16 ก.ค. 2021 เวลา 02:45 • ปรัชญา
นี่คือยุคสมัยของคนหนุ่มสาว
พวกเขาเติบโตขึ้นบนโลกที่เปลี่ยนแปลงไป มีความพร้อมจะทำหลายสิ่งหลายอย่าง แต่ผู้ใหญ่ทั้งพ่อแม่และปู่ย่าตายายก็มักห้ามปรามพวกเขาไว้ อีกทั้งคัดค้านหรือคิดเห็นไม่ตรงกับพวกเขาในแทบทุกเรื่อง
เมื่อคนหนุ่มสาวใช้ชีวิตผ่านวัย ทำอะไรถูกบ้างผิดบ้าง ได้เห็นและรับรู้ผลของการกระทำเหล่านั้น วันหนึ่งเขาก็กลายเป็นผู้ใหญ่ มีลูกหลานแล้วคอยคัดค้านห้ามปรามหลาย ๆ เรื่องในทำนองเดียวกับที่พ่อแม่ของตนเคยทำ
วงรอบความขัดแย้งเช่นนี้คงดำเนินต่อเรื่อยไปตราบใดที่โลกนี้ยังมีมนุษย์
คนวัยหนุ่มสาวมักเชื่อมั่นในอุดมคติและความคิดของตนเองว่าถูกต้องจึงขัดแย้งกับผู้ใหญ่เรื่อยไป
แล้วอะไรหนอที่เปลี่ยนวัยคน
อาจเป็นประสบการณ์รูปแบบต่าง ๆ
เป็นความรัก ความสุข ความทุกข์
เป็นการเห็นและรับรู้วิถีชีวิตหลากหลาย
เป็นความความเหลื่อมล้ำในสังคม
เป็นความฉ้อฉลเห็นแก่ตัวของคนบางกลุ่ม
เป็นการมีเพื่อนและสร้างศัตรู
เป็นการร่วมมือและความบาดหมาง
ฯลฯ
เมื่อประสบกับตัวเอง เป็นใครก็เชื่อสนิทใจ บ่อยครั้งที่ผู้ใหญ่เชื่อมั่นในประสบการณ์ที่ผ่านมามากจนตัดสินชีวิตและตัดสินใจแทนลูกหลานเสร็จสรรพ
มองผิวเผินคล้ายเป็นความขัดแย้งจากช่วงวัยที่แตกต่าง ทว่าโดยพื้นฐานคือความขัดแย้งระหว่างประสบการณ์กับความคิดและอุดมคติ
หลายเรื่องคนหนุ่มสาวที่ยังไม่ผ่านทุกข์สุข ไม่เคยชอกช้ำย่อมไม่มีวันเข้าใจ แต่กับเรื่องราวร้อยพันในสังคม ทั้งอำนาจ ผลประโยชน์ ผลกระทบ และความรับผิดชอบ ผู้ใหญ่จะสื่อสารบทเรียนที่ไร้ตำราเหล่านั้นอย่างไรให้คนหนุ่มสาวรับรู้และเข้าใจ
ยังมีไหมผู้ใหญ่ที่มีเวลาว่างและสติปัญญาหลงเหลือเพียงพอจะหาวิธีส่งต่อประสบการณ์และภูมิปัญญาของตนให้คนหนุ่มสาว ลำพังการทำมาหากินก็ดูดกลืนพละกำลัง เวลาและสติปัญญาไปแล้วเกือบทั้งชีวิต อีกทั้งธรรมชาติของคนหนุ่มสาวมักสร้างกำแพงต่อต้านผู้ใหญ่ด้วย
แล้วจะมีไหมวัยรุ่นหนุ่มสาวที่เฉลียวใจเห็นมายาแห่งความคิดและอุดมคติ รู้ว่าสิ่งที่คิดได้นั้นไม่จำเป็นว่าจะถูกต้อง
ยังมีไหมหนอ ? ผู้คนที่จะเป็นความหวัง ผู้คนที่ทลายกำแพงกั้นและเชื่อมประสานคนทั้งสองวัย
อันที่จริงจะคนวัยใด เมื่อสื่อสารออกไปล้วนต้องการให้อีกฝ่ายรับรู้และรับฟังสิ่งที่อยู่ในใจตน
ยุคสมัยนี้ดีและแปลกกว่าแต่ก่อน คือคนหนุ่มสาวเรียกร้องความเคารพจากผู้ใหญ่ได้ และเป็นเรื่องที่ยอมรับกันมากขึ้นด้วย คนหนุ่มสาวเรียกร้องความเคารพในศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ที่มีสติปัญญา รู้จักคิดวิเคราะห์และแยกแยะผิดชอบชั่วดี
ด้วยจุดยืนเช่นนี้ ผู้ใหญ่จะคัดค้านก็ลำบาก
ส่วนหนึ่งเพราะแก่แล้ว ตะเบ็งเสียงให้ดังสู้คนหนุ่มสาวคงไม่ไหว
แต่กระนั้นหัวใจสำคัญก็ยังคงอยู่ นั่นคือการรับฟังและรับรู้ให้มากกว่าการพูด
เพราะพูดมากก็เจ็บคอ
วัยหนุ่มสาวที่เจอปัญหาและเพิ่งมีประสบการณ์ทั้งดีและร้ายกับเรื่องราวหลากหลายเป็นครั้งแรกในชีวิต มันก็หนักหนามากพอแล้ว
หากผู้ใหญ่ใจเย็นลง รับฟัง ลองเอาใจเขามาใส่ใจเรา ย่อมรู้วิธีการช่วยเหลือตามสมควร
หากเตือนต้องเป็นเรื่องสำคัญ
หากห้ามต้องเป็นเรื่องคอขาดบาดตาย
อย่างนี้จะดีต่อทั้งสองฝ่าย คนหนุ่มสาวคงยินดีรับฟังและไม่ตั้งกำแพงเพราะรู้สึกถูกล่วงล้ำก้าวก่ายชีวิตมากไป ส่วนผู้ใหญ่ก็ไม่ต้องหงุดหงิดรำคาญใจที่อีกฝ่ายไม่ฟังหรือไม่เชื่อฟังตน
เพราะทั้งประสบการณ์ อุดมคติและความคิดล้วนเปรียบเสมือนก้อนอิฐที่ใช้ก่อกำแพงได้ และเราทุกคนก่อกำแพงล้อมรอบตัวเองอยู่เสมอ แต่จะดีกว่าไหมหากเปลี่ยนเป็นนำอิฐเหล่านั้นมาสร้างสะพานข้ามผ่านอุปสรรคหรือเชื่อมโยงระหว่างวัยผู้ใหญ่กับวัยหนุ่มสาว
อองตวน เดอ แซงเตก-ซูเปรี ผู้เขียนเรื่องเจ้าชายน้อยกล่าวไว้ในคำอุทิศว่า “ผู้ใหญ่ทุกคนเคยเป็นเด็กมาก่อนแล้วทั้งนั้น แต่น้อยคนนักที่จะหวนระลึกได้”
และในทำนองเดียวกัน หนุ่มสาวน้อยคนนักจะตระหนักได้ว่า ชีวิตตนไม่ใช่ของตนแต่เพียงผู้เดียว และวันหนึ่งพวกเขาจะต้องเป็นผู้ใหญ่
มนุษย์เรามีครอบครัวและญาติมิตร อีกทั้งยังอยู่ในสังคมซึ่งมีอะไรต่อมิอะไรตีกรอบไว้ทั้งที่มองเห็นและมองไม่เห็น
การประคองชีวิตให้ดำเนินไปได้ด้วยดีโดยตลอดจึงเป็นทั้งศาสตร์และศิลป์อันละเอียดอ่อน ต้องกระทำอย่างละเมียดละไม
ทั้งหมดอาจพูดบอกได้ ชี้ให้เห็นและทำให้ดูเป็นตัวอย่างได้ แต่สอนกันไม่ได้
เพราะนี่คือยุคสมัยของคนหนุ่มสาว

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา