Blockdit Logo
Blockdit Logo (Mobile)
สำรวจ
ลงทุน
คำถาม
เข้าสู่ระบบ
มีบัญชีอยู่แล้ว?
เข้าสู่ระบบ
หรือ
ลงทะเบียน
A WAY OF LIFE : ทางผ่าน
•
ติดตาม
5 ก.ค. 2021 เวลา 10:50 • หนังสือ
"จิตหนึ่ง ธรรมหนึ่ง"
จิตหนึ่งธรรมหนึ่ง มีอันเดียวรวด ไม่มีคู่
เพราะอะไร
เพราะพ้นจากความปรุงแต่ง
ทำไมพ้นจากความปรุงแต่ง
เพราะเจริญสติปัฎฐานเต็มภูมิแล้ว
.
ถ้าพิจารณาให้ดี อารมณ์ทั้งหลาย
ในสติปัฎฐานที่พระพุทธเจ้าทรงยกขึ้นมา
ให้เราเรียนรู้นั้น
เป็นอารมณ์ที่เป็นคู่ทั้งสิ้น
เช่น หายใจออก กับ หายใจเข้า
เห็นมั้ยว่าเป็นคู่ ๆ
ยืน เดิน นั่ง นอน
นี่ก็เป็นคู่
คำว่า 'คู่' ไม่ได้แปลว่าสองนะ
แต่หมายถึงสิ่งซึ่งมีสิ่งอื่นเทียบเคียงได้
ไม่ใช่มีอันเดียว
ยืน เดิน นั่ง นอน นี่มีสี่อย่าง
เทียบได้ว่าแต่ละอย่างไม่เหมือนกัน
ก็ถือว่าเป็นธรรมคู่
1
หรือเวทนา มี 'สุข ทุกข์ เฉยๆ'
มีสามอย่างก็ถือว่าเป็นธรรมคู่
หรือ 'จิตมีราคะ จิตไม่มีราคะ' นี่หนึ่งคู่
'จิตมีโทสะ จิตไม่มีโทสะ' นี่หนึ่งคู่
'จิตมีโมหะ จิตไม่มีโมหะ' นี่อีกคู่หนึ่ง
'จิตฟุ้งซ่าน จิตไม่ฟุ้งซ่าน' นี่อีกคู่หนึ่ง
ทำไมต้องเรียนธรรมคู่
หรือเรียนสภาวะเป็นคู่ ๆ
เราเรียนสิ่งซึ่งเป็นคู่
เพื่อจะได้เห็นว่าแต่ละสิ่ง ๆ นั้นไม่เที่ยง
แต่ละสิ่ง ๆ ทนอยู่ไม่ได้นาน
แต่ละสิ่ง ๆ บังคับไม่ได้
1
มันพลิกกลับไปกลับมาระหว่างด้านตรงข้ามเสมอ ๆ
เรียนเพื่อให้เห็นตรงนี้
เช่น เราเห็นว่าความสุข ความทุกข์ก็ไม่เที่ยง
เฉย ๆ ก็ไม่เที่ยง อะไรก็ไม่เที่ยง
เลือกก็ไม่ได้ด้วยว่าจะสุขหรือจะทุกข์หรือจะเฉย ๆ
หรือยืน เดิน นั่ง นอน เห็นมั้ย
มันเปลี่ยนไปเรื่อย ๆ บังคับมันไม่ได้หรอก
ขืนนั่งอยู่อิริยาบถเดียวนาน ๆ ความทุกข์ก็บีบคั้นเอา
ในร่างกายจะถูกความทุกข์บีบคั้นมาก
ทนไม่ไหว ต้องเปลี่ยนอิริยาบถ
หายใจออกแล้วก็อยู่นิ่งไม่ได้ใช่มั้ย
หายใจออกตลอดเวลาไม่ได้
ต้องสลับหายใจเข้า เพราะอะไร
เพราะความทุกข์มันบีบคั้น
ให้รู้อย่างนี้นะ
เห็นมั้ยความโกรธเกิดขึ้น ก็ไม่เที่ยง
โกรธแล้วก็หายโกรธ
ไม่มีใครโกรธได้เป็นชั่วโมงนะ
ไม่มีใครโกรธได้แม้แต่นาทีเดียว
ความจริง ความโกรธเกิดแล้วก็ดับ เกิดแล้วก็ดับ
แต่มันเกิดต่อเนื่องซ้ำ ๆ ๆ ๆ
เราเลยรู้สึกว่าเราโกรธได้เป็นวัน ๆ
แต่ถ้าเราสติดี
เราจะเห็นว่ามันเกิดดับ ๆ ๆ ๆ อยู่ตลอดเวลา
1
นี่เรียนหนึ่งคู่
เพื่อจะได้เห็นความเกิดดับนั่นเอง
ถ้าเรียนธรรมเดี่ยว ๆ ก็ไม่มีเกิดดับ
อย่างนิพพานไม่มีเกิดดับ
นิพพานเที่ยง นิพพานไม่มีทุกข์
เพราะว่าไม่มีอะไรเสียดแทง
ไม่มีอะไรบีบคั้น
1
เพราะฉะนั้น ให้เราเรียนสิ่งซึ่งเป็นคู่ ๆ
ซึ่งก็คืออารมณ์ทั้งหลายในสติปัฎฐาน
คือ รูปธรรมนามธรรมทั้งหลาย
คอยรู้ลงไปเรื่อย ๆ
ในที่สุด จะเห็นว่าสภาวะทั้งหลายทั้งปวง
เกิดแล้วดับทั้งสิ้น
ถ้าเห็นอย่างนี้ได้ ก็ได้เป็นพระโสดาบัน
หลังจากนั้นก็ตามรู้กายตามรู้ใจต่อไปอีก
อย่าดิ้นรน อย่าค้นคว้า
ไม่มีใครสามารถดิ้นรนค้นคว้า
เพื่อให้เกิดมรรคผลนิพพานได้หรอก
เหมือนเรื่องเมื่อวานที่หลวงพ่อเล่าให้ฟัง
ว่าครูบาอ๊าไปอ่านเจอพระสูตร
ที่พระพุทธเจ้าท่านสอนว่า
ชาวนาทำนา กระบวนการทำนาก็มีหลายอย่าง
มีหลายขั้นตอน
ทำนาก็ต้องไปไถนาก่อน
ไถนาแล้วก็ต้องหว่านข้าว หรือดำนา
หลังจากนั้นก็ต้องคอยดูแลให้มันมีน้ำพอดี ๆ
น้ำมากก็เอาออก
น้ำน้อยก็เอาเข้า ดูแลไป
ท่านบอกว่าชาวนาทำหน้าที่เหล่านี้แหละ
แล้วเมื่อทำไปถึงจุดหนึ่ง
ข้าวจะออกรวงของมันเอง
ชาวนาไม่ได้ทำให้ข้าวออกรวงได้นะ
ชาวนานี่แหละ ทำนาอย่างนี้แหละ
ข้าวมันก็ออกรวงของมันเอง
การปฏิบัติก็เหมือนกัน
พวกเรามีหน้าที่ศึกษาเรื่องศีล เรื่องจิต เรื่องปัญญา
รวมเรียกว่าเรื่องไตรสิกขา
เรียกเต็มยศก็เรียกว่า อธิศีลสิกขา อธิจิตสิกขา อธิปัญญาสิกขา
ถ้าพวกเราศึกษาเรื่องศีล เรื่องจิต เรื่องปัญญา แก่รอบจริง ๆ
อริยมรรคจะเกิดขึ้นเอง
ไม่มีใครทำมรรคผลให้เกิดได้นะ อริยมรรคเกิดเอง
เพราะฉะนั้น อย่าไปน้อมใจนะ
บางคนน้อมใจเข้าไปหาความนิ่ง ความว่าง
กะว่าทำอยางนี้แล้วจะเกิดมรรคเกิดผล
ไม่เกิดหรอก
หรือบางคนไปทำอย่างโน้น ทำอย่างนี้
กำหนดโน้น กำหนดนี้
หวังว่าอริยมรรคจะเกิด
ไม่เกิดหรอก
ต้องมีศีลสิกขา มีจิตสิกขา มีปัญญาสิกขา
อริยมรรคถึงจะเกิด
เพราะฉะนั้นให้เรามีสตินะ
รู้กายรู้ใจไปอย่างนี้ตามความเป็นจริง
เราจะได้ทุกสิ่งทุกอย่างมา
ค่อย ๆ ฝึกไป ถึงวันหนึ่ง
จิตก็จะก้าวกระโดดต่อไป ๆ เป็นลำดับ ๆ
เริ่มต้นเห็นก่อนว่ากายนี้ใจนี้ไม่ใช่เรา
ได้พระโสดาบัน
ตัวเราไม่มี รู้สึกอย่างนี้
เวลาเป็นพระโสดาบันแล้ว
ทุกครั้งที่มองลงมาในจิตใจในตัวเอง
จะไม่มีเงาของความเป็นตัวเราแม้แต่นิดเดียว
1
มีคนจำนวนมากนะ
คิดว่าตัวได้พระโสดาบันแล้ว
ดูลงมาแล้วเห็นความเป็นตัวตนแอบอยู่ไหว ๆ
แล้วทำเป็นไม่เห็น
คอยหลอกตัวเองว่า "ฉันไม่มี ฉันไม่มี"
นี่ โกหกตัวเอง หลอกตัวเองนะ
ใครคิดว่าได้โสดาบันแล้ว
ลองดูไปถึงจิตถึงใจ
ดูว่ามีความเป็นเราแฝงอยู่บ้างมั้ย
มีเงาของความเป็นตัวตนอยู่บ้างมั้ย
บางคนภาวนานะ พอรู้สึกตัวขึ้นมา
ดูลงมาแล้วไม่มีเรานี่
เพราะอะไร
เพราะในขณะที่มีสติอยู่ ไม่มีเราอยู่แล้ว
ความรู้สึกว่าเป็นเราชื่อสักกายทิฏฐิ เป็นมิจฉาทิฏฐิ
มิจฉาทิฏฐิเป็นอกุศลธรรม
อกุศลธรรมไม่เกิดร่วมกับสติ
เพราะฉะนั้น เมื่อไรมีสติ เมื่อนั้นไม่มีสักกายทิฏฐิ
เมื่อไรขาดสติ เมื่อนั้นมีสักกายทิฏฐิ
เพราะฉะนั้น ถ้ามีใครมาบอกว่าเป็นพระอริยะ
หลวงพ่อมักจะแหย่ชวนคุยโน่นคุยนี่ไปนะ
ให้เผลอ ๆ เผลอไปสักพัก
ก็แนะให้เจ้าตัวดูใจตัวเองเลย
ว่าเห็นมีเราขึ้นมามั้ย ?
มีเงาของความเป็นตัวตนขึ้นมามั้ย ?
ถ้าเป็นโสดาบันจริง ๆ
จะไม่มีตัวเรา
มองลงไปจะกลวง ๆ ทุกครั้ง
ตัวเราไม่โผล่ขึ้นมา
ไปสังเกตเอานะ
บรรดาโสดาเก๊ทั้งหลาย
3
...
หลังจากนั้นก็รู้กายรู้ใจต่อไปอีก
จนมันแจ้งขึ้นมาเอง
มันก็ตัดครั้งที่สอง ครั้งที่สาม
ถึงครั้งที่สามใจมันจะเด่น
มันรู้ความจริงแล้ว
ว่าการที่จิตไหลไปทางตา หู จมูก ลิ้น กาย
หรือหลงไปคิดในเรื่องรูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ
สิ่งเหล่านี้นำความทุกข์มาให้
จิตนี้เลยไม่หลงไปทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ
สมาธิบริบูรณ์ขึ้นมา
จิตตั้งมั่นเด่นดวงขึ้นมา
เป็นภูมิของพระอนาคามี
ถ้าสติปัญญาแก่รอบไปอีก จะเห็นอีก
ตัวจิตผู้รู้นั่นแหละเป็นทุกข์ล้วน ๆ
บางท่านเห็นว่ามันเป็นทุกข์ล้วน ๆ เพราะมันไม่เที่ยง
บางท่านเห็นว่ามันเป็นทุกข์ล้วน ๆ เพราะมันถูกบีบคั้น
บางท่านเห็นว่ามันเป็นทุกข์ล้วน ๆ เพราะมันไม่ใช่ตัวเรา
นี่ แง่มุมของการเห็นว่าเป็นทุกข์ล้วน ๆ
ไม่เหมือนกันนะ มีทั้งสามแบบ
พอเห็นแล้ว มันจะสลัดจิตทิ้งไปเลย ไม่ยึดถือจิต
เมื่อไม่ยึดถือจิตแล้ว
ก็จะไม่ยึดถืออะไรในโลกอีก
จิตก็จะเข้าถึงสันติสุขที่แท้จริง
สันติก็คือพระนิพานนั่นเอง
นิพพาน คืออะไร
นิพพาน คือสันติ
นิพพานมีสภาวธรรมเรียกว่ามี สันติลักษณะ
ชื่อ สวนสันติธรรม
คือ สวนแห่งนิพพานนั่นแหละ
... เพราะฉะนั้น เราจะเรียนรู้สิ่งที่เป็นคู่
ซึ่งเมื่อถึงจุดหนึ่ง เราจะเห็นสิ่งที่เป็นหนึ่ง
สิ่งที่เป็นคู่จะเกิดแล้วตาย เกิดแล้วตาย
มันจะพลิกกลับไปกลับมา
ส่วนสิ่งที่เป็นหนึ่ง
จะไม่มีการพลิกกลับไปกลับมา จะเที่ยง
สิ่งที่เป็นหนึ่งจะเป็นสุข
แต่สิ่งที่เป็นหนึ่งก็ไม่ใช่ตัวตน
ยังไม่ใช่ตัวตนอยู่นะ
แต่ว่าเที่ยง เป็นสุข แต่ว่าไม่ใช่ตัวตน
เพราะฉะนั้น นิพพานเที่ยง เป็นสุข แต่ไม่ใช่ตัวตน
ไม่ใช่นิพพานเป็นตัวเป็นตนนะ
เพราะไม่มีใครเป็นเจ้าของนิพพาน
ไม่มีตัวตนอะไรที่จะเป็นเจ้าของนิพพาน ...
:
ข้อความบางตอนจากจากหนังสือ "เรียนธรรมคู่เพื่อรู้ธรรมหนึ่ง"
ธรรมเทศนา หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช
ณ สวนสันติธรรม ศรีราชา จ.ชลบุรี
วันเสาร์ที่ ๘ เดือนมีนาคม พ.ศ.๒๕๕๑
คลิกเพื่อดาวน์โหลดฉบับเต็ม
⬇️
http://media.dhamma.com/pramote/books/reanthamkoo.pdf
ขอบคุณรูปภาพจาก : Unsplash
1 บันทึก
16
27
7
ดูเพิ่มเติมในซีรีส์
ธรรมะเพื่อความพ้นทุกข์
1
16
27
7
โฆษณา
ดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน
© 2024 Blockdit
เกี่ยวกับ
ช่วยเหลือ
คำถามที่พบบ่อย
นโยบายการโฆษณาและบูสต์โพสต์
นโยบายความเป็นส่วนตัว
แนวทางการใช้แบรนด์ Blockdit
Blockdit เพื่อธุรกิจ
ไทย