27 ก.ค. 2021 เวลา 10:47 • ครอบครัว & เด็ก
ฉันคือคุณแม่สาย Mindfulness ตอนที่ 2
ฉันคือคุณแม่สาย Mindfulness ตอนที่ 2
จากตอนที่ 1 ก็พอจะรู้จักกันไปบ้างแล้ว
มาต่อตอนที่ 2 กันเลยนะคะ
การพาตัวเองมารู้จักกับ Mindfulness
ก็มาจากการตั้งคำถามกับตัวเองว่า
ฉันจะเป็นคุณแม่ที่มีความสุขได้อย่างไร?
มีวิธีไหนบ้างที่จะทำให้ฉันแก้ปัญหา
ด้านอารมณ์ของฉันได้?
มีการฝึกปฏิบัติแบบไหนที่จะทำให้ฉัน
เปลี่ยนความคิดตนเองได้แบบไม่ฝืน?
มีอะไรที่จะช่วยให้ฉันมีพฤติกรรม
ที่น่ารักกับลูกและมีวินัยกับตนเอง
แบบอัตโนมัติได้บ้าง?
มันมีวิธีบ้างไหมกับการแก้ปัญหา
ที่ฉันเจออยู่
เพราะปัญหานั้นมันทำให้ฉันเริ่มจะกลาย
เป็นคุณแม่ที่สติแตกกับอารมณ์
ของตนเอง
ฉันไม่สามารถควบคุมอารมณ์โมโห
ในตอนที่ลูกไม่เชื่อฟังหรือเล่นของเล่น
แล้วไม่เก็บจนบ้านรกแทบไม่มีที่เดิน
ฉันคุมตัวเองไม่อยู่ที่จะใช้เสียงดัง
ตะคอกหรือตะโกนใส่ลูกตอนที่ห้ามลูก
แล้วลูกยิ่งทำในสิ่งนั้น
ฉันไม่ต้องการที่จะเป็นคุณแม่ใจร้าย
ที่มันเป็นภาพฝั่งลงไปในความทรงจำลูก
และนี่เป็นเพียงปัญหาของคนเป็นแม่
กับคำถามเพื่อที่จะหาคำตอบให้ฉัน
เป็นแม่ที่ดีขึ้น
แต่มันมีมากกว่านั้นที่ผู้หญิงคนนี้ที่
อยู่ในฐานะคนเป็นแม่ยากรู้ ลึกลง
ไปในความหมายของการมีชีวิตอยู่
ความยากรู้ของผู้หญิงคนหนึ่ง
ที่มีความขึ้นลงกับอารมณ์ที่
แปรปรวนของตัวเองอยู่ตลอด
เวลาว่า "ฉันเกิดมาทำไม"
ฉันเกิดมาเพียงเป็นภาระของพ่อแม่
ในตอนเด็กและมีหน้าที่เรียนให้จบ
เมื่อเป็นวัยรุ่น เรียนให้เก่ง ได้เกรดดีๆ
ตามที่พ่อแม่คาดหวัง
จบมาก็ให้รีบหางานทำเป็นอาชีพที่สุจริต
ให้ขยัน ตั้งหน้าตั้งตาหรือก้มหน้าก้มตา
เอาเวลาและแรงกายแรงสมองของตนเอง
ทำงานให้ดีที่สุด เพื่อค่าตอบแทนที่คนส่วนใหญ่
ถือว่านั้นคือ ที่สุดของชีวิตคือ "เงิน" และการได้รับ
การเลื่อนตำแหน่งให้ใหญ่ขึ้น ในวัยทำงาน
เพื่อเป็นหน้าเป็นตาของวงศ์ตระกูล
ที่เราถูกสอนกันมาอย่างนั้น
โดยหลงลืมความต้องการที่แท้จริง
ของตนเอง หลงลืมความสุขจริงๆ
ของตนเองไปเรื่อยๆ
เพราะมุ่งแต่เป้าหมายความสำเร็จ
ในหน้าที่การงาน การเงินที่คนส่วนใหญ่
เรียกกันว่าความมั่นคงในชีวิต
โฟกัสความสำเร็จของตนเองที่หลง
คิดไปว่านั้นคือสิ่งที่ควรทำที่สุด
สิ่งอื่นรอได้ เอาไว้ก่อน
จนลืมคนรอบข้าง ลืมเวลาคุณภาพ
ของพ่อ แม่ พี่น้อง ครอบครัว เพื่อนฝูง
ลืมแม้กระทั่งสุขภาพร่างกายและจิตใจ
ของตนเองเพราะความไม่รู้
จนบางครั้งสายเกินไปที่จะย้อนเวลา
กลับไปได้ว่าเวลาของพ่อแม่ที่เหลือ
อยู่นั้นมีจำกัด
ในวันที่เราประสบความสำเร็จ
ลมหายใจของท่านก็ไม่มีอยู่บนโลก
ใบนี้ซะแล้ว นี่คือเรื่องที่น่าเศร้า
ของคนที่หลงผิดและไม่รู้ความจริง
ว่าความหมายของชีวิตที่แท้แล้ว
มันคืออะไรกันแน่
ซึ่งเหตุการณ์ทั้งหมดนี้ก็คือ
ชีวิตของผู้เขียนนั่นเอง
จากที่ชีวิตพอจะประสบความสำเร็จ
ในหน้าที่การงานและการเงินแล้ว
ก็ถึงเวลาต้องมีครอบครัว แต่งงาน
มีลูก สร้างหลักปักฐานเพื่อที่จะสร้าง
ครอบครัวและอนาคตที่ดีของลูกเป็น
ลำดับต่อไป
และก็มองดูลูกเติบโตในขณะเดียวกัน
ตนเองก็เริ่มชราลงและตายจากโลกนี้ไป
ในที่สุด
และลูกของเราก็ใช้วงจรชีวิตเดียวกัน
มันแค่นั้นจริงๆ เหรอ กับการเกิดมาเป็น
มนุษย์บนโลกใบนี้
มันดูช่างไร้ซึ่งแก่นสารสาระ หาประโยชน์
อะไรไม่ได้เลย ดูแห้งแล้งเหลือเกิน
ชีวิตเรานั้นมันมีแค่นี้จริงเหรอ?
แล้วเราจะเกิดมาทำไม?
จนได้มาพบกับองค์ความรู้ที่ผู้รู้
หลายท่านที่เป็นครูบาอาจารย์
ที่ท่านได้ปฏิบัติแล้ว รู้แล้วและ
ได้ถ่ายทอดไว้
เพื่อให้คนที่มีคำถามเหล่านี้
ได้หาคำตอบกัน
คือการเรียนรู้ความจริงของชีวิต
จากการเข้าใจตนเอง เข้าใจถึงแก่น
แท้ของการมีชีวิต
ที่มันเป็นอีกมิติหนึ่งของการกำเนิด
ชีวิตมนุษย์ ซึ่งมันซ่อนอยู่ภายใน
ตัวเราที่เราไม่เคยรู้และ
ไม่เคยศึกษาวิธีเข้าใจตนเอง
เรียนรู้ตัวตนที่แท้จริง
ของตนเองเลย
ว่าการเกิดมานั้นมันมีสาระแก่นสาร
และทำประโยชน์ได้มากกว่าที่เรารู้
มากกว่าที่เราคิด
มากกว่าการวิ่งตามหาวัตถุสิ่งของ
เงินทอง ชื่อเสียง ความงาม กลิ่นลิ้มรส
สัมผัสที่น่าพึงพอใจ
ที่มันทำให้เราเกิดความสุข
ตอนที่ได้มันมาครอบครอง หรือตอบ
สนองความอยากของเราได้สำเร็จ
นั่นมันเป็นเพียงความเข้าใจผิด
ที่บรรพบุรุษถ่ายทอดความเชื่อสืบต่อ
กันมา
มันเป็นเพียงมิติหนึ่งของชีวิตภายนอก
ที่เราพากันสมมุติมันขึ้นมาเท่านั้น
ซึ่งมันจับต้องหยิบฉวยได้ง่าย
จึงทำให้เราคิดไปเองว่ามันคือ ความสุข
มันคือสิ่งที่ควรค่าแก่การยอมทุ่มเททั้งชีวิต
เพื่อให้ได้มันมา
แล้วการที่จะเรียนรู้หรือเข้าใจชีวิตหรือ
เข้าใจตนเองมันจะต้องทำอย่างไรและ
เมื่อเราเรียนรู้และเข้าใจแล้วยังไงต่อ?
Mindfulness คือคำตอบของการเข้าถึง
ตัวตนภายในเพื่อเข้าไปเรียนรู้ตนเองและ
เข้าใจตนเอง เรียนรู้การทำงานของความคิด
อารมณ์และจิตใจของตนเองตามความเป็นจริง
แต่มันก็ไม่ง่ายนักในการเข้าถึงตัวตนภายใน
มันต้องอาศัยการฝึกซึ่งการฝึกนี้ต้องอาศัยสมาธิ
แต่หากเราได้รู้วิธีและลงมือปฏิบัติแล้ว
สิ่งเหล่านี้จะไม่มีวันหายไปจากชีวิตเรา
ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นมันจะยังคงอยู่
เหมือนกับการฝึกว่ายน้ำ แม้เราไม่ได้ว่ายน้ำ
มา 10 ปี ถ้าเรากระโดดลงน้ำเราจะสามารถ
ว่ายน้ำได้ทันที
หรือเหมือนคนที่ฝึกหรือหัดขับรถเมื่อ
ขับรถเป็นแล้ว แม้ว่าไม่ได้ขับมาเป็น
เวลานาน พอให้ขับอีกครั้งก็จะสามารถ
ขับได้เลยอัตโนมัติ
เพราะฉะนั้น หากคุณแม่คนไหน
สนใจที่จะฝึก Mindfulness มันก็คุ้มค่า
กับการลงทุนเวลาศึกษาและฝึกฝนตนเอง
ในเบื้องต้น
ต้องอาศัยวินัยพอสมควรในช่วงแรก
จนเราสามารถเอาตัวรอดได้แล้ว
สามารถทำได้อย่างคล่องแคล้วแล้ว
มันก็จะเป็นอัตโนมัติมากขึ้น
หลังจากนี้ชีวิตคุณแม่จะมีแต่ชีวิตที่ดีขึ้นๆ
เพราะสำหรับผู้ที่ฝึก Mindfulness และ
เข้าใจมันอย่างถ่องแท้แล้ว
ยังไม่มีผู้ใดเลิกฝึกฝนตนเอง เพราะหากเรารู้
ว่าอะไรที่มันมีประโยชน์สำหรับเราแล้ว
ไม่มีใครยอมทิ้งสิ่งที่เป็นประโยชน์กับตนเอง
ไปง่ายๆ หรอก
เว้นแต่ว่าสิ่งนั้นไม่เป็นประโยชน์ที่แท้จริง
นี่คือความจริง ไม่ต้องเชื่อเพราะบทความนี้
ไม่ได้เขียนมาเพื่อให้เชื่อ แต่เป็นการเผยแพร่
จากประสบการณ์ตรง ท้าให้คุณพิสูจน์ด้วยตนเอง
หากจะเป็นประโยชน์กับคุณแม่หรือคนที่สนใจ
โปรดติดตามตอนต่อไป...
- เอ ปวีร์ลดา Mindfulness for Moms
#MotherSayStory #Mindfulness #MindfulnessForMoms #Meditation #Concentration #Awareness #Peaceful #Powerful #Freedom #Smart #Wisdom #TheAwakenToFreedom

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา