21 มิ.ย. 2021 เวลา 10:37 • นิยาย เรื่องสั้น
พบกันอีกครั้งในช่วงใกล้สิ้นเดือน อดใจอีกหน่อย อีก9วันเท่านั้นครับ
วันนี้กลับเข้ามาเขียนถึงตำนานฮินดูแบบล้วนๆอีกครั้งบ้าง ในวันนี้ที่ผมจะกล่าวถึงคือเรื่องที่หลายๆท่านอาจเคยอ่านเคยฟังแล้ว แต่อาจมีบางท่านไม่เคยอ่าน ไม่เคยฟัง วันนี้ผมจะนำมาเขียนให้ได้อ่านกันครับ
ยามที่โลกมีภัย พระวิษณุ ผู้มีหน้าที่ปกป้องดูแลรักษาโลกจะทรงลงมาปราบภัยคุกคามเหล่านั้น
แต่ภัยคุกคามเหล่านั้น ก็ไม่ใช่พวกคนธรรมดา บางคนเก่งกาจดั่งเหล่าเทพ
ยิ่งในยุคปัจจุบันได้เข้าสู่ "กลียุค" แล้วตามความเชื่อของศาสนาพราหมณ์ ฮินดู ยุคสุดท้ายก่อนล้างโลก เมื่อถึงจุดต่ำสุดของมนุษย์แล้ว พระวิษณุหรือพระนารายณ์จะทรงลงมาดับไฟแก่งทุกเข็ญเหล่านั้นจนวอดวายไปหมด
ก่อนจะไปถึงตอนนั้น เรามาทำความเข้าใจกันก่อนครับ
หลายๆท่านคงรู้จักว่าพระวิษณุ หรือ พระนารายณ์ เป็น1ใน3เทพสูงสุด หรือตรีมูรติ(ไม่ใช่หน้าเซ็นทรัลเวิลด์) โดยมีพระพรหม เป็นเทพผู้สร้าง พระศิวะ เป็นเทพผู้ทำลาย และพระนารายณ์เป็นเทพแห่งการปกปักษ์รักษาโลก
แล้วเรื่องก็มีกจะมาเกี่ยวกับสามท่านนี้ตลอด
ไอ้พวกอสูร มันมักจะบำเพ็ญตบะ จนพระพรหมและพระศิวะพึงพอใจ ให้พรพวกมันไป แล้วมันก็เอาไปใช้ในทางที่ผิด ส่งผลให้สามภพเดือดร้อนทุกหย่อมหญ้า บางคนถึงกับเอาพระแม่ธรณีไปไว้ใต้น้ำก็มี
ก็เป็นหน้าที่ของพระนารายณ์ที่จะต้องอวตารแบ่งภาคลงไปเกิด เพื่อปราบภัยคุกคามเหล่านั้น
(อิงจากตำนานอินเดียนะครับ จะต่างจากจิตรกรรมฝาผนังไทยมาก)
ถ้าเรียงตามยุคแล้ว จะแบ่งได้ดังนี้ครับ
สัตยยุค ยุคแรกเริ่มที่มนุษย์มีแต่คุณธรรม
อวตารปางแรกได้ถือกำเนิดขึ้น
"หัยครีวาวาตาร"
"हयग्रीव अवतार"
ซึ่งอวตารปางแรกจากที่ผมฟัง มันมีถึงสามแบบเลยแหละครับ แต่ผมจะยกอันที่ผมชอบที่สุดมาพูดก่อนละกัน
หลังจากพระพรหมสร้างโลกได้ไม่นาน ก็มีเศษอะไรบางอย่างหลุดออกมาจากหูของพระนารายณ์แล้วก็กำเนิดเป็นสองอสูรนามว่า "มธุ" และ "ไกฏภะ" ซึ่งมัน2ตัวมีอิทธิฤทธิ์เกือบเทียบได้กับพระนารายณ์ มันจึงจัดการกระทืบพระพรหมแลปล้นคัมภีร์พระเวท แล้วหนีไปยังเมืองบาดาล
พระนารายณ์ จึงได้อวตารเป็น หัยครีพ บุรุษหัวม้าลงไปปราบ ซึ่งก็ใช้เวลาต่อสู้อยู่นานมาก เมื่อล้มมันทั้งสองลงได้แล้ว หัยครีพ ก็ได้นำพระเวทกลับไปคืนแด่พระพรหมในที่สุด ซึ่งตรงนี้ เป็นตำนานที่ชาวอินเดียส่วนใหญ่เชื่อถือกันครับ
พระศรีหัยครีพถวายพระเวทคืนแด่พระพรหม
แต่มีอีกตำนานหนึ่งเล่าว่า
กาลหนึ่ง มีอสูรหัวม้าที่ดุร้าย นามว่าหัยครีพ มันได้รับพรวิเศษจากพระแม่ทุรคาว่าใครที่จะสังหารมันได้ต้องชื่อเหมือนมันเท่านั้น มันเหิมเกริมอาละวาดไปทั้งสามโลก จนเหล่าเทพต้องไปปลุก พระวิษณุให้ตื่นบรรทมขึ้น แต่ปลุกเท่าไรท่านก็ไม่ตื่น ยังคงพิงธนูหลับอยู่แบบนั้น จึงมีใครคนหนึ่งคิดว่าเดี๋ยวต้องหาทางตัดสายธนูให้ขาดท่านจะได้รู้สึกตัว แต่ด้วยความที่สายธนูมันตึงเกินไป พอตัดเท่านั้นแหละ แรงตวัดสายธนู ตัดเศียรพระวิษณุขาด พระพรหมจึงนำหัวม้ามาต่อให้ ท่านจึงได้นามใหม่ว่า หัยครีพ เหมือนกับ หัยครีพ
หัยครีพจึงบุกลงไปต่อสู้กับหัยครีพ หัยครีพที่เห็นหัยครีพเหมือนกับตนลงมาก็ตกใจ คิดว่าถ้าวันนี้เราเอาชนะมันไม่ได้เราก็คงรอดไปไม่ได้เหมือนกัน หัยครีพจึงได้สู้กับหัยครีพอย่างเอาเป็นเอาตาย และในที่สุดหัยครีพก็ถูกหัยครีพฆ่าตาย
หัยครีพได้ชิงพระเวทมาจากหัยครีพ และนำไปคืนพระพรหมได้สำเร็จ ต่อมาหัยครีพ ก็ได้กลับคืนเป็นพระวิษณุดังเดิม
(ไม่งงนะ)
ส่วนแบบที่สาม
พระวิษณุอวตารลงมาเป็นปลาใหญ่และเข้าช่วยมนุษย์ไว้หลังจากน้ำท่วมโลกครั้งใหญ่ ซึ่งก่อนหน้านั้นเอง หัยครีพได้ขโมยพระเวทจากพระพรหมมาได้แล้วหนีลงไปเมืองบาดาล เมื่อน้ำลดแล้ว ปลาใหญ่นั้นจึงได้ลงไปต่อสู้กับหัยครีพเพื่อชิงพระเวทกลับไปคืนพระพรหมได้สำเร็จ
มีชื่อเรียกว่า มัสยาวตาร
อวตารแบบที่สามได้รับการกล่าวถึงในไทย และเป็นที่นิยมนับว่าเป็นปางแรกของไทยในบรรดาทั้งสิบปางนี้ ส่วนเรื่องราวในไทยก็กล่าวไม่ต่างกัน เพียงแต่หัยครีพไม่ได้มาเป็นแก้วหน้าม้า แต่เป็น ปีศาจหอยสังข์นามว่า "สังข์อสูร"
พระวิษณุปราบหัยครีพ
อวตารปางที่2
"กูรมาวตาร "
" कूर्म अवतार"
ขณะนั้น พระอินทร์เทวราช ได้ทรงช้างเอราวัณ(บ้างก็ว่าช้างทั่วๆไป)มาพบเจอกับฤๅษีทุรวาส(เจ้าแห่งการสาป) ฤๅษีทุรวาสได้ถวายพวงมาลัยให้พระอินทร์ โดยส่งให้ช้างยกขึ้นไปถวาย แต่กลิ่นมันคงแรง ช้างก็รำคาญขว้างพวงมาลัยลงพื้น กระทืบซ้ำแล้วเผ่นแนบ
ฤๅษีให้แสนโกรธายิ่งนักจึงสาปว่า
"ท่านช่างไร้เกียรติยิ่งนักเทวราชอินทรา ที่ทำเยี่ยงนี้กับข้า ข้าจะขอสาปพวกท่าน เหล่าเทพทั้งหมด จะไร้ซึ่งพลัง ไม่อาจต่อสู้กับเหล่าอสูรได้อีกต่อไป"
ฤๅษีทุรวาส สาปพระอินทร์ให้รบแพ้อสูร
และก็เป็นดังว่าจริงๆ
พวก อสูร ไทตยะ ทานพ ไททัน(มีด้วยเหรอ?) ได้โอกาสนี้ ก็บุกโจมตีสวรรค์และได้ชัยชนะทุกครั้ง เหล่าเทพสู้ไม่ได้เลยต้องหนีตายกันทุกรอบ พระอินทร์ๆด้ไปขอความช่วยเหลือจากพระนารายณ์ ท่านจึงบอกว่าจะอวตารไปเป็น เต่ายักษ์เมื่อถึงเวลา
ต่อมาเหล่าเทพได้จัดพิธีกวนเกษียรสมุทร ทะเลน้ำนมที่ประทับของพระนารายณ์ เพื่อจะเอาน้ำอมฤตมาแบ่งกับอสูรเพื่อสงบศึก โดยใข้ภูเขามัทระเป็นไม้กวน เอานาคราชวาสุกรีพันรอบภูเขา เทวดาดึงหาง อสูรดึงหัว แต่ยิ่งดึงผ่านไปหลายโกฏิปี ก็ไม่มีวี่แววว่าน้ำอมฤตจะโผล่ขึ้นมาเลย ยิ่งเขามัทระ ก็เจาะลงใต้ทะเลลึกลงไปเรื่อยๆ เกรงจะทำให้ธรรมชาติเสียสมดุล พระวิษณุจึงได้เวลาอวตารเป็นเต่ายักษ์เอากระดองหนุนเขามัทระไว้ไม่ให้จมลงไป และสุดท้าย ก็ปรากฏของ ธันวันตรี เทพแห่งการแพทย์ขึ้นมา ธันวันตรีได้ทูนน้ำอมฤตขึ้นมา พร้อมกับ ม้าอุไฉศรพณ์ ช้างเอราวัณ พระจันทร์ พระอาทิตย์ พระแม่ลักษมี
หลังจากนั้นก็เกิดการแย่งชิงน้ำอมฤตกันเป็นวรรคเป็นเวร จนพระนารายณ์ต้องอวตารมาเป็นโมหิณี และให้เทวดาบางส่วนแปลงร่างเป็นนางฟ้ามาหลอกล่อพวกอสูร ทำให้เทวดาได้อื่มน้ำอมฤตสำเร็จ พร้อมกับได้รับบัฟ ที่จะทำให้ไม่ตายจากการต่อสู้กับอสูร
การกวนเกษียรสมุทร
ปางที่3
"วราหาวตาร "
"वराह अवतार"
วันหนึ่ง ฤๅษีสี่กุมาร อวตารของพระนารายณ์ได้มาเข้าเฝ้าพระนารายณ์ แต่พอดีว่า ชัย และ วิชัย ทวารบาลผู้เฝ้า วิมานไวกูณฐ์ ไม่อนุญาตให้เข้า และก็ได้เกิดการกระทบกระทั่งกันขึ้น ถึงขั้นที่ชัยและวิชัยทำร้ายฤๅษี พวกเขาโมโหมากจึงสาปว่าจะต้องไปเกิดเป็นอสูร สองพี่น้องก็หน้าซีด ได้ไปอ้อนวอนขอพระนารายณ์ให้ช่วย พระนารายณ์บอกว่าคำสาปแก้ไม่ได้ แต่ทำให้เบาลงได้ โดยพวกเขาจะต้องไปเกิดเป็นอสูร 3ชาติ แล้วตนจะอวตารตามไปฆ่าทั้งสามชาติจนพ้นคำสาป ชัยและวิชัยก็ได้แต่คอตกก้มหน้ารับกรรม รอเวลาที่จะได้กลับมาทำหน้าที่อีกครั้ง
ชัยและวิชัย มีปัญหากับฤๅษีสี่กุมาร
ชัยและวิชัยตกลง จึงร่วงลงจากวิมานไวกูณฐ์ ชัยไปเกิดเป็น หิรัณยักษะ และ วิชัย ไปเกิดเป็น หิรัณยกศิปุ อสูรเผ่าไททัน เอ๊ย ไทตยะ(แทตย์) บุตรแห่งนาง ทิติ ทั้งสองไปบำเพ็ญตบะบูชาพระพรหมจนหิรัญยักษะได้รับพร ให้ไม่มีสิ่งใดฆ่ามันได้ ไม่นาน หิรัณยักษะก็ออกอาละวาด มันได้ม้วนเอาแผ่นดินหรือพระแม่ธรณีหนีบไว้ในซอกรักแร้ แล้วลงไปเมืองบาดาล ด้วยพรของหิรัณยักษะทำให้พระวิษณุต้องอวตารไปเกิดเป็น เทพหมูป่า เขี้ยวเพชร ไล่กวดไทตยะวายร้ายลงไปถึงเมืองบาดาล แต่กว่าจะฆ่าหิรัณยักษะได้สำเร็จไม่ใช่ง่ายๆ เล่นเอาเสียเวลาไปเป็นพันปี สุดท้ายแล้วหิรัณยักษะก็ถูกฆ่าตาย วราหะชิงตัวพระแม่ธรณีกลับคืนมาได้ วราหะได้ใช้เขี้ยวเพชระดันแผ่นดินให้โผล่พ้นน้ำ แผ่นดินจึงกลับมาอยู่บนผืนน้ำอีกครั้ง แล้ววราหะกับพระแม่ธรณีก็ได้แต่งงานกัน จึงมีการนับว่า พระแม่ธรณีก็เป็นชายาอีกองค์ของพระวิษณุเช่นกัน
วราหะถือเป็นอวตารปางสุดท้ายใน สัตยยุค ยุคแห่งความดีงาม
หลังจากนั้นหิรัณยักษะหรือชัยก็ได้ไปเกิดใหม่เป็น ราวณะ/ราวัณ หรือที่เรารู้จักกันในนาม "ทศกัณฐ์"
วราหะเข้าต่อสู้กับหิรัณยักษะ โดยกินเวลาไปนับพันปี
นอกจากนี้เหตุการณ์ที่หิรัณยักษะ หรือไทยเรียก หิรันตยักษ์ ม้วนเอาพระแม่ธรณีลงไป ก็ได้ถูกนำมาตั้งเป็นชื่อลูกไม้มวยไทยว่า "หิรัญม้วนแผ่นดิน"
ท่าหิรัญม้วนแผ่นดิน
อวตารปางที่4
"นรสิงหาวาตาร "
"नरसिंह‌‌ अवतार"
สืบเนื่องจากปางที่สาม หลังจากการตายของหิรัณยักษะหรือชัย หิรัณยกศิปุหรือวิชัย(ไทยเรียกหิรัณตปกาสูร) ก็ได้บำเพ็ญตบะขอพรจากพระพรหมให้มีเงื่อนไขมากขึ้นกว่าเดิม โดยมันขอพรว่า ขอให้ไม่มีใครฆ่ามันได้ไม่ว่าจะ คน สัตว์ เทพ ยักษ์ รากษส คนธรรพ์ ครุฑ นาคฯลฯ หรือก็คือทุกเผ่าพันธุ์ และขอให้มันไม่ตายในเวลากลางวันและกลางคืน ไม่ตายทั้งในและนอกชานเรือน ไม่ตายทั้งบนดินและบนฟ้า ไม่ตายด้วยอาวุธใดๆ
หิรัณยกศิปุก็ได้ออกอาละวาดไปทั่วทั้งสามโลก เมื่อมันเป็นใหญ่เหนือทุกสิ่ง มันจึงไม่อนุญาตให้มีการบูชาพระวิษณุ มันให้บูชาได้แค่พระพรหม พระศิวะเท่านั้น แต่ ลูกชายของมันนามว่า "ประหลาท"(อ่านว่าประหลาดนั่นแหละ) ประหลาดสมชื่อ คือทั้งบ้านไม่มีใครบูชาพระนารายณ์เลย มีประหลาทคนเดียวที่บูชา นอกจากนี้แล้ว ประหลาทยังพยายามให้พ่อเลิกทำชั่ว แต่หิรัณยกศิปุก็ไม่เลิก
พระอินทร์และเหล่าเทวดาไม่อาจสู้กับหิรัณยกศิปุได้จึงไปขอให้พระนารายณ์ช่วย โดยพระนารายณ์ก็ทรงยินดีที่จะช่วย
และด้วยการที่ประหลาทบูชาพระนารายณ์นี้ หิรัณยกศิปุพยายามที่จะเปลี่ยนใจลูกให้นับถือตามแบบของตน แต่ประหลาทก็ไม่ยอมเปลี่ยนแนวทาง
หิรัณยกศิปุให้แสนโกรธายิ่งนัก จึงจับลูกมาประหาร แต่ไม่ว่าจะทำอย่างไรประหลาทก็ไม่ตาย ด้วยขณะนั้นเขาสวดมนต์บูชาพระนารายณ์อยู่ทุกขณะจิต
หิรัณยกศิปุ
เมื่อหาทางออกไม่ได้ หิรัณยกศิปุ จึงได้ถามลูกว่า
"เหตุใดเจ้าจึงบูชาพระวิษณุ?"
"องค์ศรีหริ นั้นอยู่เหนือทุกสิ่ง ท่านทรงอยู่ในทุกๆที่"
"ทุกที่ ทุกที่เหรอวะ ถ้างั้นกูก็อยากจะรู้ว่าพระวิษณุของมึงน่ะ อยู่ในเสาต้นนี้ไหม!!!!!!"
ว่าแล้ว หิรัณยกศิปุก็อาละวาดไล่ทำลายเสาในท้องพระโรงอย่างบ้าคลั่ง แต่แล้วอยู่ดีๆก็มีเสาต้นหนึ่ง มีอะไรบางอย่างพุ่งออกมาจากเสา นั่นคือร่างของบุรุษผู้มีหัวเป็นสิงห์ หรือ นรสิงห์ พระนารายณ์อวตาร เข้าต่อสู้กับหิรัณยกศิปุ ด้วยความที่มันมีพรอยู่จึงไม่กลัวแต่สู้ไปสู้มา หิรัณยกศิปุกลับสู้ไม่ได้และล้มไปกองกับพื้น นรสิงห์จิกหัวลากเอาหิรัณยกศิปุที่กำลังพ่ายแพ้ไปที่ขอบประตู
นรสิงห์
มันขอให้ไม่มีใครฆ่ามันได้ไม่ว่าจะ คน สัตว์ เทพ ยักษ์ รากษส คนธรรพ์ ครุฑ นาคฯลฯ หรือก็คือทุกเผ่าพันธุ์ ซึ่งนรสิงห์ก็ไม่ใช่ทั้ง คน สัตว์ เทพ ฯลฯ
มันขอให้มันไม่ตายในเวลากลางวันและกลางคืนเวลานี้เป็นเวลาโพล้เพล้ไม่มช่ทั้งกลางวันและกลางคืน
ไม่ตายทั้งในและนอกชานเรือน นรสิงห์จับมันมาที่ขอบประตูซึ่งก็ไม่ใช่ทั้งในและนอกชานเรือน
มันขอให้ไม่ตายทั้งบนดินและบนฟ้า นรสิงห์จับมันมานอนบนตักซึ่งก็ไม่ใช่ทั้งบนดินและบนฟ้า
มันขอให้ไม่ตายด้วยอาวุธใดๆ นรสิงห์จึงใช้กรงเล็บ ที่ไม่ใช่อาวุธ แหวกท้องหิรัณยกศิปุจนมันขาดใจตาย
นรสิงห์แหวกท้องหิรัณยกศิปุ
หลังจากนั้นนรสิงห์ก็มีอาการคุ้มคลั่ง อาละวาดไปทั่ว แต่ประหลาท ก็ได้ร้องบทเพลงขับกล่อมให้นรสิงห์ใจเย็นลง ไม่นาน นรสิงห์ ก็กลับคืนเป็นพระวิษณุ และได้แต่งตั้งให้ ประหลาทขึ้นเป็นราชาแห่งเหล่าอสูรแทน
แต่นิกายไศวะ เล่าต่างออกไป กล่าวคือ ประหลาทร้องเพลงจนเสียงแหบเสียงแห้ง ก็ไม่มีวี่แววว่านรสิงห์จะหยุดคุ้มคลั่ง พระศิวะจึงอวตารเป็น ศรภะ นกลักษณะคล้ายๆกริฟฟอน ลงไปปราบ สู้กันอยู่นานมากจนพระนารายณ์ได้สติ
ศรภะ(शरभ)
อย่างไรก็ดี นรสิงห์ถือเป็นอวตารปางสุดท้ายของพระนารายณ์ที่อวตารเป็นรูปสัตว์ แต่เป็นอวตารปางแรกใน ไตรดายุค หรือ เตรตายุค ยุคที่สองที่ศีลธรรมของมนุษย์เริ่มเสื่อมถอยลงนิดหนึ่ง แต่ก็ไม่ได้เยอะมาก
หลังจากนั้น หิรัณยกศิปุหรือวิชัย ก็ได้ไปเกิดใหม่เป็น "กุมภกรรณ"
อวตารปางที่5
"วามนาวตาร"
"वामनावतार"
หากใครเล่นเกม SMITE คงจะเคยเห็นฮีโร่ชื่อ วามนะ แน่ๆครับ ใช่แล้วครับ วามนะนั้นก็ถือเป็นอวตารของพระวิษณุเช่นกัน โดยเรื่องมีอยู่ว่า
ท้าวประหลาทจากเรื่องราวอวตารปางที่4 ได้ปกครองเหล่าอสูร ก็ได้มีบุตรนามว่า "วิโรจนะ" ซึ่งวิโรจนะก็นับถือพระวิษณุเช่นเดียวกับบิดา วันเวลาผ่านไป วิโรจนะ ก็มีบุตรนามว่า "พลี"(พะ-ลี)
วิโรจนะ ได้ศึกษาพระเวท เป็นราชาผู้มีคุณธรรมชนทั้งปวงต่างรักใคร่เขาไม่ว่าจะเผ่าพันธุ์ไหนๆ
แต่แล้ววันหนึ่ง พระอินทร์ที่เห็นว่าวิโรจนะนั้นมีฟีดแบ็กดี เกรงจะเป็นภัยในอนาคต จึงได้ยกทัพไปรบกับวิโรจนะ ผลคือ วิโรจนะเสียชีวิต
เหตุการณ์ครั้งนี้สร้างความเสียใจให้ประหลาทและพลี พลีนั้นทนไม่ได้ที่พ่อต้องมาตายด้วยความอิจฉาของเทวราช จึงได้บุกไปแก้แค้นพระอินทร์ พระอินทร์สู้ไม่ได้เลยต้องเปิดแน่บหนีตายไป
ตรงนี้มีอีกตำนานบอกว่าจริงๆแล้วมหาพลีไม่ใช่เด็กเพิ่งเกิดแต่อย่างใด แต่เขานั้นมีชีวิตอยู่มาตั้งแต่ยุคกวนเกษียรสมุทรแล้ว เพียงแต่เขาพลาดท่าถูกเหล่าเทวดาฆ่าตาย ศุกราจารย์(พระศุกร์)จึงชุบชีวิตขึ้นมาใหม่ อย่างไรก็ตามการรุกรานสวรรค์ครั้งนี้ก็คือการแก้แค้นของมหาพลีทั้งสองกรณี
พระอินทร์นั้นได้มาขอร้องให้นางอทิติมารดาของตนช่วย นางรับปากว่าจะช่วย แต่จริงๆแล้วนางก็ ไปขอให้พระวิษณุช่วยนั่นแหละ พระวิษณุทรงบอกว่าเดี๋ยวตนจะอวตารมาเป็นบุตรของนางและจะทางปราบอสูรมหาพลีเอง
เวลาผ่านไป พระวิษณุก็อวตารลงมาเกิดเป็นบุตรของนางอทิติ นามว่า "วามนะ" ที่แปลว่า "เตี้ย/สั้น/แคระ" วามนะได้ศึกพระเวทจนเจนจัดแล้วก็ออกบวชเป็นพราหมณ์ และแสวงบุญไปเรื่อยๆ
วามานะ แสดงอิทธิฤทธิ์
วันหนึ่งมหาพลีได้จัดพิธียัชญะบูชาเทพ ซึ่งมหาพลีก็ดีหน่อยตรงที่เขายังเคารพตรีมูรติอยู่ ไม่ได้เป็นแบบ ปู่ทั้งสอง(หิรัณยากษะ และ หิรัณยกศิปุ)โดยหลังจากการบูชามหาพลีก็จะจัดการบริจาคทานทุกครั้ง ขณะนั้น วามนะได้เดินผ่านไปพอดี มหาพลีจึงได้เรียกให้เข้ามาเพื่อรับทาน มหาพลีได้ถามว่า
"ท่าพราหมณ์ ท่านต้องการสิ่งใดฤๅ?"
"ข้าขอแผ่นดินจากท่านเพียงแค่สามก้าวเท่านั้น"
มหาพลีแม้จะงงๆแต่ก็ตอบตกลงไป ไม่ทันขาดคำ วามนะก็ขยายร่างใหญ่โต ก้าวที่1เหยียบสวรรค์เก้าที่สองโลกมนุษย์ ก้าวที่สาม วางที่ไหนดี
มหาพลีเห็นเช่นนั้น ก็ได้รู้ว่าวามนะคือพระนารายณ์อวตารแน่นอนจึงได้บอกให้วามนะเหยียบลงบนหัวตน บ้างก็ว่าวามนะยอมรับในความศรัทธาและคุณธรรมของมหาพลีจึงไม่เหยียบและคืนร่างดังเดิม แต่บ้างก็ว่าเขาเหยียบมหาพลีจมลงไปถึงใต้บาดาลเลย
เราจึงได้เห็นภาพนี้
วามนะวางเท้าบนศีรษะมหาพลี
หลังจากนั้นวามนะก็ได้ให้มหาพลีไปเป็นราชาอสูรปกครองโลกบาดาลสืบไป ด้วยคุณธรรมที่มหาพลีมีนั้น พระนารายณ์ยังได้ทำนายไว้ว่า ในอนาคต มหาพลีจะมีวาสนาได้เป็นถึง เทวราช หรือพระอินทร์ ในกัปต่อไป
หลังจากนั้นมหาพลีก็ตั้งมั่นอยู่ในธรรมปกครองโลกบาดาลเรื่อยมา จนทุกวันนี้มีความเชื่อว่าเขาก็ยังคงไม่ตาย และรอการมาถึงของกลียุคอยู่
พราหมณ์วามนะถือเป็นอวตารปางสุดท้ายใน ไตรดายุค หรือ เตรตายุค
การก้าวทั้งสามก้าวของวามนะ เป็นที่มาของชื่อ การเดินแบบ ย่างสามขุมในมวยไทยนั่นเอง
การย่างสามขุม
ห้าปางผ่านไปเป็นยังไงกันบ้างครับ
สำหรับ วันนี้ก็ต้องขอพักไว้แต่เพียงเท่านี้ก่อนนะครับ
เอาไปก่อนห้าปาง เดี๋ยววันหลังเราจะมาต่อกันอีก5ปาง ซึ่งของบอกเลยว่าเรื่องจะสนุกเข้มข้นกว่านี้อีก(มั้ง) เพราะหลังจากนี้พาร์ทนี้ไป เราจะเข้าสู่ทวาปรยุค แล้ว เป็นยุคที่สามตามความเชื่อฮินดู ความชั่วเริ่มจะปรากฏมากขึ้น การปราบอสูรของพระนารายณ์จะยากขึ้นเพียงใด รอติดตามนะครับ
อ้างอิง
โฆษณา