4 ส.ค. 2021 เวลา 23:39 • นิยาย เรื่องสั้น
5.22. อาญาสิทธิ์สั่งตาย
เอียวสิ้ว เอียวตัน เอียวหงี ลูกไม้หล่นไม่ไกลต้น
โจโฉ โจชง กาเซี่ยง ซิหลง เตียวคับ และเหล่าองครักษ์วังหลวงหลายสิบคน เดินทางจากเมืองอ้วนเซีย กลับเข้าเมืองหลวงฮูโต๋ แต่ด้วยความที่มีจำนวนคนน้อย หวั่นเกรงมีเภทภัยกล้ำกราย กาเซี่ยงจึงเสนอให้ปลอมตัวเป็นขบวนคุ้มกันสินค้าที่มีอยู่มากมายในยุคสมัยนั้น
ตลอดเส้นทาง ปลอดภัยไร้เรื่องราวอันใด แต่พอเข้าใกล้ถึงเมืองหลวงฮูโต๋ กลับเผชิญกองทัพทหารเกณฑ์ใหม่หลายร้อยคนตั้งขบวนขวางทางอยู่ที่เชิงป่าใหญ่ ยังไม่ทันกล่าวคำเจรจาใดๆ รูปขบวนกลับเริ่มแปรเปลี่ยน เสียงตะโกนสั่งการให้สังหารกลุ่มคนเบื้องหน้าดังแว่วมา ทำให้พวกโจโฉตื่นตัว และรีบป้องกันตัวเองโดยด่วน พร้อมกับส่งเสียงแสดงตนว่า เป็นขบวนอารักขาของวุยก๋ง โจโฉ หวังให้ฝ่ายตรงข้ามหยุดมือ
แต่ทวนดาบของเหล่าทหารกลับไม่สนใจ ทิ่มแทงเข้าใส่จนองครักษ์บางคนเริ่มบาดเจ็บล้มตายไปต่อหน้าต่อตาแล้ว กลับกลายเป็นสถานการณ์คับขัน กาเซี่ยงต้องรีบสั่งการให้ซิหลง เตียวคับ และเหล่าองครักษ์รายล้อมคุ้มกันโจโฉ โจชง ในทันที
โจโฉโมโหจนตัวสั่น เท่าที่ผ่านมา มันเผชิญหน้ากับศัตรูที่เป็นฝ่ายตรงข้าม แต่บัดนี้ คู่ต่อสู้น่าสงสัยว่าจะเป็นคนของตนเอง จึงรีบสั่งการให้รีบล่าถอยก่อน หวังจะกลับไปตั้งหลักที่เมืองอ้วนเซีย อย่างน้อยก็แน่ใจว่า ขุนพลอิกิ๋มยังมีความภักดีหลงเหลืออยู่
หากแต่ด้านหลัง ก็ยังคงเป็นกองทัพทหารเกณฑ์ใหม่หลักร้อยอีกกองหนึ่ง เคลื่อนเข้ามาปิดเส้นทาง และไล่กระหนาบเหล่าองครักษ์ผู้จงรักภักดีทั้งหน้าหลัง แม้ว่าองครักษ์หลายสิบคนจะมีฝีมือสูงส่งพอตัว แต่เมื่อมาเจอกับกองทหารสองกองเช่นนี้ จึงเสียเปรียบด้านจำนวนคนอย่างมาก การต้านทานก็ทำได้เพียงแค่ซื้อเวลาเพิ่มเท่านั้น
เมื่อกุนซือเงาปีศาจ กาเซี่ยงประเมินสถานการณ์แล้ว รีบกระซิบสั่งความกับซิหลง เตียวคับ เห็นขุนพลทั้งสองทำหน้าตาแตกตื่น แต่กาเซี่ยงกลับบันดาลโทสะ รีบสำทับให้ทำตามคำสั่งอย่างหนักแน่นก่อนที่ทุกอย่างจะสายเกินไป
ขุนพลพยัคฆ์ทั้งสองมองหน้ากันอีกครั้ง ค่อยตกลงใจหันอาวุธคู่กายจ่อใส่คอของโจโฉ โจชง พร้อมตะโกนให้หยุดมือทั้งสองฝ่าย เหล่าองครักษ์ที่เหลือเพียงสี่สิบกว่าคน เห็นสถานการณ์พลิกผัน จึงคุกเข่าวางอาวุธลง ฝ่ายตรงข้ามเห็นเช่นนั้น จึงพลอยหยุดชะงักไปด้วยความงุนงงสงสัยว่า ฝ่ายตรงข้ามเกิดการทรยศหักหลัง หรือว่าจะมีไส้ศึกแฝงตัวอยู่ กาเซี่ยงจึงค่อยก้าวออกมา ตะโกนร้องหาตัวหัวหน้าเพื่อมาเจรจากัน
หัวหน้ากองทัพทั้งสองกองล้วนด้อยประสบการณ์ แต่เมื่อเห็นว่า สถานการณ์ฝ่ายตัวเองเหนือกว่ามาก เพียงรับฟังบ้างคงไม่เป็นเรื่องร้ายแรงนัก จึงก้าวออกมารับคำพร้อมเจรจา กาเซี่ยงพิจารณาแล้ว เห็นเป็นนายทหารหนุ่มน้อยแปลกหน้าสองนาย จึงพอเดาได้ว่าเป็นกองทหารหัวเมืองที่เพิ่งเกณฑ์เข้ามาใหม่ โดนสั่งการให้มาล่าสังหาร โดยไม่รู้จักความเป็นมาของพวกตนเองเลยด้วยซ้ำ จึงแสดงป้ายประจำตำแหน่ง สร้างความตระหนกตกใจให้กับฝ่ายตรงข้ามได้จริงดั่งคาด
เสียงโห่ร้องก้องมาแต่ไกล กองทัพม้าเหล็กภายใต้ธงแม่ทัพ สมุหกลาโหม แฮหัวตุ้นและขุนพลเอก โจหยิน ตรงเข้ามาสู่สมรภูมิริมป่าใหญ่ ไล่เข่นฆ่ากองทหารหัวเมืองอย่างไม่ปรานี กาเซี่ยงจึงล่าถอยเข้ากลุ่มองครักษ์ และโบกมือให้ซิหลง เตียวคับ เลิกเล่นละครตบตา และขออภัยต่อโจโฉ โจชง ที่ต้องกระทำการอุกอาจ เพียงชั่วหนึ่งก้านธูป กองทัพย่อยจำนวนคนร่วมพันนาย ถึงกับล้มตายไปหมดสิ้น พร้อมทั้งหัวหน้ากองหนุ่มน้อยทั้งสองคน ราวกับเป็นการปิดปากคนร้ายจนสนิท ไม่เหลือให้สืบสาวความต่อได้อีกเลย
เมื่อการต่อสู้ยุติลงแล้ว โจผี แฮหัวตุ้น โจหยิน และสุมาอี้ จึงค่อยควบม้าตรงเข้ามาพบกับโจโฉ ที่ยังอยู่ในความอารักขาของซิหลง เตียวคับ และกาเซี่ยง แต่โจโฉกลับชูมือห้ามไว้แต่ระยะไกล ให้ลงจากม้าก่อนเริ่มต้นพูดคุยกัน
โจผีนับเป็นคนใกล้ชิดกับโจโฉ จึงทราบดีว่า โจโฉมีเกาทัณฑ์ในแขนเสื้อ พร้อมจะสังหารคนที่ยืนตรงหน้าได้ในระยะไกล จึงแสดงความจริงใจ ลงจากหลังม้าพร้อมกับทิ้งอาวุธถอดเกราะออก เดินก้มหน้าเข้ามาในระยะพูดคุยค่อยคุกเข่าลงสำนึกผิด พลางสั่งการให้ทุกคนในกองทัพคุกเข่าลงเช่นกัน “พวกเรามาช้า ทำให้ท่านพ่อตกอยู่ในอันตราย ข้าขออภัยด้วย”
โจโฉหรี่ตา แต่ยังไม่ลดแขนลง จ้องมองท่าทีของฝ่ายตรงข้าม พลางสอบถามเพิ่มเติม “เคาทูอยู่ที่ใด ไยจึงไม่มาด้วยกันกับพวกเจ้า”
“ขุนพลองครักษ์เคาทูได้รับบาดเจ็บสาหัสจากหลวงจีนทุศีล จนบัดนี้ ยังไม่อาจลุกขึ้นจากที่นอนได้เลย แต่หมอหลวงก็แจ้งว่า พ้นขีดอันตรายแล้ว” โจผีรายงาน “หลังจากได้รับสาส์นลับจากท่านกาเซี่ยงแล้ว พวกเราก็ได้รับรายงานสายข่าวถึงการเคลื่อนไหวที่ผิดปกติของกองทหารเกณฑ์ใหม่จากเมืองเสเหลียงในเวลาไล่เลี่ยกัน จึงรีบระดมทัพออกมาเพื่อช่วยเหลืออย่างเร่งด่วน”
โจโฉยังไม่เชื่อถือสนิทใจนัก แต่การที่กองทัพจำนวนมากเหล่านี้รับรู้ตัวตนของมันแล้ว ย่อมคลี่คลายความคิดชั่วร้ายไปได้บ้าง การที่คนจากเมืองเสเหลียงที่เพิ่งสวามิภักดิ์ได้ไม่นาน จะคิดก่อความวุ่นวาย ก็เป็นเรื่องที่เป็นไปได้ จึงโบกมือให้คนทั้งหลายลุกขึ้น พร้อมแนะนำทายาทคนใหม่ให้เป็นที่รู้จักกัน “นี่คือ โจชง ลูกชายของข้าอีกคนหนึ่ง มาคารวะโจผี พี่ชายของเจ้าสิ”
โจชงก้าวออกมาอย่างลังเลใจตามประสาเด็ก แต่โจผีกลับอ้าแขนสวมกอดน้องชายต่างมารดาอย่างออกนอกหน้า ยิ่งทำให้โจโฉมั่นใจว่า เรื่องนี้มีพิรุธอย่างแน่นอน เพราะโจผี ขึ้นชื่อว่าเป็นคนโหดเหี้ยม ไร้น้ำใจ ไม่สมควรจะแสดงออกเช่นนี้
กาเซี่ยงเห็นสีหน้าของโจโฉผิดปกติ พอเดาออกว่า คิดเห็นเช่นไร จึงรีบกระซิบแก้ไขให้ “ท่านโจผีได้รับความสะเทือนใจที่ท่านโจเจียง น้องชายที่อยู่ร่วมกันมานาน กลายเป็นลูกขบถลิโป้ และป่วยตายไปในคุกอย่างอนาถา เพื่อไม่ให้แปดเปื้อนมาถึงสกุลโจ ซ้ำยังได้รับข่าวการสาบสูญไปอย่างกระทันหันของท่านโจโฉ จนกินไม่ได้นอนไม่หลับมาหลายวัน จิตใจจึงพลอยอ่อนโยนลงกว่าเดิมมากนัก ข่าวคราวของโจชงก็ถูกแจ้งมาล่วงหน้าก่อนแล้ว ทำให้ทำใจยอมรับได้ง่ายขึ้น”
โจผีรู้สึกตัว เห็นว่าผิดท่า จึงฉวยจังหวะที่กาเซี่ยงออกมาแก้เกี้ยวให้ รีบบีบน้ำตาออกมาท่วมหน้า “ถูกต้องแล้ว ท่านกุนซือใหญ่ ภายในเมืองหลวง เกิดปัญหาต่างๆประดังกันเข้ามาทุกวี่วันไม่หยุดหย่อน นับว่าเป็นช่วงเวลาที่เลวร้ายยิ่งนัก”
โจผีลอบสังเกตเห็นสีหน้าของโจโฉผ่อนคลายลง ค่อยแอบโล่งอก พลันนึกถึงบทกลอนที่ตนเองเคยต่อเล่นกันกับบิดาและโจสิด เมื่อหลายปีก่อน น่าจะเหมาะกันกับเรื่องราว จึงรีบเอี้อนคำต่อ
“คือเชื้อไฟใช้เถาถั่วคั่วถั่วร้อน ฝักถั่ววอนร้อนรุ่มเพลิงรุมไล่
เดิมร่วมรากจากดินถิ่นเดียว..ไย เผาผลาญให้ชีวันพลันมลาย”
โจโฉย้อนนึกถึงเหตุการณ์ที่ตนเองนั่งล้อมวงกินอาหารว่างกันกับนางเปียนสี และลูกชายทั้งสี่ โจผี โจเจียง โจสิด และโจหิม ที่สวนหลังปราสาทนกยูงในฤดูร้อนครั้งนั้น นับเป็นช่วงเวลาหนึ่งที่มีความสุขที่สุดในครอบครัว แต่มาบัดนี้ ผู้คนเริ่มทะยอยลาจากไปด้วยสาเหตุแตกต่างกัน จึงถอนหายใจ โบกมือให้เคลื่อนพลกลับเมืองหลวง ค่อยสะสางเรื่องราวอื่นๆในภายหลัง
แฮหัวตุ้น ในฐานะสมุหกลาโหม ผู้ดูแลกองทัพโดยตรง แยกตัวออกไปยังฐานทัพนอกเมือง เพื่อสืบหาผู้มีส่วนเกี่ยวข้องในการออกคำสั่งโยกย้ายกองทหารเกณฑ์ใหม่ จนพบสัญลักษณ์ป้ายอาญาสิทธิ์สีทอง โดยผู้ที่ใช้ป้ายนำคำสั่งลับมานั้น คือ เอียวสิ้ว กุนซือทัพตะวันตก ทายาทขุนนางเก่าเอียวปิดเอียวปิว
พอสืบค้นข้อมูลต่อเนื่อง หลังจากถ่ายทอดคำสั่งเสร็จแล้ว ตัวเอียวสิ้วก็รีบอพยพครอบครัวเดินทางไปสู่เมืองฮันต๋งทันทีตั้งแต่เมื่อวาน คงยากจะตามทันในช่วงเวลาสั้นๆ แสดงว่า ต้องมีส่วนรู้เห็นกับเหตุการณ์ดักสังหารอย่างแน่นอนแล้ว
ป้ายระดับสีทองนี้ มีอยู่เพียงสามป้าย กษัตริย์เหี้ยนเต้ป้ายหนึ่ง วุยก๋ง โจโฉป้ายหนึ่ง และตัวมันเองในฐานะสมุหกลาโหมป้ายหนึ่ง การสืบค้นก็ไม่น่าจะยากเย็นนัก แฮหัวตุ้นล้วงอกเสื้อตรวจสอบ ก็พบป้ายสำคัญของตนเอง ทำให้ค่อยวางใจลงได้บ้าง พอนำมาเทียบกัน ก็ไม่ผิดเพี้ยน แสดงว่า เป็นป้ายของจริง เพียงแต่ว่า เป็นของผู้ใดแล้ว
แฮหัวตุ้นรีบนำความไปรายงานต่อโจโฉถึงในห้องหนังสือภายในที่พัก ซึ่งมีเพียงโจผี กาเซี่ยง สุมาอี้ และโจหยิน นั่งพูดคุยปรึกษางานกันอยู่ โดยมีขุนพลซิหลง เตียวคับยืนเฝ้าระวังเป็นองครักษ์ชั่วคราวแทนเคาทูที่ยังไม่ทุเลาดี
โจโฉจึงลองเปิดกลไกที่ตู้หนังสือ กลับพบเห็นว่า กล่องใส่ป้ายอาญาสิทธิ์ของตนเองว่างเปล่าจริงๆ แสดงว่า ช่วงที่ตนเองโดนม้าเท้งสวมรอยมานานนั้น อาจจะโดนใครบางคนเข้ามาขโมยเอาป้ายไปแล้ว และป้ายนั้นก็ถูกเอียวสิ้วใช้สั่งการให้มาสังหารตนเองจนเกือบตายแบบงมงายไปแล้ว หากมิใช่กาเซี่ยงออกอุบายถ่วงเวลา ขบวนติดตามจากอ้วนเซีย ก็คงถูกสังหารจนหมดสิ้น ก่อนที่พวกโจผี แฮหัวตุ้นจะมาช่วยได้ทันเวลา
กาเซี่ยง กุนซือเงาปีศาจในฐานะกุนซือใหญ่ และกำลังเป็นที่ไว้วางใจมากที่สุด จึงกล่าวสรุปความ “ในเมื่อป้ายนั้นเป็นของท่านเอง ก็คงถูกขโมยไปในช่วงที่ม้าเท้งสวมรอยปลอมตัวเข้ามา และเอียวสิ้วเป็นคนที่นำเอาไปใช้สั่งการให้กองทัพหัวเมืองมารอสังหารพวกเราที่ปลอมตัวเป็นขบวนขนส่งสินค้าอีกทอดหนึ่ง”
แต่แล้ว กาเซี่ยงกลับกล่าวต่อไป “ทุกคนล้วนทราบว่า เอียวส้ิวเป็นคนสนิทของโจสิด หากท่านวุยก๋งถูกสังหารตายไปเช่นนี้ โจสิดก็จะต้องมีมลทินโดยตรง ดังนั้น คนสั่งการอาจจะเป็นคนอื่นที่ได้ผลประโยชน์จากการนี้ หรือเป็นตัวโจสิดซ้อนแผนเอง ก็เป็นได้”
โจโฉ ขมวดคิ้วหนัก เพราะคำสรุปมีเค้าความเป็นไปได้มากทีเดียว ในขณะที่โจผี แฮหัวตุ้น และสุมาอี้ กลับเริ่มกังวลใจที่เรื่องราวคลี่คลายไปเช่นนี้ เพราะหากสืบสาวกันแล้ว แต่ละคนล้วนเข้าข่ายผู้ต้องสงสัยได้ทั้งสิ้น เกรงว่า หากโจโฉเกิดระแวงขึ้นมา ตนเองก็อาจจะเดือดร้อนขึ้นมาได้
“หากจับตัวเอียวสิ้วมาสอบถาม ก็คงจะรู้ได้ว่าใครคือผู้บงการ ในเมื่อเอียวสิ้วหนีไปแล้ว ถ้าเช่นนั้น ท่านวุยก๋งออกคำสั่งให้โจสิดแสดงความจริงใจส่งตัวเอียวสิ้วกลับมาไต่สวนกันก่อนเถอะ” สุมาอี้แสดงความเห็นบ้าง
“จับพยานสำคัญเป็นเรื่องเร่งด่วน ภายในสามวัน โจผี แฮหัวตุ้น และสุมาอี้ จงนำกองทัพสามหมื่นนาย ชูธงประจำทัพของข้า รีบออกเดินทางไปเมืองฮันต๋ง สั่งให้โจสิดมอบตัวเอียวสิ้วกลับมาไต่สวนที่เมืองหลวง ใครขัดขืน ให้ฆ่าได้ทุกคน หากกำลังทหารไม่เพียงพอ อนุญาตให้ขอคนเพิ่มจากโจหองที่เตียงอันมาช่วยเหลือได้เต็มที่ ทางด้านเมืองหลวง ให้โจหยิน ซิหลง เตียวคับ ช่วยกันดูแลรักษาความเรียบร้อยแทน” โจโฉ ผู้มากระแวงเริ่มคล้อยตาม จนพลอยสงสัยในความจงรักภักดีของโจสิดไปด้วย ถึงกับให้จัดทัพใหญ่ออกไปราวกับจะทำศึกสายเลือดกันเองแล้ว
ทั้งหมดออกจากห้องหนังสือไปหมดแล้ว แม้แต่ซิหลง เตียวคับที่ทำหน้าที่องครักษ์ เหลือเพียงโจโฉกับกาเซี่ยงนั่งจิบน้ำชา เล่นหมากล้อมกันตามลำพัง โจโฉจึงสอบถามอีกครั้ง “สามคนถูกส่งตัวออกไปจากตำแหน่งที่มั่นตามแผนการที่เจ้าบอกไว้แล้ว สมควรจะเพียงพอ ใช่หรือไม่”
กาเซี่ยงขบคิดก่อนค่อยกล่าวตอบ “หากคนผู้นั้นฉวยโอกาสออกมาเคลื่อนไหว นั่นก็แสดงว่า ใช่ตัวการแน่แล้ว เพราะข้างกายท่านก็เปราะบางนัก เหลือเพียงโจหยิน ซิหลง เตียวคับ กับเคาทูที่บาดเจ็บสาหัสเท่านั้นเอง แผนการนี้สุ่มเสี่ยง แต่ก็รวบรัด คนที่สั่งการเอียวตันได้นั้น มีไม่กี่คนหรอก ดังนั้น หากใครพลาดพลั้งก็จบสิ้นกันในครั้งนี้”
โจโฉหยิบป้ายสีทองมาพิจารณาด้านหลังอีกครั้ง ป้ายทุกป้ายเป็นมันสั่งให้จัดทำขึ้นมาเองในภายหลัง โดยแอบทำสัญลักษณ์ซ่อนไว้ในลวดลายด้านหลังป้าย ป้ายของมันเป็นคำว่า โฉ ป้ายของแฮหัวตุ้น เป็นคำว่า ตุ้น แต่ป้ายที่มันถืออยู่นี้ กลับเป็นคำว่า เหียบ สมควรเป็นป้ายของเล่าเหียบ ฮ่องเต้คนปัจจุบันถือครอง
ย้อนกลับไปหลังจากการประชุมลับที่วัดป่าน้อยที่สอง มีเพียงกาเซี่ยงกับเอียวสิ้ว ที่เร่งรีบเดินทางกลับสู่เมืองหลวง รอคอยจังหวะความเปลี่ยนแปลงของการจับตัวประกัน แต่แล้ว สุมาอี้กับแฮหัวตุ้น กลับนำข่าวแผนการที่ล้มเหลวมาพร้อมกับการหายสาบสูญไปของโจโฉ ทำให้เกิดช่วงสูญญากาศทางการเมืองขึ้นในเมืองหลวงอย่างลับๆ
สุมาอี้เกาะกุมโจผีไว้อย่างเด่นชัดในฐานะศิษย์อาจารย์ ในขณะที่กาเซี่ยงยังลอยตัว ดูสถานการณ์โดยรอบอย่างสงบนิ่ง เอียวสิ้วซึ่งมีสายสัมพันธ์กับโจสิดมากเป็นพิเศษ จึงคิดหาช่องทางแสวงหาอำนาจเพิ่มเติมให้กับตัวเองบ้าง แต่โจสิดอยู่ไกลถึงเมืองฮันต๋ง คงไม่อาจ และไม่สมควรจะเดินทางมาที่เมืองหลวงในช่วงเวลานี้
คาดไม่ถึง จูกัดเอี๋ยน หัวหน้าองครักษ์วังหลวงกลับเป็นฝ่ายก้าวเข้ามาหาตัวมันเอง ผ่านทางเอียวตัน ตุลาการใหญ่ พร้อมกับชักนำให้พวกมันเข้าเฝ้ากษัตริย์เหี้ยนเต้เป็นการลับ ในฐานะทายาทของเอียวปิว เอียวปิด สองพี่น้องอดีตขุนนางผู้ใหญ่แห่งราชวงศ์ฮั่น
กษัตริย์เหี้ยนเต้กำลังต้องการคนที่มีปัญญา เพื่อเข้ามาร่วมกันกอบกู้แผ่นดินฮั่น หลังจากโจโฉตัวปลอมได้ออกคำสั่งประหารรัชทายาทเล่าสือ ฮกอ้วน และขุนนางนายทหารที่ใกล้ชิดไปมากมาย ทำให้กำลังสายราชวงศ์อ่อนแอตามไปด้วย เหี้ยนเต้จึงได้แต่แสร้งหมกมุ่นในสุรา มัวเมาในการละเล่น เพื่อไม่ให้ฝ่ายอื่นๆเฝ้าระวังตัว โดยเฉพาะพระสนมโจที่อยู่ใกล้ชิดในวังหลวงด้วยกัน โดยที่จริงแล้ว กษัตริย์เหี้ยนเต้ ยังคงเพาะบ่มผู้คนกลุ่มใหม่ไว้ในหมู่นักแสดงขึ้นมาอีกครั้ง
 
เอียวสิ้ว แอบชั่งใจเลือกข้างที่ตนเองเฝ้าใฝ่ฝันถึง การเข้าใกล้กับอำนาจสูงสุดอย่างกษัตริย์เหี้ยนเต้ ย่อมจะโดดเด่นกว่าเด็กน้อยโจสิด หรือ นิกายแสงจรัสที่เพิ่งเกิดเรื่องล้มเหลวครั้งใหญ่ ดังนั้น จึงตอบตกลงในทันที โดยไม่รู้ว่า จูกัดเอี๋ยนที่ยืนอยู่ด้านข้่างนั้น ก็เป็นคนหนึ่งในสายของขงเบ้ง กลุ่มทายาทมังกรแห่งเครือข่ายสุมา อยู่ดี
เอียวสิ้วนึกฝันว่า จากการตัดสินใจครั้งนี้ ตัวเองจะถีบทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้า หากแต่เป็นการเปิดประตูลงสู่นรกของตนเองไปเสียแล้ว โดยงานชิ้นแรกในสังกัดของกษัตริย์เหี้ยนเต้ ที่จูกัดเอี๋ยน หยิบยื่นมาให้ คือ การนำป้ายอาญาสิทธิ์สีทอง ที่มีอำนาจเคลื่อนย้ายกองทัพ ไปสั่งการให้ทหารเกณฑ์ใหม่จากเมืองเสเหลียงสองกองร้อย ออกเดินทางไปรอสังหารขบวนพ่อค้ากลุ่มใหญ่ที่กำลังจะเดินทางมาถึงในวันรุ่งขึ้น คนเหล่านี้สมควรจะเป็นพวกเดนตายจากสมรภูมิเมืองอ้วนเซียปลอมแปลงมาก่อกวนในเมืองหลวง
หลังก่อการเสร็จสิ้น เอียวสิ้วพลันคิดได้ว่า ขบวนพ่อค้านี้อาจจะมีปัญหาต่อเนื่อง ไม่ว่าจะสำเร็จหรือล้มเหลว การที่มันออกหน้านำป้ายอาญาสิทธิ์ไปสั่งการ อาจกลับมาทำร้ายครอบครัวสกุลเอียวทั้งหมดได้ ดังนั้น จึงรีบนำความไปแจ้งต่อเอียวตันที่บ้านพัก เสนอให้โยกย้ายครอบครัวสกุลเอียวหลบหนีภัยสงครามไปก่อน
เอียวตันจึงสั่งการให้เอียวสิ้วนำพาคนอื่นไปหลบภัยที่เมืองฮันต๋ง หวังพึ่งพาบารมีของโจสิดยับยั้งเภทภัยการเมือง ส่วนตัวเองกับซินเหียนเอ๋งจะขอฮัวหิมไปซ่อนตัวอยู่ที่สำนักหอสมุดใต้หล้า และให้เอียวหงี น้องชาย นำเอียวกุ๋น เอียวเก๋า ทายาทเอียวสิ้ว แยกไปแอบซ่อนตัวที่ชายแดนเมืองเตียงอันเป็นการชั่วคราวก่อน หากมีเรื่องสุดวิสัย ก็ให้เอียวหงีนำพาทายาทรุ่นสามข้ามแดนไปสวามิภักดิ์ต่อฝ่ายเล่าปี่ มิให้สกุลเอียวสิ้นสูญ
นับว่าคนสกุลเอียวยังไหวตัวได้ทัน เพราะหากเอียวสิ้วย้อนกลับเข้าสู่เมืองหลวงในวันนั้น ก็จะถูกกลุ่มมือสังหารลึกลับที่รอคอยอยู่ สังหารตัดตอนปิดปากตามคำสั่งลับไปแล้ว
ที่ห้องทรงพระอักษรในเขตพระราชวัง กษัตริย์เหี้ยนเต้กำลังชื่นชมการฟ้อนรำของนางในอย่างเพลิดเพลิน จนกระทั่ง หัวหน้าองครักษ์จูกัดเอี๋ยนเดินเข้ามาทางด้านหลังอย่างคุ้นเคย จึงโบกพระหัตถ์ให้ทั้งหมดออกไป เพื่อพูดคุยกับคนสนิทเป็นการลับ
สีหน้าจูกัดเอี๋ยนราบเรียบ คุกเข่ายื่นส่งสิ่งของให้ พอพลิกมือขึ้น เห็นเป็นป้ายอาญาสิทธิ์สีทอง แสงเทียนด้านล่าง กลับสาดส่องไปยังตัวอักษร “โฉ” เล็กๆ อย่างชัดเจน แต่ทั้งสองคนกลับไม่ทันสังเกตพบ กษัตริย์เหี้ยนเต้ยิ้มระรื่น พร้อมรับป้ายมาเก็บไว้กับตัวเอง แต่จูกัดเอี๋ยนยังกล่าวรายงานความคืบหน้า และเสนอความคิดเพิ่มเติม แต่ทำให้กษัตริย์เหี้ยนเต้ ตาเป็นประกายแจ่มใส ลืมเลือนความผิดพลาดของแผนปิดปากแพะรับบาปไป
สามวันผ่านไป โจโฉพยายามเข้าวังเพื่อแจ้งความการเคลื่อนทัพต่อกษัตริย์เหี้ยนเต้ตามธรรมเนียมปฏิบัติ หากแต่ขันทีแจ้งว่า ฮ่องเต้ป่วยเป็นไข้ ไม่สะดวกที่จะออกว่าราชการติดต่อกัน จนถึงกำหนดการเคลื่อนทัพ โจโฉจึงได้แต่ยืนยันคำสั่งที่ประกาศออกไปแล้ว ส่งทัพโจผี แฮหัวตุ้น และสุมาอี้ ไล่ล่าเอียวสิ้ว ก่อนจะเกิดเหตุลุกลามจากฝั่งตะวันตก
เพิ่งผ่านพ้นไปเพียงหนึ่งค่ำคืน วันรุ่งขึ้น พระราชโองการจากกษัตริย์เหี้ยนเต้ก็มาถึงที่พัก ถือเอาฤกษ์ดีที่โจโฉกลับคืนสู่เมืองหลวงอย่างเป็นทางการ ประกาศเลื่อนตำแหน่งให้วุยก๋ง โจโฉ ขึ้นเป็น วุยอ๋อง คงตำแหน่งผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์เช่นเดิม นับเป็นตำแหน่งเกียรติยศสูงสุดที่ไม่เคยมีสามัญชนคนใดก้าวมาถึงขั้นนี้มาก่อน
แต่ที่ร้ายกาจยิ่งกว่า คือ การปรับให้โจผี พ้นจากรักษาการเจ้าเมืองฮูโต๋ ก้าวขึ้นมาเป็นวุยก๋ง รั้งตำแหน่งพระมหาอุปราชแทนที่ตำแหน่งเดิมของบิดา กลายเป็นการให้ความสำคัญต่อสายเลือดเดียวกันมากกว่าความเป็นอาวุโส หรือ ผลงานที่แท้จริง ราวกับจะแสดงให้เห็นว่า ฮ่องเต้กลัวเกรงบารมีคนแซ่โจถึงขีดสุดแล้ว
นอกจากนี้ ยังมีคำสั่งให้แฮหัวตุ้น สมุหกลาโหม ขึ้นเป็นเจ้าพระยาปราบอุดร คงตำแหน่งสมุหกลาโหม ให้แฮหัวเอี๋ยน เป็นเจ้าพระยาปราบประจิม รั้งตำแหน่งสมุหนายก ให้โจหยิน เป็นเจ้าพระยาปราบทักษิณ รั้งตำแหน่งสมุหราชเลขาธิการ และ ให้โจหอง เป็นเจ้าพระยาปราบบูรพา รั้งตำแหน่ง ขุนคลัง เพิ่มเติมตำแหน่งใหม่ขึ้นมา เป็นการรื้อฟื้นระบบซานกงในอดีตให้กับสี่เจ้าพระยากลุ่มใหม่
ที่จริงแล้ว การเลื่อนขั้นเลื่อนตำแหน่ง ย่อมเป็นอำนาจสิทธิ์โดยชอบธรรมของพระเจ้าแผ่นดินอยู่แล้ว โดยเฉพาะตำแหน่งต่างๆ ก็เป็นตำแหน่งเดิมๆที่เคยมีมาก่อน เพียงแต่เว้นหายไปเนิ่นนานเพราะกระแสการเมืองที่เปลี่ยนไป ดังนั้น พอเกิดการเปลี่ยนแปลงเช่นนี้เกิดขึ้น กระแสการเมืองในวงราชการเมืองหลวงจึงปั่นป่วนวุ่นวายไม่น้อย โดยเฉพาะการยกย่องโจผีขึ้นมาเป็นอันดับสองอย่างออกนอกหน้าเร็วเกินไป
หากความสัมพันธ์ระหว่างโจโฉกับสี่เทวะไม่แข็งแรงพอ การยั่วยุด้วยอำนาจเช่นนี้ อาจก่อให้เกิดมรสุมทางการเมืองขึ้นมาได้ง่ายๆ โดยเฉพาะช่วงที่แฮหัวตุ้น แฮหัวเอี๋ยนที่มีอำนาจโดยตำแหน่ง และกำลังพลอยู่ในมือรวมกันมากกว่าห้าหกหมื่นนาย อีกทั้ง โจผี โจสิด อยู่ในเงื้อมมืออย่างเช่นในเวลานี้
จากเดิมที่สี่เทวะเคยมีอำนาจบารมี เพียงรองจากโจโฉ กลับเกิดทายาททางสายเลือด โจผี กระโดดข้ามขั้นขึ้นมา บางที เครือญาติกันก็อาจขัดเคืองเอาง่ายๆ ได้เช่นกัน และสี่เทวะเองก็ขึ้นชื่อเรื่องความหยิ่งทะนงในศักดิ์ศรี แม้แต่ช่วงที่เกิดสุญญากาศ โจโฉหายตัวไป โจผีและแฮหัวตุ้นเอง ก็ยังสงวนท่าทีอย่างเกรงใจมาโดยตลอด
หากแม้นแฮหัวตุ้นฉวยจังหวะ สมคบคิดกันก่อกบฏแล้วไซร้ สกุลโจสายโจโฉคงหมดสิ้นในคราวเดียว พระราชโองการฉบับเดียว กลับก่อกวนโจโฉจนหัวหมุนตาลาย กาเซี่ยงที่อยู่ใกล้ตัวต้องรีบตรงเข้าประคองตัวไว้ พลางขบคิดในใจ “หมากก้าวนี้ ช่างลึกซึ้งยิ่งนัก ลงมือคล้ายไม่ตั้งใจ แต่แรงกระเพื่อมกลับรุนแรงยิ่งนัก เป็นความคิดของกษัตริย์เหี้ยนเต้หรือคนแซ่จูกัดผู้นั้นหนอ”
ณ สำนักห้องสมุดใต้หล้า เคาก้าน ปราชญ์ชราเพิ่งแยกทางจากพวกฮัวหิม ซุนต่ำ เพื่อกลับเข้าห้องพัก หลังจากร่วมประชุมรับรองการเข้ามาหลบซ่อนตัวในห้องลับของเอียวตัน ซินเหียนเอ๋ง สองสามีภรรยา ผู้เป็นบุตรเขย บุตรสาวของฮัวหิม
นับจากที่อองลอง ประมุขตัวจริงถูกเกณฑ์ตัวไปกับกองทัพตะวันตกมาหลายปี การบริหารงานของสำนักจึงตกทอดมายังซุนต่ำแห่งเจ็ดเมธีสัจธรรมแทน เคาก้าน อ้วนยู แม้อยู่ในสถานะผู้อาวุโส แต่ไม่ต้องการยุ่งเกี่ยวงานจำเจมากนัก จึงค่อยคลายใจ
เคาก้านพบเห็นซองจดหมายลึกลับวางอยู่บนโต๊ะ จึงเปิดอ่าน สีหน้าพลันถอดสี “เคาเจ้งตายแล้ว ยามนี้ เหลือเพียงเรา ท่าน และตัวมฤตยูผู้นั้น - เฉียว”
เคาก้านหรุบตาหายใจลึก นับนิ้วพยากรณ์ชะตากรรมตนเอง แล้วได้แต่ถอนหายใจ
...

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา