8 ก.ค. 2021 เวลา 02:09 • นิยาย เรื่องสั้น
4.30. อัจฉริยะที่โลกลืม (จบภาค 4)
โจซุน อัจฉริยะที่โลกลืม - เกียงกวง เกียงอุย พ่อลูกเหยื่อการเมือง
กลับสู่เหตุการณ์ภายหลังขบถสองนางพญาที่ดาวนางงาม เตียวเฟิง หรือนางเปียนสี หนึ่งในตัวการใหญ่ อาศัยกองทัพของโจเจียง หลบหนีออกจากเมืองหลวง และจับซัวบุ้นกีแม่ลูกเป็นตัวประกัน ย้อนเส้นทางหมายหวนคืนสู่ที่มั่นสำคัญ เมืองหับป๋าที่เตียวเลี้ยวตั้งกองทัพใหญ่หลายหมื่นประจำการณ์อยู่
นางโจรเตียวเฟิงย่อมคาดหวังในตัวเตียวเลี้ยว ซึ่งเป็นดาวนักรบ มืออันดับหนึ่งของพรรคฟ้าเหลือง ที่มีพร้อมสรรพทั้งกำลังฝีมือและกองทหาร ยิ่งถ้าหากนำเสนอตัวประกันสำคัญที่ควบคุมตัวมาด้วยแล้ว ความได้เปรียบในการขุดบ่อล่อปลา ย่อมเป็นไปได้สูง จึงต้องรีบเร่งกลับไปให้ทันเวลาเท่านั้น
ฝ่ายโจโฉที่กำลังนำกองทัพกลับจากเมืองเตียงอันสู่เมืองหลวง รับรู้กระแสการเมืองที่แปรเปลี่ยนด้วยผลงานสำคัญของม้าเท้งที่สวมรอยแอบอ้างเป็นตนเองมานานพอประมาณ แล้วยังตอกย้ำด้วยขบถสองนางพญา เหตุการณ์ที่ถูกแอบอ้างก่อกบฏด้วยฝีมือคนในตระกูล ทำให้ผู้คนบางกลุ่มอาจเริ่มคล้อยตาม แต่บางกลุ่มยิ่งต่อต้านรุนแรง
ภาพลักษณ์ของจอมทรราชย์บดบังบัลลังก์ราชันย์ถูกปรุงแต่งเสริมเติมด้วยฝีมือสร้างสรรค์ของบัณฑิตสายวิชาการ และเผยแพร่ไปตามชุมชนร้านค้าอย่างต่อเนื่อง จนไม่อาจลบล้างออกจากตัวตนได้ และมิอาจอธิบายความเป็นจริงว่า ตนเองถูกผู้อื่นสวมรอยอย่างสาหัสเช่นกัน
ดังนั้น โจโฉประเมินสถานการณ์แล้วเห็นว่า หากตนเองเข้าสู่เมืองหลวง คงต้องใช้เวลานานในการแก้ไขเรื่องราว จึงตัดสินใจเปลี่ยนเส้นทาง แยกกองทัพม้าเหล็กได้ราวสองหมื่น ล่วงหน้าติดตามลงมาทางใต้ พร้อมกับสุมาอี้ แฮหัวตุ้นและเคาทู เหลือเพียงซิหลงควบคุมกองทัพเข้าไปสมทบกับโจผีและกาเซี่ยง ดูแลสถานการณ์ไปพลางๆก่อน
จุดประสงค์ของความเร่งรีบนี้ ก็เพื่อมุ่งหวังจะสกัดพวกเตียวเสี้ยน โจเจียงก่อนจะรวมกำลังกับเตียวเลี้ยวได้ทัน เพราะยามนี้ โจโฉเองก็ไม่แน่ใจในท่าทีของเตียวเลี้ยว ขุนพลพยัคฆ์คนสำคัญของมันนั่นเอง หากปล่อยให้คนร้ายกลับไปรวมตัวกันได้ อาจจะทำให้เกิดศึกยืดเยื้อ และสร้างความลำบากต่อการช่วยเหลือตัวประกันคนสำคัญ มันมั่นใจว่ากองทัพสองหมื่นคนของมันจะรับมือพวกขบถจำนวนน้อยกลุ่มนี้ได้ไม่ยาก
นัับจากการตายของงักจิ้น หนึ่งในขุนพลห้าพยัคฆ์ในช่วงขบถขบวนการต้านทรราชย์ โจโฉตัวปลอมหรือม้าเท้ง จงใจไม่ให้ความสำคัญกับขุนพลผู้ลาจากมากนัก ทั้งๆที่เป็นนายทหารคนสำคัญระดับต้นๆของขุมกำลัง เพื่อเจตนาบั่นทอนขวัญกำลังใจคนฝ่ายรัฐบาล ทำให้กลุ่มทหารมืออาชีพที่ไม่เกี่ยวดองเป็นญาติกันกับสกุลโจสกุลแฮหัว รู้สึกขุ่นเคืองในใจอยู่บ้าง จนเป็นเรื่องซุบซิบนินทากันอยู่ตลอดช่วงเวลาที่ผ่านมา
ซิหลง เตียวคับ อิกิ๋ม ยังพอทำเนา หากแต่คนที่แสดงออกชัดแจ้งด้วยการปฏิเสธการรับคำสั่งเคลื่อนพลเข้าสู่เมืองหลวงจากส่วนกลาง ก็คือเตียวเลี้ยว พี่ใหญ่แห่งกลุ่มห้าพยัคฆ์ซึ่งคุมกำลังพลหลายหมื่นอยู่ที่ชายแดนเมืองหับป๋านั่นเอง แม้่ว่าจดหมายเรียกทัพจะมาจากอาลักษณ์ซุนฮิว และเป็นจดหมายปลอมที่ทำขึ้นตามความประสงค์แอบแฝงของนางเปียนสีก็ตาม แต่การกระทำขัดขืนคำสั่งทัพนั้น เป็นอาญาแผ่นดินที่ไม่อาจให้ขุนพลประจำชายแดนเลือกปฏิบัติได้ตามใจชอบ
เรื่องราวเช่นนี้ โจโฉย่อมรู้ดีอยู่แก่ใจตามประสานายทหารมากประสบการณ์ แต่เนื่องจากมันไม่อาจเปิดเผยเรื่องราวการสวมรอยปลอมตัวของม้าเท้งให้คนทั่วไปล่วงรู้ได้ มันจึงได้แต่ต้องยอมรับความผิดพลาดครั้งนั้นเอาไว้ทั้งหมด และค่อยหาทางชดใช้คืนให้ในภายหลัง เพียงแต่ตอนนี้ ต้องจัดการกับกลุ่มเศษเดนพรรคฟ้าเหลืองให้ได้ก่อน
ที่จริง กองทัพทั้งสองก็ตามกันทันแล้ว โดยที่โจโฉซึ่งมีจำนวนพลมากกว่าสองเท่าตัว สามารถสกัดทางเอาไว้ได้หลายครั้ง แต่เป็นโจเจียง นางเปียนสี ที่เหมือนพยายามประวิงเวลา ใช้ตัวประกัน ซัวบุ้นกี และ ตังชง บุตรชาย ข่มขู่ให้เปิดเส้นทาง จนโจโฉต้องยินยอมปล่อยไปก่อน ไม่อาจใช้กำลังบังคับได้ดั่งใจ
สุมาอี้จึงเสนอให้สร้างข่าวป้ายสี ให้กองทัพขบถ โจเจียง นางเปียนสี เปลี่ยนไปเป็นกองทัพโจรฟ้าเหลือง ลิเจียง ทายาทขบถลิโป้ กับ เตียวเฟิง ทายาทเตียวก๊ก ที่มีเป้าหมายคือ การจับตัวนักปราชญ์หญิงซัวบุ้นกี ทายาทซัวหยง อดีตผู้นำลัทธิจวงจื้อไปเป็นตัวประกัน ทำให้โจโฉมีความชอบธรรมมากขึ้นในการไล่ล่าติดตาม มิใช่เพื่อความแค้นเคืองส่วนตัว แต่เป็นเพื่อหญิงสาวคนดังที่เป็นทายาทขุนนางสำคัญของแผ่นดิน
การต่อสู้ด้วยกลไกข่าวสารจึงเกิดขึ้นระหว่างฝ่ายรัฐบาลที่นำโดยสุมาอี้ กับคนสายวิชาการซึ่งยังไม่อาจฟันธงว่าเป็นฝีมือของขุมกำลังใด แต่ต่างมุ่งมั่นปั้นแต่ง เพื่อดึงมวลชนให้สนับสนุน และสร้างความชอบธรรมให้กับฝ่ายของตนเอง ท่ามกลางสถานการณ์การเมืองที่ยังคุกรุ่น และสับสนวุ่นวายของเมืองหลวง
กลยุทธ์ข่าวสารพลิกผันแรงกดดันให้เบาบางลง ผนวกกับการใช้วิธีแสร้งจับแล้วปล่อย กล่าวคือ ไล่สกัดจนทัน กดดันเข่นฆ่าสักหลายชั่วยาม ค่อยผ่อนปรนเปิดทางให้ แล้วบีบวงล้อมกลับมาใหม่ บีบบังคับเส้นทางการเดินทัพ และลดทอนขวัญกำลังใจของฝ่ายที่หลบหนี จนกลายเป็นการเผชิญหน้าในลักษณะนี้อยู่หลายครั้ง
ทั้งโจโฉ เคาทู และแฮหัวตุ้น สุมาอี้ ต่างก็ผลัดกันออกหน้าขวางทาง เล่นสงครามประสาทกันกับกองทัพสองแม่ลูกไม่เว้นวัน ทำให้เหล่าทหารฝ่ายโจเจียงอ่อนแรง และตึงเครียดอยู่ตลอดเวลา บางส่วนก็หลบหนีทัพไปบ้างก็มี จนกองทัพจำนวนหลายพันคน เหลืออยู่เพียงไม่กี่ร้อยคนแล้ว
ที่จริง ไม่เพียงแต่ทำสงครามจิตวิทยากับสองแม่ลูก โจโฉ และสุมาอี้ยังต้องมองไปถึงเตียวเลี้ยวที่ดูแลเมืองหับป๋าพร้อมกับกองทัพร่วมสิบหมื่นด้วยอีกคนหนึ่ง ความสนิทสนมของเตียวเลี้ยวกับฝ่ายตรงข้าม ยังดูไม่ชัดเจน และคาดเดาไม่ถูกว่า เตียวเลี้ยวเลือกที่จะสนับสนุนฝ่ายใดกันแน่
การซื้อเวลาตรงนี้ จึงเป็นการพิสูจน์ใจของเตียวเลี้ยวว่าจะเลือกเป็นขบถไปด้วยกันหรือไม่ ซึ่งก็น่าประหลาดใจที่เตียวเลี้ยวกลับนิ่งสงบ ไม่แสดงท่าที หรือส่งสัญญาณใดๆออกมาเลย ทำให้ยากจะคาดเดาตัวแปรสำคัญในครั้งนี้
หากแต่แฮหัวตุ้น สมุหกลาโหมกลับมีความคิดเห็นแตกต่างกับพวกโจโฉ สุมาอี้อยู่บ้าง การรบแบบยืดเยื้อไม่ใช่วิสัยของนักรบที่เด็ดขาดห้าวหาญ และในใจยังมีวาระซ่อนเร้นอยู่ ตัวมันเป็นถึงสมุหกลาโหมแล้ว ไม่ควรต้องอยู่ใต้ร่มเงาคำสั่งของพี่ใหญ่จนขยับเขยื้อนตัวเองมิได้
ดังนั้น เปลือกนอก แฮหัวตุ้นดูเหมือนยังคงรับฟังคำสั่งของโจโฉ แต่ในที่สุด คืนวันหนึ่ง มันจึงลอบลงมือโดยพละการ พร้อมกับผู้ช่วยจำเป็นที่ส่งข่าวระดมมาเป็นการลับเฉพาะ เพื่อมิให้ข่าวความเคลื่อนไหวรั่วไหลแพร่งพรายในกองทัพ เป็นแฮหัวป๋า โจจิ๋น โจฮิว สามเทพบุตรรุ่นใหม่ที่ปกติประจำการอยู่ที่ปราสาทนกยูงทองแดง
พวกแฮหัวตุ้นนับเป็นยอดฝีมือได้ระดับหนึ่งทั้งสิ้น ดังนั้น การลอบแทรกซึมเข้าไปในกองทัพน้อยของพวกโจรไม่ใช่เรื่องยากเย็นกระไรนัก อีกทั้ง แฮหัวตุ้นก็มีการตระเตรียมวางแผนมาอย่างดี ถึงกับจับเชลยศึกมาเค้นถามจนรู้ถึงตำแหน่งที่ควบคุมกักขังตัวประกันเอาไว้ เป็นกระโจมใหญ่ใช้หนังสัตว์ผืนหนาห่อหุ้มใกล้กับกระโจมแม่ทัพนั่นเอง
นักรบทั้งสี่ในชุดดำพรางกายคลุมหน้าบุกเข้าไปถึงกระโจมเป้าหมาย โจจิ๋น โจฮิวใช้กระบี่สังหารยามรักษาการด้านหน้า และเฝ้าระวังทางเข้าเอาไว้ เปิดทางให้แฮหัวตุ้นอาหลาน เข้าไปช่วยเหลือนางซัวบุ้นกีกับเด็กน้อยตังชง
ภายในกระโจมทรงกลมถูกแบ่งกั้นเป็นสองวง วงนอกจัดวางยามรักษาการณ์ วงในเป็นกรงขังนักโทษจริงๆตามข้อมูลที่ได้รับ แต่กลับพบเห็นเป็นหนุ่มใหญ่รูปร่างคุ้นตานอนราบอยู่กับพื้นหญ้าด้านใน เนื้อตัวเสื้อผ้ามอมแมมเปรอะเปื้อนด้วยเลือดสดเป็นหย่อมๆ คล้ายผ่านการลงทัณฑ์หนักหน่วงมาบ้าง
“เป็นท่านอาโจซุนนี่” แฮหัวป๋าเอ่ยปากทัก ในขณะที่แฮหัวตุ้นตกใจที่ผิดแผนการ แต่รีบปรับเปลี่ยนตามสถานการณ์ นั่นคือ ช่วยคนออกไปให้ได้ก่อน
โจซุน น้องเล็กแห่งสกุลโจ อัจฉริยะผู้อาภัพ ถูกโจรร้ายเตียวคีทำร้ายอย่างสาหัสจนพิกลพิการไปเมื่อสิบกว่าปีที่แล้ว จนภายหลัง ได้รับการรักษาตัวจากหมอฮัวโต๋ที่กระท่อมรังนก โดยใช้ชื่อแฝงว่า เทียนสือ (ฟ้าประทาน) อยู่หลายปี จนอาการดีขึ้น และล่าสุด ได้ถูกจัดให้ไปพักอยู่ที่ปราสาทนกยูง โดยให้หมอหลวงผลัดเปลี่ยนเข้ามาดูแล
พอเกิดเรื่องวุ่นวายที่ปราสาท ผู้คนอื่นล้วนลืมเลือนบุคคลผู้นี้กันไป แต่นางเปียนสีกลับจดจำได้อยู่ จึงให้คนมารับตัวไปพร้อมกันกับนางซัวบุ้นกีสองแม่ลูก เพราะเชื่อมั่นว่า โจซุนก็เป็นอีกหนึ่งตัวประกันที่มีค่าสำหรับโจโฉเช่นกัน และเท่าที่ผ่านมาตลอดเส้นทางหลบหนี นางก็ยังไม่ได้ใช้ไม้ตายชิ้นนี้ออกมา เพราะยังไม่ถึงเวลาที่ต้องใช้ยาขนานแรงเช่นนี้ กดดันต่อพวกโจโฉ
เสียงเอะอะของกลุ่มทหารยามดังขึ้นภายนอกกระโจม ภายนอกคงพบเห็นสิ่งผิดปกติ ทำให้ทหารกลุ่มใหญ่กำลังรีบเร่งมาทางนี้แล้ว ทั้งหมดจึงรีบพังประตูลูกกรงช่วยกันประคองโจซุนออกมา อย่างน้อยก็มิได้มาเสียเที่ยวเปล่า พอออกมาถึงด้านหน้ากระโจม ก็ตกอยู่ในวงล้อมจริงๆ เกาทัณฑ์ร่วมร้อยคันเล็งตรงมายังพวกมันแล้ว
ลิเจียงหรือโจเจียงในชุดขุนพลนักรบ ก้าวออกมาสั่งการ “วางอาวุธและยอมให้จับเสียโดยดีเถิด เราจะเห็นแก่มิตรภาพเก่าก่อนไว้ชีวิตพวกเจ้าชั่วคราว”
ที่จริงแล้ว คนสกุลโจกับสกุลแฮหัวล้วนมาจากเครือเถาเดียวกัน บุตรหลานรุ่นสองต่างได้รับการฝึกฝนถ่ายทอดยุทธ์จากผู้อาวุโสภายในตระกูล โจเจียงย่อมเคยได้รับการสั่งสอนจากแฮหัวตุ้น ยอดฝีมืออันดับหนึ่งมาไม่น้อย คำว่า มิตรภาพ อาจมิเพียงเป็นแค่อาหลาน หากแต่ควรรวมถึงการเป็นศิษย์อาจารย์ด้วยซ้ำ
แฮหัวตุ้นขวางดาบใหญ่มาข้างหน้า ทำใบหน้าถมึงทึง พร้อมตวาดกลับ “ไอ้ลูกโจรชั่ว เสียแรงที่พวกเราเลี้ยงดูสั่งสอนเจ้ามาตั้งแต่เล็ก บัดนี้ ถึงกับทำร้ายผู้อาวุโส และก่อการฉ้อฉล สมควรแต่จะถูกสังหารตายในดาบเดียว เราขอท้าดวลกับเจ้าสักครา ถ้าเจ้าแน่จริง ลิเจียง ทายาทลิโป้ ขุนพลไร้น้ำใจที่โด่งดัง”
แฮหัวตุ้นเน้นคำ “ลิเจียง” หวังกระตุ้นโทสะให้ฝ่ายตรงข้ามยอมมาดวลเดี่ยว ซึ่งเป็นโอกาสเดียวที่พวกมันจะหลุดรอดไปจากสถานการณ์ตรงหน้าได้ ลิเจียงขยับตัวหยิบอาวุธขึ้นมา หากแต่เสียงตวาดสดใสดังห้ามมาแต่ไกล
“ช้าก่อน อย่าได้หลงกลเจ้าตาเดียว” นางเปียนสี หรือ เตียวเฟิง ในชุดนักสู้รัดกุม ก้าวตามออกมาจากทางด้านหลัง “ให้คนเข้าไปจับกุมตัวไว้ พวกเราไม่จำเป็นต้องไปแลกชีวิตกับพวกมันดอก”
พวกแฮหัวตุ้นร่ำร้องย่ำแย่ในใจ เสียดายที่นางโจรมาขัดขวางได้ทัน แต่แล้ว เสียงกู่ร้องดังขึ้นจากระยะไกลไล่เข้ามาพร้อมเสียงฝีเท้าม้าอึกทึก สังเกตจากความเร็วของเสียง สมควรจะเป็นกองทัพม้าเหล็กมาช่วยแล้ว
เห็นร่างท้วมใหญ่ของเคาทูวิ่งนำหน้าเข้ามาก่อนผู้อื่น ไล่สังหารทหารฝ่ายลิเจียงที่อยู่ตรงหน้าจนแตกกระเจิง เปิดเป็นเส้นทางสายโลหิตตรงเข้ามาอย่างรวดเร็ว ตอกย้ำด้วยกองทัพม้าเหล็กที่บดขยี้ผู้คนเป็นวงกว้าง ไม่รอคอยให้เกิดการต่อรองตัวประกันดั่งที่ผ่านมา ทำให้กองทัพฝ่ายลิเจียงแตกตื่นชิงหลบหนีกันอย่างชุลมุนวุ่นวาย
ลิเจียงเห็นไม่ได้ที จึงรีบพาตัวมารดาขึ้นม้าหลบหนีในทันที พร้อมสั่งการตามแผนหลบหนีฉุกเฉินที่นัดแนะกันเอาไว้ กลุ่มองครักษ์แยกย้ายกันควบคุมบุคคลสำคัญ และตัวประกันที่มีให้หลบหนีตามเจ้านายใหญ่ตามที่ซักซ้อมกันไว้ พวกแฮหัวตุ้นเห็นท่าไม่ดี จึงชิงหลบเข้าไปในกระโจมนักโทษก่อน
ภายนอก หลงเหลือเพียงนายทหารรองที่ควบคุมกองพลเกาทัณฑ์อยู่ มือไม้สั่นเทา พลันพบเห็นว่า หัวหน้าชิงหนีเอาตัวรอด และผู้บุกรุกกลับเข้าสู่กระโจมนักโทษไปแล้ว จึงได้แต่ตวัดมือส่งสัญญาณให้ยิงเกาทัณฑ์ได้ ห่าเกาทัณฑ์จำนวนมหาศาลพุ่งตรงไปยังด้านหน้ากระโจมนักโทษอย่างกระทันหัน หมายสังหารทุกคนที่อยู่ด้านใน
ทันใดนั้น เสาหลักค้ำกลางกระโจมคล้ายถูกพังทลายเป็นสองท่อน ปล่อยให้แผ่นหนังสัตว์ผืนหนาที่ถูกขึงตรึงไว้ร่วงหล่นปกคลุมพื้นที่ที่เป็นกรงขังพร้อมแรงลมต้านจนโป่งพองชั่ววูบหนึ่ง คล้ายเป็นถุงลูกหนังใบใหญ่ แต่ก็เพียงพอที่จะต้านแรงเกาทัณฑ์ทั้งหลายได้ทันเวลาพอดี ซ้ำบางส่วนยังปะทะซึ่ลูกกรงนักโทษไปอีก เหลือที่หลุดรอดมาถูกร่างกายผู้คนเพียงไม่กี่ดอกแล้ว
เหตุการณ์ภายในที่เกิดขึ้น ก็คือ แฮหัวตุ้นสั่งการให้ทุกคนหลบเข้าไปยังกรงขังนักโทษ แล้วมันอาศัยดาบใหญ่ในมือ ฟันเสาค้ำกระโจมแกนกลางหักโค่น เพื่อป้องกันลูกเกาทัณฑ์จำนวนมากมายเอาไว้ได้ทันเวลา นับว่า ยังตัดสินใจได้ทันเวลา
หากแต่เมื่อแฮหัวตุ้นกวาดตามองดูโดยรอบ กลับพบเห็นว่า มีเพียงโจซุนที่พิกลพิการนอนแน่นิ่งอยู่กับพื้นดินพร้อมลูกเกาทัณฑ์ปักคาอก ถึงกับยอมใช้ร่างกายตนเอง บดบังลูกเกาทัณฑ์ที่เล็ดรอดเข้ามา เป้าหมายของอาวุธสังหารสมควรที่จะเป็นหนุ่มน้อยโจฮิวที่ยังตัวสั่นเทาในอ้อมกอดผู้เป็นอา แสดงว่า โจซุนได้ยอมเสียสละชีวิตช่วยมันไว้นั่นเอง
ภายนอกที่ขาดไร้หัวหน้า กองทัพโจรแตกกระเจิงโดยง่าย โจโฉ สุมาอี้ เคาทู รีบเข้ามาในกระโจม ตามหาผู้ที่รอดชีวิต เสียงร้องเรียกดังขึ้น ทำให้โจซุนปลุกพลังชีวิตของตนเองอีกครั้ง ร่ำร้องหาพี่ใหญ่เพื่อสั่งเสียครั้งสุดท้าย “ข้าพิการไร้อนาคตแล้ว จึงเลือกที่จะต่อชีวิตให้กับคนหนุ่มเยาว์วัยอย่างลูกฮิว อีกอย่าง โจรร้ายเตียวคียังแฝงตัวปะปนอยู่ในกองทัพพวกเรา วันนั้น เสียงหัวเราะ...”
ไม่ทันจะกล่าวจบ โจซุนก็ขาดใจตายไปเสียแล้ว สร้างความเศร้าโศกเสียใจให้กับโจโฉยิ่งนัก จนถึงกับตะเพิดไล่แฮหัวตุ้นกับพวกไปให้พ้นหน้า หากพวกมันไม่ก่อการอุกอาจพละการ โจซุนคงไม่ต้องมาตายอย่างน่าอนาถเช่นนี้
อีกฟากฝั่งหนึ่งของแผ่นดิน ท่ามกลางทุ่งหญ้าหิมะ ชายเมืองเสเหลียง ใกล้กับเผ่าเกี๋ยง องครักษ์หญิงที่หลงรอดจากศึกเสฉวนเพียงหนึ่งเดียว นาม สือไป๋ ฉายา กระบี่คู่ในแขนเสื้อ กำลังฝ่าพายุหิมะ เดินทางกลับสู่บ้านเกิด เพื่อตั้งต้นชีวิตใหม่
ภาระหน้าที่ที่เจ้านายของมันฝากฝังไว้ก่อนตาย มันก็จัดการให้เสร็จสิ้นเรียบร้อยแล้ว ถือว่า บุญคุณที่เคยช่วยชีวิตไว้ในอดีต ก็ได้จบสิ้นกัน นางจึงถอดหน้ากากหนังมนุษย์ทิ้ง กลับคืนสู่ใบหน้าที่แท้จริงอันงดงามตามวัย หวังลืมเลือนความหลังอันวุ่นวาย
เมื่อเดินโผล่พ้นแนวทุ่งหญ้า ปรากฏขบวนรถสินค้าจอดนิ่งอยู่เบื้องหน้า มีร่องรอยคนตายมากมาย กระจายไปทั่วบริเวณ เห็นทีจะถูกโจรร้ายปล้นชิงทรัพย์เป็นแน่ สือไป๋ องครักษ์หญิงไม่อยากยุ่งเกี่ยงความวุ่นวายอีก จึงคิดจะเดินเลี่ยงไปอย่างสงบ
แต่แล้ว กลับปรากฏร่างของเด็กน้อยสิบเอ็ดสิบสองขวบในชุดคุณชายสูงศักดิ์ ค่อยๆคลานออกมาจากใต้ท้องรถ ใบหน้ามีเค้าผ่านการร่ำไห้ คงเห็นภาพสะเทือนใจจากการเข่นฆ่ากับตา แต่ขวัญยังกล้าแข็ง จึงควบคุมสติไว้ได้
เสียงฝีเท้าม้าดังขึ้นมาอย่างเร่งรีบ แทนที่จะเป็นโจรร้ายย้อนกลับมาตามที่คาด กลับกลายเป็นทหารองครักษ์สังกัดราชวงศ์ฮั่นสองคน ชักชวนกันกลับมาหยิบฉวยสิ่งของเพิ่มเติม พอเห็นเด็กน้อยหลงรอด จึงลงจากหลังม้า หวังจะฆ่าปิดปาก แต่สือไป๋อดใจไว้ไม่ได้ จึงเข้าขัดขวาง และสังหารทหารโจรทั้งสองในกระบี่เดียว
องครักษ์หญิงเก็บกระบี่ ล้วงอาหารแห้งหยิบยื่นให้เหยื่อผู้เคราะห์ร้าย แต่เด็กน้อยไม่ยอมรับ กลับคุกเข่าขอร้องให้ช่วยฝึกวิชาให้เพื่อไปล้างแค้น แสดงถึงความคิดที่อาจหาญกล้าแกร่งตั้งแต่วัยเยาว์
พอสอบถาม จึงได้ความว่า คนร้ายเป็นทหารในสังกัดสุมาอี้ที่ไล่ล่าสังหารครอบครัวของตนโดยเฉพาะ เนื่องจากมีปัญหาขัดแย้งเรื่องผลประโยชน์ต่อกัน จนบิดาที่เป็นหนึ่งในสองเจ้าสัวใหญ่ในสังกัดสหพันธ์หมาป่าเงิน ฉวยจังหวะที่เกิดขบถสองนางพญา นำพวกตนอพยพหลบหนีไปนอกด่าน แต่ศัตรูตามมาทัน และสังหารจนหมดทั้งตระกูล
เรื่องนี้มีความซับซ้อนอยู่บ้าง หากแต่เด็กน้อยรับทราบเรื่องราวจากบิดาเพียงผิวเผิน ซึ่งที่จริง กลับเป็นเจ้าสัวเกียงกวง พบเห็นพฤติกรรมทุจริตของเจ้าสัวจงฮิว แต่ไม่กล้าแจ้งต่อสุมาอี้ หัวหน้าใหญ่ จึงคิดเพียงแต่จะถอนตัวจากสหพันธ์ ไม่ขอยุ่งเกี่ยวกันอีก
หากแต่คนร้ายย่อมหวาดระแวงใจ จงฮิวกลัวถูกสหายเก่าแก่เปิดโปงความผิด จึงโยนความผิดให้เจ้าสัวเกียง และเป่าหูให้สุมาอี้ ผู้เป็นเจ้านาย สั่งการให้ส่งคนไปกำจัดให้สิ้นซากนั่นเอง หนี้แค้นนี้สมควรเป็นของเจ้าสัวจง มิใช่ สุมาอี้ เจ้านายใหญ่แต่อย่างใด
องครักษ์หญิงสือไป๋ย้อนรำลึกเรื่องราวเบื้องหลัง สิบปีกว่าก่อนตัวเองก็ตกอยู่ในสภาพคล้ายคลึงกัน ถูกศัตรูจากเมืองหลวงไล่ล่าสังหารไม่ลดละ หวังล้างตระกูลให้หมดสิ้น จนตนเองแทบเอาชีวิตไม่รอดตั้งหลายครั้ง ผู้คนรอบข้างล้วนได้รับผลกระทบ ทำให้พลอยต้องลำบากไปด้วยไม่หยุดยั้งเช่นเดียวกัน
ครั้งนั้น ตนเองยังมีอาจารย์และศิษย์น้องอีกสามคนคอยช่วยเหลือ จึงพอซื้อเวลาได้บ้าง และหากมิใช่เตียวล่อนำองครักษ์ผ่านทางมาพบเห็น พวกตนทั้งสี่ก็เป็นปีศาจกลางทุ่งหิมะตามอาจารย์ไปแล้ว พวกตนจึงยอมอาสาเป็นองครักษ์ไปจนกว่าเตียวล่อจะหมดสิ้นบุญ เป็นการตอบแทนพระคุณ
ปัญหาเรื่องศัตรูของนางก็คลี่คลายไปได้เนิ่นนานแล้ว เพราะสุดท้าย ศัตรูของท่านพ่อก็ถูกสังหารไปในเมืองหลวงเช่นเดียวกันกับท่านพ่อตามวังวนทางการเมือง และที่สำคัญก็คือ นางมิได้มีความคิดจะล้างแค้นกลับคืน เพราะความผิดพลาดของท่านพ่อมีมากมายเหลือคณานับ ยังดีที่เตียวล่อก็มิได้ล่วงรู้ชาติกำเนิดที่แท้จริงของนาง เพียงเรียกหาในนาม “สือไป๋” ละทิ้งแซ่เดิมที่เป็นปัญหาออกไป
ที่จริง บิดาของนางคือ จอมทรราชย์แห่งแผ่นดิน นาม ตั๋งโต๊ะ อดีตนายพลคนดังแห่งเมืองเสเหลียง จึงมีสัมพันธ์สวาทกับลูกสาวของชนชั้นผู้นำชนเผ่าเกี๋ยง จนเกิดเป็น “ตั๋งไป๋” ซึ่งก็คือ ตัวนางนี่เอง ที่คลอดออกมา
หลังจากที่ท่านพ่อเคลื่อนทัพเข้ายึดเมืองหลวงเพียงไม่กี่เดือน ซึ่งญาติอาวุโสทางฝ่ายมารดารังเกียจชิงชัง ทำให้มารดาต้องย้ายมาพักอาศัยอยู่กับสหายเก่าในวัยเยาว์ที่เป็นเจ้าสำนักวิทยายุทธ์ในเมืองเสเหลียงแทน
มารดานางเพ้อฝันอย่างมีความหวังว่า สักวัน ท่านพ่อจะกลับมารับไปอยู่ที่เมืองหลวงด้วยกัน จนป่วยตายไปในที่สุด ทิ้งให้นางอยู่กับสหายเก่าที่เป็นจอมยุทธ์ชาวเกี๋ยง ช่วยรับดูแล และถ่ายทอดวิทยายุทธ์ให้ในฐานะศิษย์พี่ใหญ่
เมื่อหลายปีผ่านไป ศัตรูฝ่ายตรงข้ามสังหารท่านพ่อ แล้วออกประกาศให้กวาดล้างญาติมิตรในเมืองเสเหลียงไปด้วย ทำให้อาจารย์ตัดสินใจนำพาศิษย์ทั้งสี่ หลบหนีออกจากสำนัก ผ่านการต่อสู้หลายครั้ง และสุดท้าย อาจารย์จึงต้องสละชีพ ปล่อยให้ลูกศิษย์ต้องเผชิญชะตากรรมกันเองต่อไป
เพียงแค่ครั้งนี้ มันรู้สึกถูกชะตากับเด็กน้อยที่มีชะตาชีวิตคล้ายคลึงกับตนเอง จึงตกลงใจรับเกียงอุยไว้เป็นลูกศิษย์ และตั้งใจจะพาไปพำนักที่สำนักเดิมของอาจารย์ รอยต่อพื้นที่ระหว่างเมืองเสเหลียงกับเผ่าเกี๋ยง เพื่อฟื้นฟูสำนัก และถ่ายทอดวิทยายุทธ์ให้แพร่หลาย
เกียงอุย ทายาทเจ้าสัวเกียงแห่งสหพันธ์การค้าเทียมเจ้าสัว เด็กน้อยที่อาจหาญอาฆาตแค้นต่อสุมาอี้ กุนซือผู้เลื่องชื่อ และจงฮิว เจ้าสัวใหญ่แห่งสหพันธ์หมาป่าเงิน ในภายภาคหน้า เขาจะกลายเป็นคู่ปรับคนสำคัญของวุยก๊ก และพวกตระกูลสุมารุ่นถัดไป

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา