนนี้กว้างแล้วดูน่ากลัวยิ่งกว่าเดิม พอสลัดความกลัวได้ ผมรีบวิ่งกลับไปที่ห้องนอนผมแล้วปิดประตู
ผมได้ยินเสียงดังจากแม่ของผมกระแทกกับประตู 3 ครั้ง เธอน่าจะให้หัวของเธอโขกไปที่ประตู ผมทั้งเสียใจและทั้งกลัว ผมหยิบไม้เบสบอลที่ผมซื้อมาเตรียมป้องกันตัวจากเจ้าสิ่งนั้น แต่นั่นมันคือแม่ของผม แต่ผมก็ต้องหาอะไรป้องกันตัวเผื่อเหตุฉุกเฉิน
เสียงดังจากประตูห้องหยุดลง นาที่ต่อมาผมได้ยินเสียงลูกบิดประตูกำลังเปิดออกอย่างช้าๆ ลูกบิดประตูห้องนอนผมเริ่มขยับไปมา แม่พยายามที่จะเปิดประตู แต่ผมล็อกประตูไว้แล้ว ผมทำได้แค่นั่งอยู่ตรงนั้นทั้งคืน เปิดไฟสว่าง ผมตัวสั่นอยู่ที่มุมห้องของห้องนอน ผมมองดูลูกบิดประตูหมุนซ้ายหมุนขวา แล้วประมาณหกโมงเช้า เสียงนั้นก็หยุดไป
ผมรอจนถึงเก้าโมงเช้า เพื่อให้แน่ใจว่ามันเป็นเวลาในช่วงเช้าจริงๆ ก่อนที่จะปลดล็อคประตูแล้วเดินออกจากห้อง ผมเดินไปที่ห้องซักรีด แม่ของผมไม่ได้อยู่ที่นั่นแล้ว ผมยังคงถือเบสบอลอยู่ในมือ ผมมองไปรอบๆ แต่แม่ก็ไม่ได้อยู่ที่ห้องใต้ดินแล้ว ผมรีบเดินขึ้นไปชั้นบน ผมเห็นแม่นั่งอยู่ที่นั่งประจำของเธอที่โต๊ะทานอาหารเย็น แม่กำลังนั่งทานซีเรียลอยู่
"อรุณสวัสดิ์ หลับสบายดีใหม่ลูก" เธอถามผมด้วยน้ำเสียงปกติ
"สบายดีครับ เมื่อคืนแม่ได้ตื่นมาทำอะไรรึเปล่าครับ?"
แม่ทานซีเรียลที่อยู่ในปากเธอให้หมดแล้วกลืน "ไม่นะ แม่ไม่ได้ตื่นขึ้นมาเลย ลูกถามทำไมจ๊ะ"
"เปล่าครับ ผมแค่ได้ยินเสียงบางอย่างที่ห้องซักรีด" ผมควรพูดอะไรออกไปดีเนี่ย อย่างเช่น ทำไมแม่พยายามจะฆ่าผมหรือแม่มาแอบมองผมตอนที่ผมหลับรึเปล่า? แต่ผมไม่มีความกล้าที่จะถามคำถามพวกนี้ออกไป
"อ๋อ ลูกหูฟาดรึเปล่า" แม่ของผมพูด แล้วตักซีเรียลเข้าปากไปอีกคำ
"น่าจะเป็นอย่างนั้นครับ มันก็ไม่น่าจะมีอะไรหรอก" ผมพูด โกหกอีกครั้ง ผมปล่อยให้แม่กลับไปทานอาหารต่อ
แล้วผมก็เริ่มเตรียมตัวสำหรับวันพรุ่งนี้ ผมเตรียมพร้อมทุกอย่างสำหรับวันแต่งงานที่จะมีขึ้นในเสาร์นี้ แต่ตลอดทั้งวันผมไม่สามารถลืมสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อคืนได้เลย มันไม่ใช่ฝัน ผมไม่มีโอกาสที่จะได้ฝันหรอก เพราะผมไม่ได้นอนทั้งคืน ผมยังคงเหลืออีกหนึ่งวันที่จะอยู่ที่บ้านนี้ แล้วผมก็เริ่มวางแผนอะไรบางอย่าง
ผมขอร้องให้เพื่อนสนิทที่สุดของผม ให้มานอนค้างคืนด้วยกันกับผม อ้างว่าให้มาช่วยปลุกหน่อยเพราะกลัวว่าจะตื่นสายในวันแต่งงานของตัวเอง ผมไม่กล้าบอกเพื่อนว่าเกิดอะไรขึ้นกับแม่ของผม ส่วนหนึ่งเป็นเพราะผมไม่อยากทำให้เขากลัว อีกส่วนหนึ่งอาจเป็นเพราะผมยังไม่แน่ใจว่ามันเป็นเรื่องจริงรึเปล่า
พวกเรานอนกันดึก ยังคงหัวเราะขำขันกับสิ่งที่ผมกับเพื่อนเคยทำสมัยยังเรียนอยู่ด้วยกัน เราเล่นวีดีโอเกมส์กัน จนผมลืมเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อคืนก่อนไปแล้ว ผมหมดแรงแล้วไปนอนบนเตียง ผมรอให้ตัวผมทรุดหลับลงไปอยู่ครู่หนึ่ง แต่ผมก็นึกขึ้นได้ว่าถ้าแม่ของผมมาทำแบบเดียวกับที่เธอทำเมื่อวานให้เพื่อนผมเห็นล่ะ แต่เธอไม่น่าจะทำหรอก ผมไม่ได้สัมผัสถึงเธอตั้งแต่ห้องนั่งเล่นแล้วด้วยซ้ำ คืนนี้เป็นคืนที่ผมนอนหลับลงสนิท
แล้วก็ถึงวันงานแต่งงานของผม งานแต่งงานจบลงโดยไม่มีอุปสรรค มันเป็นช่วงชีวิตที่ดีที่สุดของผม ผมและภรรยาขับไปที่เมืองคันซัส เพื่อฉลองฮันนีมูนกัน ผมลืมเรื่องเกือบทั้งหมดไปแล้ว จนกระทั่งมันถึงเวลาที่พวกเราเปิดของขวัญวันแต่งงาน
พวกเราเปิดกล่องของขวัญ ที่มีการ์ดให้พวกเราใช้เวลาอ่านนานพอสมควร ผมเปิดการ์ดที่แม่ของผมให้กับพวกเรา มันเป็นหนึ่งในการ์ดที่มีเงินอยู่ด้วย ผมอ่านข้อความที่อยู่บนการ์ดแต่มีเงินในการ์ดหลุดออกมาก่อน พร้อมกับกระดาษที่ถูกพับอยู่ตกลงไปบนพื้น ภรรยาของผมไม่ทันสังเกต ผมจึงหยิบกระดาษนั้นขึ้นมาแล้วคลี่ออกมาอ่าน ข้อความในนั้นเป็นตัวอักษรใหญ่ๆดูยุ่งเหยิงเขียนว่า "แม่จะอยู่กับลูกไปชั่วนิรันดร์"
ผมรีบพับโน้ตนั้นกลับแล้วโยนลงไปที่ถังขยะ ผมไม่อยากให้ภรรยารู้เรื่องที่เกิดอะไรขึ้น มันจะทำให้เธอกลัว ดังนั้นผมจึงเก็บเรื่องนี้เป็นความลับ
อาทิตย์ต่อมาผมตื่นขึ้นมาในอพาร์ตเมนต์เหงื่อท่วมตัว ภรรยาหลับอยู่ข้างผม ผมรู้สึกกระหายน้ำแล้วหาน้ำดื่มจากห้องครัว ผมเดินไปที่ห้องครัวแล้วรินน้ำใส่แก้ว ตอนที่ผมดื่ม ผมได้ยินเสียงอะไรสักกอย่างเดินมาอยู่ข้างหน้าประตู ผมไม่ได้คิดอะไร มาก เพราะอาจจะเป็นเพื่อนบ้านก็เป็นได้ จากนั้นลูกบิดประตูก็เริ่มหมุนซ้ายขวาไปมา ผมรีบเดินไปมองผ่านรูประตูแต่ก็ไม่มีใครอยู่ที่นั่น ผมจับลูกบิดไว้เพื่อให้มันหยุดหมุน ผมสัมผัสได้ถึงแรงหมุนลูกบิดจากใครสักคนพยายามที่จะหมุนลูกบิดซ้ายขวาไปมา แต่สักพักมันก็หยุดหมุน ผมตัดสินใจเปิดประตู แล้วผมก็เห็นสิ่งที่ผมกลัวมาตลอด ผมเห็นแม่ของผม คลานอยู่ที่พื้น มองมาที่ผมด้วยดวงตาที่เบิกกว้างไม่กะพริบตา พร้อมกับรอยยิ้มที่น่ากลัว…
บันทึก
1
ดูเพิ่มเติมในซีรีส์
เรื่องสั้น ขวัญผวา
1
โฆษณา
ดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน
© 2024 Blockdit
เกี่ยวกับ
ช่วยเหลือ
คำถามที่พบบ่อย
นโยบายการโฆษณาและบูสต์โพสต์
นโยบายความเป็นส่วนตัว
แนวทางการใช้แบรนด์ Blockdit
Blockdit เพื่อธุรกิจ
ไทย