14 มิ.ย. 2021 เวลา 09:12 • ประวัติศาสตร์
#31 The Brain Club : History นครนองเลือด
ในช่วงต้นศตวรรษที่ 13 กองทัพอันเกรียงไกรของจักรวรรดิมองโกลที่นำโดย " บาตูข่าน (Batu Khan)" หลานชายของเจงกิสข่าน ผู้ครองแคว้นกระโจมทองคำ
ได้ยกทัพเพื่อทำสงครามขยายดินแดนไปยังยุโรปตะวันออก ข้ามไปยังพื้นที่พรหมแดนอันกว้างใหญ่ไพศาลของรัสเซีย
ทัพม้าของมองโกลเริ่มบุกโจมตีนครรัฐที่รุ่งเรืองของรัสเซียจนพังพินาศลงไปหลายแห่ง โดยตลอดระยะเวลาเพียงไม่กี่ปี กองทัพมองโกลสามารถคร่าชีวิตชาวรัสเซียไปได้ 7%
เป็นการสร้างความสั่นสะเทือนไปยังอาณาจักรอื่นๆ ทั่วแผ่นดินยุโรปให้เตรียมรับมือการรุกราน
ซึ่งรวมไปถึงเหตุการณ์ที่โหดร้ายมากที่สุดครั้งหนึ่งในหน้าประวัติศาสตร์รัสเซีย นั้นคือ " การบุกโจมตีแคว้นยาโรสลาฟล์ " ในปี ค.ศ. 1238
เมื่อมกุฎราชกุมารแห่งรัสเซียทรงปฏิเสธที่จะยอมแพ้ต่อมองโกล บาตูข่านจึงสั่งเผาเมืองให้หายไปจากหน้าประวัติศาสตร์พร้อมกับผู้ครองเมืองและข้ารับใช้ทุกคน
ผลของการรุกรานครั้งนั้น ได้เปลี่ยนจากมหานครที่รุ่งเรืองให้กลายเป็น " นครที่หลับไหลใต้กองเลือด " ภายในชั่วพริบตา มีผู้คนหลายร้อยชีวิตถูกสังหารอย่างไร้ความปราณี ไม่มีการยกเว้นใดๆ ถึงแม้ว่าคุณจะเป็นเด็กเล็ก หรือหญิงสาวที่ไร้ทางสู้ก็ตาม บ้านเมืองที่สวยงามก็ถูกเผาทำลายพังพินาศ จนแทบจะไม่เหลือผู้รอดชีวิตเลย
จนกระทั่งในปี 2019 ทางทีมนักโบราณคดีก็ได้ค้นพบความลับที่น่าสะพรึงกลัวที่ถูกเก็บซ่อนภายใต้ซากเมืองยาโรสลาฟล์มานานกว่า 800 ปี มีการค้นพบหลุมศพขนาดใหญ่บางส่วนทั้งหมด 9 แห่ง ที่มีศพถูกฝังรวมกันมากกว่า 300 ศพกระจายกันไปจนแถบจะไม่สามารถระบุตัวตนได้
แต่มีเพียงหนึ่งหลุมที่มีความโดดเด่นเป็นพิเศษ เนื่องจากพบศพเพียง 15 ศพเท่านั้น โดยหลุมดังกล่าวตั้งอยู่ที่ใจกลางป้อมปราการชั้นในของเมือง บริเวณบ้านขนาดใหญ่ที่พบข้าวของเครื่องใช้มากมาย ซึ่งอาจบอกเราได้ว่าร่างไร้วิญญาณในหลุมคือเจ้าของบ้าน และมีพวกเขาก็ฐานะร่ำรวย
ทีมนักวิทยาศาสตร์จากสถาบันฟิสิกส์และเทคโนโลยีแห่งมอสโก จึงนำเลือกกลุ่มตัวอย่างจำนวน 3 ร่าง มาทำการวิเคราะห์ทางพันธุกรรมเพื่อหาความเชื่อมโยง
ผลปรากฏว่าทั้ง 3 คนมีความเกี่ยวข้องกันทางสายเลือด เพราะลักษณะที่คล้ายคลึงกันของกะโหลกศีรษะ และร่างทั้งสามยังมีร่องรอยของ " Spina Bifida " หรือความบกพร่องของกระดูกไขสันหลัง ซึ่งเป็นการถ่ายทอดทางกรรมพันธุ์นั้นเอง
ร่างแรกคือคือผู้หญิงวัยกลางคน คาดว่าเป็นแม่ เธอมีอายุประมาณ 55 ปีตอนเสียชีวิต ร่างต่อมาคือลูกสาวอายุราวๆ 30-40 ปี และร่างสุดท้ายคือหลานชายที่มีอายุประมาณ 20 ปีเท่านั้น
นอกจากนี้พบหลักฐานความป่าเถื่อนในการปฏิบัติต่อศพที่ตายไปแล้ว จากร่องรอยของกะโหลกศรีษะ และกระดูกทั้งหมดมีการถูกเจาะ ทุบตี จนแตกหัก และมีบางส่วนถูกเผาไหม้เสียหาย
จากการวิเคราะห์เพิ่มเติมพบว่าศพทั้งหมดที่พบ ในอดีตอาจเคยถูกปล่อยทิ้งอยู่ท่ามกลางความหนาวเย็นในที่โล่งเป็นเวลานานหลายเดือน ก่อนจะถูกฝังลืมในท้ายที่สุด จากเหตุผลด้านสุขอนามัย
การบุกพิชิตของบาตูข่าน ถือเป็นโศกนาฏกรรมระดับชาติที่รุนแรงมากที่สุดครั้งหนึ่ง เหนือกว่าเหตุการณ์อื่นๆ ในเรื่องของความโหดร้ายทารุณ จึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่มันคือหนึ่งในเหตุการณ์ที่ชาวรัสเซียทุกคนรู้จัก เพราะถูกเล่าต่อกันมาในเรื่องเล่าพื้นบ้าน
ไม่ว่าจะยุคสมัยไหนก็ตาม หากเกิดสงครามก็ย่อมตามมาซึ่งความสูญเสียเสมอ มันจึงกลายเป็นภาพจำสุดแสนเจ็บปวด ที่ไม่อาจลืมเลือนได้ไปตลอดกาลของชาวรัสเซียจนถึงปัจจุบัน
เรียบเรียงโดย : สโมสรสมอง

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา