Grrrr Grrrr กอหญ้าที่เริ่มรู้สึกถึงความสั่นสะเทือนในกระเป๋า มือเล็กล้วงเข้าไปในกระเป๋าสะพาย ดวงตาคมเบิกกว้างสายตาค้างจ้องที่หน้าจอ จนสายตัดไป สิบสามมิสคอล (Miss Call)
Grrrr Grrrr กอหญ้าสะดุ้ง เหมือนเธอกำลังตัดสินใจ แต่...
“พี่คริสต์...”
“อีกยี่สิบนาที พี่จะไปถึงหน้าผับที่หญ้าอยู่ตอนนี้...เลือกเองว่าจะเดินออกมาดีๆ หรือจะให้พี่เข้าไปรับที่โต๊ะ” กอหญ้าอ้าปากหวอค้าง แน่นอนเธอต้องเดินออกไปหาคริสต์อยู่แล้ว เพราะน้ำเสียงของเขาที่ราบเลียบต่ำ เธอรู้ดีว่าตอนนี้คริสต์อยู่ในอารมณ์แบบไหน
“พิศาล...เดินออกไปเป็นเพื่อนพี่ข้างนอกหน่อย” กอหญ้าหันไปกระซิบข้างหูของน้องชาย
“เกิดอะไรขึ้นครับ”
“พี่คริสต์กำลังจะมาที่นี่อีกยี่สิบนาที”
“เฮ้ย!!!…กลับมาจากสิงคโปร์แล้วเหรอ?”
“หมายความว่าไง?...” กอหญ้าถามกลับพิศาลทันที เพราะเธอไม่รู้มาก่อนว่าคริสต์ไปสิงคโปร์ พิศาลยิ้มแหยๆใส่กอหญ้า เมื่อตัวเผลอหลุดในสิ่งที่ไม่ควรพูดออกมา...รายละเอียดทั้งหมดเลยต้องออกมาจากปากเขา ขณะที่ทั้งสองออกมายืนหน้าทางเข้าแล้ว
“ผมเป็นน้องพี่นะ!...พี่หญ้าอย่าโกรธผมนะ” พิศาลอ้อนวอนพร้อมยกมือขอขมาโทษกับกอหญ้าที่ทำงอนใส่น้องชาย
“เกิดอะไรขึ้นครับ?” ชาลีที่ตามออกมา เมื่อเขามาจากห้องน้ำแล้วคนที่โต๊ะบอกว่ากอหญ้าขอตัวกลับก่อน
“คุณชาลี หญ้าขอโทษนะคะที่ไม่ได้บอกก่อน แต่หญ้าต้องกลับก่อนนะคะ” กอหญ้าหันไปพูดกับชาลี
“ทำไมล่ะครับ?...”
“เอี๊ยดดดดด...” คำตอบของกอหญ้ามาเบรคต่อหน้าคนทั้งสาม ชาลีหันไปตามสายตาของกอหญ้าและพิศาล และรอยยิ้มปรากฎบนใบหน้าเขา
คริสต์เดินลงมาจากรถ สายตาของเขาและชาลีต่างมองกันโดยไม่มีฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดหลบใครก่อน
“คริสต์ ไม่เจอกันนานเลยนะ”
“ใช่ และมันควรต้องเป็นแบบนั้น” กอหญ้าหันมองคนโน้นที คนนี้ที รวมถึงพิศาลด้วย เพราะเรื่องที่สองคนนี้รู้จักกันพิศาลเองก็ไม่รู้มาก่อน และจากที่มองความสัมพันธ์ของทั้งสองไม่น่าจะรื่นรมย์นัก
“เข้าไปดื่มอะไรกันหน่อยมั้ย?”
“ขอบใจ แต่คงไม่ ฉันแค่มารับคนของฉันกลับ”
“ใครเหรอ?” ชาลีแกล้งแหย่เล่นตามสไตล์ของคนที่ไม่เคยเกรงกลัวคนตรงหน้าแม้สักนิด คริสต์ตอบคำถามนั้นทางสายตา เมื่อเขาหันไปทางกอหญ้าและคว้ามือเธอมากอบกุม
“รู้แล้วนะ!...” คริสต์พูดเท่านั้นก็ดึงกอหญ้าให้เธอเข้าไปนั่งในรถที่เขาเปิดให้ แต่ประโยคนั้นของคริสต์ที่ให้กับชาลี มันมีนัยยะมากกว่านั้น ซึ่งชาลีรู้ดีเช่นกัน
กอหญ้านั่งเงียบมาตลอดทางไร้คำถามที่เธอมักจะต้องถามคริสต์เสมอ “จะไปไหนคะ?” แต่ครั้งนี้ภายในรถเงียบมีเพียงเสียงลมหายใจที่บ่งบอกว่ามีสิ่งมีชีวิตอยู่ในรถคันนี้
กอหญ้าแปลกใจที่คริสต์มายังคอนโดริมแม่น้ำเจ้าพระยา เมื่อเขาจอดรถเข้าที่ประจำเรียบร้อยคริสต์เดินอ้อมไปเปิดประตูด้านคนนั่ง กอหญ้าค่อยๆลงมาจากรถและเดินตามแรงลากจูงที่คริสต์คว้าข้อมือเธอทันที เมื่อปิดประตูรถและล็อคเรียบร้อย ยังไม่มีการพูดคุยใดๆ กอหญ้าแอบชำเลืองคนข้างกายที่เขาเงียบมากจนเธอเดาหรือคาดการณ์เหตุการณ์ต่อจากนี้ไม่ได้เลย ว่าคริสต์จะไม่พอใจเธอมากเพียงใดที่เธอออกมาเที่ยวโดยไม่มีการบอกกล่าวหรือขออนุญาตเขาสักนิด
กอหญ้าเกิดอาการหวั่นวิตก เมื่อลิฟท์เลื่อนขึ้นมาชั้นที่ยี่สิบห้า คีย์การ์ดของคริสต์ที่ใช้สำหรับเปิดห้องนี้ต้องไม่ผ่านแล้ว เมื่อเธอเปลี่ยนกุญแจใหม่แล้ว
“เอ่อ!…” กอหญ้าก้มหน้ามองพื้นทันที เมื่อแสงสีแดงปรากฎขึ้น เมื่อคริสต์ใช้คีย์การ์ดของเขาเปิดประตูห้องเธอ แต่ไร้คำพูดของคริสต์เขายื่นมือไปที่กระเป๋าสะพายของกอหญ้าและเปิดมัน เพื่อค้นหาคีย์การ์ดซึ่งกอหญ้าปล่อยให้คริสต์ทำตามต้องการอย่างไม่ขัดขืน สาบานตรงนี้เลยว่า กอหญ้ารู้สึกเหมือนกับว่าคริสต์โกรธเธอมาก นิ่งสงบเกินไป จนเธอกลัว และเธอรู้สึกถึงความผิดก่อตัวขึ้นในความรู้สึกของเธอ
“นับตั้งแต่พรุ่งนี้ไป หญ้าจะต้องมีคนติดตามทุกฝีก้าวเมื่อต้องไปไหนตามลำพัง...และนั้นมันคงจะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อได้รับการอนุญาตจากพี่เท่านั้น” ประโยคแรกที่ดังออกมาจากปากคริสต์หลังจากที่ไม่ได้เจอกันสองวัน ทำเอา กอหญ้าเบิกตากว้างอ้าปากค้าง “และแหวนอยู่ไหน?” คริสต์เอ่ยถามพร้อมกับจ้องเข้าไปในดวงตากอหญ้าขณะที่ยืนตรงหน้าเธอเมื่อเขาทั้งสองเข้ามาในห้องแล้ว
กอหญ้าเปิดกระเป๋าอีกครั้งและในช่องเล็กที่ถูกปิดด้วยซิป เธอเปิดมันและดึงแหวนหมั้นที่คริสต์สวมให้กับเธอออกมา
“สวมมันซะ!!!...และห้ามถอดมันออกมาอีกเด็ดขาด คำสั่ง!!!” กอหญ้าสวมแหวนกลับตามคำสั่งนั้น คริสต์กับเสียงที่ราบเรียบ ‘ไม่สบายใจ’ กอหญ้ารู้สึกอยู่ตอนนี้...
คริสต์คว้ามือกอหญ้าอีกครั้งและพาเข้าห้องนอน กอหญ้าใบหน้าแดงก่ำเมื่อคริสต์ปลดเปลื้องเสื้อผ้าของตัวเองออก เปิดเผยทุกอย่างต่อหน้าเธอด้วยใบหน้าที่นิ่งสงบของเขา และเขาหันมาจัดการกับเธอที่เอาแต่ยืนนิ่งด้วยใบหน้าแดงก่ำ แต่ไร้ซึ่งการขัดขืนเมื่อคริสต์ปลดเปลื้องเสื้อผ้าให้กับเธอโดยที่เธอไม่ได้ร้องขอ