30 ส.ค. 2021 เวลา 00:00 • นิยาย เรื่องสั้น
“โป๊มั้ยพี่?”
Blockdit Originals ซีรีส์บทความพิเศษ
2
สมัยผมมากรุงเทพฯใหม่ ๆ ในปี 2516 แถวสนามหลวงมีแผงหนังสือเรียงราย เป็นแถว เป็นแหล่งขายหนังสือที่มีคนพลุกพล่านแห่งหนึ่ง
บางช่วงเมื่อเดินดูหนังสือ ก็มีเจ้าของแผงเข้ามาถามว่า “โป๊มั้ยพี่?” งงไปชั่ววูบ ใครโป๊?
6
ในที่สุดก็รู้ว่าเขาถามว่า สนใจซื้อนิตยสารโป๊ไหม เวลานั้นนิตยสารโป๊เป็นของต้องห้าม มีหลายประเภท ตั้งแต่นิตยสาร
หญิงสาวนุ่งน้อยห่มน้อย จนถึงเปลือย และหนังสือเซ็กซ์ที่เรียกว่าปกขาว เป็น ของต้องห้าม ผิดกฎหมาย
1
ครั้นมีโอกาสไปใช้ชีวิตในสหรัฐอเมริกา เห็นนิตยสารพวกนี้เกลื่อนเมือง ล้นแผง การซื้อนิตยสารโป๊ที่สหรัฐฯ ต้องบรรลุนิติภาวะ ถ้าคนขายไม่แน่ใจ ก็ ต้องขอดูบัตรประชาชน
ครั้งหนึ่งผมไปเดินดูร้านหนังสือโป๊ในเมือง ทั้งร้านมีหนังสือโป๊เต็มทุกมุมร้าน มากมายจนเหมือนห้องสมุดหนังสือโป๊ วัยรุ่นคนหนึ่งเดินเข้าไป เจ้าของร้านไล่ออกไปทันที เพราะโทษของการขายนิตยสารโป๊ให้เด็กสูงมาก
2
สหรัฐฯให้เสรีภาพในการเสพนิตยสารโป๊อย่างเต็มที่ แต่ห้ามเด็กเกี่ยวข้องกับนิตยสารโป๊อย่างเด็ดขาด
2
ถ้าสังเกตความแตกต่างของไทยกับสหรัฐฯ ปกนิตยสารโป๊ในอเมริกา ‘เรียบร้อยมาก’ นางแบบแต่งตัวปกติ แต่ภายใน ‘จัดเต็ม’ ขณะที่บ้านเรามักทำปากหวือหวาเต็มที่ แต่ภายในไม่ค่อยมีอะไร
6
ในยุค 2520-2540 บ้านเรามีนิตยสารโป๊รูปแบบต่าง ๆ เกลื่อนแผงหนังสือ ในร้านอาหารญี่ปุ่นหลายร้านนอกจากอาหารแล้ว ก็มีนิตยสารโป๊ อาจไม่ใช่นิตยสารโป๊จริงจัง แต่ดูเหมือนนิตยสารแต่ละปกที่มาวาง ต้องมีรูปหญิงสาวนุ่งน้อยห่มน้อย
2
สนามหลวงยุคที่มีแผงหนังสือ (ภาพจากศิลปวัฒนธรรม)
รูปโป๊และหนังสือโป๊ไทยมีมาตั้งแต่เมื่อไร?
ในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 1 สยามส่งทหารไปรบที่ยุโรป ทหารเหล่านี้กลับมาพร้อมโปสการ์ดฝรั่งเศส เป็นรูปผู้หญิงเปลือยต่าง ๆ
ต่อมาก็มีการแทรกรูปโป๊เข้าไปในเล่มหนังสือโป๊ เป็น ‘2 in 1’ นี่อาจจะเป็นกำเนิดหนังสือโป๊ในเมืองไทย ที่อยู่คู่บ้านคู่เมืองมาจนวันนี้ แม้แต่ในช่วงสงครามโลกซึ่งขาดแคลนกระดาษ นิยายโป๊และรูปโป๊ก็ยังผลิตออกมาไม่หยุด
ส่วนหนังสือโป๊น่าจะเริ่มมาในราวปี พ.ศ. 2450 จากหลักฐานที่มี หนังสือโป๊ที่เก่าแก่ที่สุดของไทยน่าจะเป็น พระตำหรับโยนี ตีพิมพ์ใน ร.ศ. 126 (พ.ศ. 2450) เพียง 200 เล่มเท่านั้น
1
แต่มีความเห็นแย้งว่า พระตำหรับโยนี ไม่น่าเข้าข่ายหนังสือโป๊ ​เป็นตำรามากกว่า น่าจะประมาณ The Joy of Sex ของฝรั่งซึ่งเป็นตำราทางเพศ
1
เชื่อกันว่านิยายโป๊ที่เก่าแก่ที่สุดของไทยคือ กล่อมครรภ์ ราว ๆ ปี 2460
3
วิทยานิพนธ์เรื่อง บุรุษบันเทิง: สื่อบันเทิงกามารมณ์ในสังคมไทย ทศวรรษ 2450-2500 โดย อาชญาสิทธิ์ ศรีสุวรรณ เขียนว่า “ทศวรรษ 2450-2460 นับเป็นช่วงที่ ‘เรื่องอ่านเล่น’ เฟื่องฟูยิ่งนัก ระยะเดียวกันนี้เองได้ปรากฏหนังสือ ‘ความเรียงเรื่องโป๊’ ซึ่งแปลหรือแปลงมาจากภาษาต่างประเทศ พิมพ์เผยแพร่ออกจำหน่าย...
3
พระตำหรับโยนี ตีพิมพ์ใน ร.ศ. 126 (ภาพจาก เอนก นาวิกมูล )
“ความเรียงเหล่านั้นมีลักษณะ ‘โป๊อย่างฉกาจล้ำยุค เพราะบรรยายเหตุการณ์ต่าง ๆ โดยละเอียดลออ แถมไม่มีการปิดบังหรืออำพรางอะไรหมดด้วยซ้ำ’...”
3
หนึ่งในงานเหล่านั้นคือนิยายเรื่อง กล่อมครรภ์ ผลงานของ ครูเหลี่ยม
วงการวรรณกรรมไทยรู้ดีว่า ครูเหลี่ยมเป็นผู้เขียนนวนินายเรื่อง ความไม่พยาบาท ในปี 2458 เชื่อกันว่าเป็นนวนิยายเรื่องแรกของไทย
2
ครูเหลี่ยม วินทุพราหมณกุล หรือ หลวงวิลาศปริวัตร (พ.ศ. 2422-2506) นักเขียนชาวกรุงเทพฯ จบการศึกษาแผนกภาษาอังกฤษ จากโรงเรียนพระตำหนักสวนกุหลาบ เรียนต่อที่โรงเรียนฝึกหัดครู ต่อมาเป็นครูที่โรงเรียนราชกุมาร ในพระบรมมหาราชวัง ปี 2440 กระทรวงธรรมการส่งไปศึกษาวิชาครู ณ ประเทศอังกฤษกลับจากต่างประเทศ เข้ารับราชการเป็นครูแปลตำราคำนวณ ประจำกรมศึกษาธิการ กระทรวงธรรมการ และเป็นครูโรงเรียนฝึกหัดอาจารย์ และครูชั้น 7 โรงเรียนสวนกุหลาบ
3
กล่อมครรภ์ เป็นนิยายโป๊ที่บรรยายฉากเซ็กซ์อย่างโจ๋งครึ่ม เนื้อเรื่องคือหญิงคนหนึ่งต้องการทำแท้ง จึงไปหาหมอเถื่อน ‘นายแพทย์เยมส์’ เธอถูกหมอหลอกให้มีเซ็กซ์ โดยบอกว่ามันคือวิธีทำแท้ง ขณะมีอะไรกันในโรงนาน แคร่เกิดหัก หญิงสาวตกลงมาแท้งพอดี
16
เราไม่รู้แน่ว่านี่เป็นเรื่องแปลหรือเรื่องแต่งขึ้นเอง และใช้ตัวละครอังกฤษเพื่อเลี่ยงข้อหาทำลายศีลธรรมอันดีของสังคม
หลังจาก กล่อมครรภ์ ก็มีหนังสือแนวนี้ตามมาเป็นชุด เป็นหนังสือที่ชื่อคล้องจองกัน : กล่อมครรภ์ พนันชม พรหมจารี ดรุณีประวัติ
1
อีกเล่มหนึ่งคือ ผจญบอ (Maniacism) ในชุด ‘ลอนดอนเนอร์’ ปกโปรยว่า ‘เรื่องเร้นซึ่งยังไม่เคยถูกแสดง’ ราคา 50 สตางค์ แม้ในเล่มไม่ระบุนามผู้เขียน แต่อ่านจากสำนวนการเขียน เชื่อว่าเป็นผลงานของครูเหลี่ยม
4
คำนำในการพิมพ์ครั้งแรกของ กล่อมครรภ์ ปี 2466 เขียนว่า
กล่อมครรภ์ ผลงานของ ครูเหลี่ยม (ภาพจาก ธงชัย ลิขิตพรสวรรค์)
“เนื่องจากมีผู้ต้องการศึกษาในเรื่องโลกีย์ศาสตร์เป็นจำนวนมาก ได้ขอร้องให้ข้าพเจ้าแปลนิยายพิศวาทจากที่เคยอ่านพบในยามไปศึกษาวิชา ณ ต่างประเทศ โดยถอดออกเป็นภาษาไทย เพื่อให้ชาวไทยที่ไม่เคยผ่านไปต่างประเทศได้มีทางรู้ถึงขนบธรรมเนียมของพวกฝรั่งว่าเป็นอย่างไรบ้าง ประกอบกับนิยายพิศวาทเหล่านี้ ในต่างประเทศสมัยนั้น เขาพิมพ์จำหน่ายกันแพร่หลายทั่วไป จึงสมควรจะได้ถ่ายทอดออกมาเป็นภาษาไทย ให้ชาวสยามได้ศึกษาทั่วกัน”
แต่หลายคนไม่สบายใจ
หลังการแพร่หลายของ ‘โปสการ์ดฝรั่งเศส’ และเรื่องโป๊ภาพโป๊กลายเป็นส่วนหนึ่งของสังคม เกิดความวิตกว่ามันจะไปไกลเกินความเหมาะสม บางครั้งแพร่เข้าไปในมือนักเรียนและเยาวชน
ในปี 2471 จึงเกิดพระราชบัญญัติปราบปรามการทำให้แพร่หลายและการค้าวัตถุลามก พุทธศักราช 2471 เพื่อจัดการกับสิ่งพิมพ์ที่ไม่เหมาะสม
ช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 สิ่งพิมพ์โป๊ลดลงบ้าง เพราะขาดแคลนกระดาษ ก็ยังมีการพลิกแพลงผลิตด้วยวัสดุที่มี รวมทั้งกระดาษสา ระบบการพิมพ์ปรับเป็นพิมพ์ดีด ขนาดกว้างเท่ากระดาษฟูลสแก็ป พิมพ์โรเนียว ปรากฏในร้านตัดผมชาย แล้วแพร่ออกไป
เรียกว่าวรรณกรรมพิมพ์ดีด
ผจญบอ (ภาพจาก สําานักพิมพ์ต้นฉบับ / The Matter)
นิยายอีโรติกไทยในอดีตมักใช้ฉากไทย ๆ ก็เท่ากับบันทึกสภาพสังคมในเวลานั้นไปโดยปริยาย เช่น บางเรื่องตัวละครพบกันที่สนามหลวงขณะจัดไฮด์ปาร์ก (สมัยจอมพล ป. พิบูลสงคราม) แล้วนำไปสู่การมีเพศสัมพันธ์ เป็นต้น
1
หนังสืออีโรติกยุคก่อนปี 2500 เป็นนิยายแปลจากฝรั่งหรือแต่งเอง แต่ยังไม่จัดว่าเป็น hardcore หมายถึงมีฉากร่วมเพศจริง ๆ แบบ pornography
2
ผู้สันทัดกรณีที่คลุกคบีกับเรื่องนี้บอกผมว่า หนังสือที่เป็น hardcore จริง ๆ น่าจะมาหลังปี 2500 เป็นพ็อตเก็ตบุ๊ค ไม่ใหญ่มาก หน้าปกสีขาว ตัวหนังสือในเล่มสีดำ ตัวหนังสือใหญ่ ช่องไฟใหญ่ ไม่มีรูปประกอบ
หน้าปกเป็นสีขาว ชื่อเรื่องสีดำหรือสีอื่น เรียบ ๆ เพื่อไม่ให้สะดุดตา
หนังสือแนวเซ็กซ์นี้จึงเรียกกันว่า ปกขาว
4
แต่หากเรียกสูงขึ้นมาหน่อยคือ วรรณกรรมเฉาะแฉะ
4
ตัวอย่างชื่อหนังสือปกขาว เช่น สาวแขกร้อนสวาท หนุ่มเปล่าสาวเปลือย หล่อนบ้าผู้ชาย ทีเด็ดจ๊อกกี้ สวรรค์รูกุญแจ เมียรายวัน หญิงชาวเรือ ขายสวาท ฯลฯ ชื่อประมาณนี้ ราคาเล่มละ 5-10 บาท
นี่ก็คือหนังสือปกขาวยุคแรก บรรยายการร่วมเพศละเอียด แต่ไม่มีพล็อต ฉากอาจเป็นกองฟางที่ไหนสักแห่ง ฯลฯ ต่อมาก็พัฒนามีรูปประกอบบ้าง
1
คุณลักษณ์อย่างหนึ่งของหนังสือโป๊ปกขาว คือไม่สามารถวางบนแผง ต้องขายแบบหลบ ๆ ซ่อน ๆ เวลาซื้อก็อาจบอกคนขายว่า “ขอใต้แผงเล่มนึง”
3
ถัดจากหนังสือปกขาวยุคปกสีขาว ตัวหนังสือสีดำ ก็มาถึงยุคที่พัฒนาเป็นเล่มใหญ่ขึ้น มีภาพถ่ายสี่สี
ราคาเล่มละ 20 บาท
เนื้อเรื่องเริ่มมีพล็อตซับซ้อนขึ้นบ้าง ฉากอาจเป็นไนท์คลับ การไปเที่ยวต่างจังหวัด ฯลฯ นักเขียนเช่น ช้างแดง ฯลฯ
ในกรุงเทพฯขายที่สนามหลวง
สนามหลวงยังเป็นแหล่งขายนิตยสารโป๊จากเมืองนอก เช่น Hustler เล่มละ 200 บาท ซึ่งจัดว่าแพงมาก
ช่วงทศวรรษ 2520 ยังแตกรูปออกไปเป็นการ์ตูนเล่มละบาท ที่ขายอีโรติก ท่อนนี้ผมมีประสบการณ์ตรง เพราะเคยเขียนการ์ตูนเล่มละบาทขาย ไม่ได้เขียนเรื่องโป๊ แต่เห็นงานของคนอื่น งานส่วนใหญ่ค่อนข้างลวก เพราะนักเขียนต้องปั่นงาน และค่าตอบแทนน้อยมาก
ในช่วงเวลาเดียวกัน ก็ปรากฏหนังสือโป๊ในรูปนิตยสาร วางแผงอย่างสง่างาม
นิตยสารมีสองเกรด เกรดแรกมีหลายปก เช่น หนุ่มสาว ของ ปกรณ์ พงศ์วราภา BR โดย บุรินทร์ วงศ์สงวน
ปกรณ์ พงศ์วราภา เป็นผู้สร้างอาณาจักร GM ส่วน บุรินทร์ วงศ์สงวน สถาปนิกผู้ออกแบบห้างนิวเวิร์ล บางลำพู แม้กระทั่งมงกุฎนางสาวไทย และมาลองทำหนังสือแนวนี้โดยใช้การออกแบบช่วย
นิตยสาร BR ฉบับปฐมฤกษ์วางแผงในปี พ.ศ. 2514 ราคาเล่มละ 12 บาท จัดว่าราคาสูง แต่คุณภาพแตกต่าง พิมพ์ด้วยกระดาษอาร์ตมันอย่างดี ภาพสี่สีสวยงาม
3
อีกเกรดหนึ่งจับตลาดอีกกลุ่ม เช่น นวลนาง ทีเด็ด แมน เปิดบริสุทธิ์ เริงรมย์ ซนสวย วัยหนุ่มสาว เพ็ญพักตร์ วัยรักหนุ่มสาว สาว ’24 ดาหวัน ไฟกลางคืน ฯลฯ
4
ราวปี 2523 - 2524 ปรากฏนิตยสารโป๊ปกใหม่ ชื่อ ไทยเพลย์บอย มีความดิบกว่าเล่มอื่น ๆ ไม่ประณีตเรื่องการถ่ายนางแบบ เพราะต้นทุนจำกัด งานเขียนทำโดยคนคนเดียว คือ ชูชาติ ธนมงคลชัย เขียนเรื่องด้วยนามปากกา กังฟู ทำหน้าที่เป็นทั้งช่างภาพ นักเขียน ตอบปัญหา กอง บก. ไทยเพลย์บอย ติดตลาดอันดับต้น ๆ อย่างไม่มีใครในวงการคาดว่าเป็นไปได้
3
มาถึงยุคต่อมา ก็ซื้อหัวนิตยสารจากนอกมาเป็นฉบับไทย เช่น เพลย์บอย เพนท์เฮาส์
ปกติไม่มีใครคาดหวังว่างานสังวาสจะมีคุณค่าทางศิลปะอะไร แต่คำถามคือ เราสามารถเขียนอีโรติกให้เป็นศิลปะได้ไหม
วรรณคดีไทยเก่าก็ชี้แล้วว่า ทำได้
1
สมัยผมเป็นวัยรุ่น นักเขียนหลายคนเขียนฉากเซ็กซ์จนกลายเป็นลายเซ็นไปแล้ว แต่ไม่ถึงขั้นหนังสือปกขาว เช่น พ.ต.ต. ประชา พูนวิวัฒน์ เขียนงานเซ็กซ์ในเรื่อง และเป็นจุดขาย งานหลายเรื่องของ พ.ต.ต. ประชา พูนวิวัฒน์ ชื่อหวือหวา เช่น ก็ของมันเคยนี่ครับ อุ๊ยสยิว สะดือปีกเพชร จูบชั้นนาน ๆ ฯลฯ
3
นักเขียนอีกคนหนึ่งคือ ต๊ะ ท่าอิฐ (นามปากกาของ ชูศักดิ์ ราษีจันทร์) เคยเป็นครู ไกด์ผีและล่ามของทหารฝรั่ง เขาเขียนสารคดีเกี่ยวกับชีวิตมัคคุเทศก์ ส่งให้นิตยสารฟ้าเมืองไทยของ อาจินต์ ปัญจพรรค์ ราวปี พ.ศ. 2513 แต่ไม่ได้ตีพิมพ์ จนกระทั่งวันหนึ่งนักเขียน ’รงค์ วงษ์สวรรค์ ส่งต้นฉบับ บ้านนี้มีห้องว่างให้เช่า ไม่ทัน ผู้ช่วยบรรณาธิการจึงนำเรื่อง แหม่มสอนจูบ ของ ต๊ะ ท่าอิฐ ลงตีพิมพ์แทน ปรากฏว่าผู้อ่านชอบมาก นักเขียนจึงได้เกิดจากเรื่องนั้น
2
เขาเขียนงานอีกหลายแนวหลายค่าย ใช้นามปากกาอื่น ๆ คือ น่าน นฤบดินทร์, ก้องหล้า สุรไกร รวมทั้งชื่อจริงด้วย งานหลายเรื่องมีฉากเซ็กซ์ งานของเขาอ่านสนุก
1
ต๊ะ ท่าอิฐ เขียนงานแนวอีโรติกจำนวนหนึ่ง บางเรื่องใช้ชื่อน่าหวาดเสียว เช่น คืนสิ้นพรหมจรรย์ ฯลฯ แต่เหล่านี้เป็นหนังสือวางขายตามแผงปกติ
งานของพนมเทียนหลายเรื่องก็มีฉากแบบนี้ และเขียนด้วยภาษาที่ดีระดับนักเขียนชั้นครู เช่น เล็บครุฑ เพชรพระอุมา ก็มีฉากแบบนี้ นักอ่านในยุคก่อนก็เคยชินกับงานแบบนี้ ไม่เคยคิดว่ามันโป๊ไป
2
อีกตัวอย่างหนึ่งคือ เรื่องของจัน ดารา นวนิยายเชิงสังวาส ฝีมือของ อุษณา เพลิงธรรม (ประมูล อุณหธูป) เรื่องนี้เคยตีพิมพ์เป็นตอน ๆ ในนิตยสารสยามรัฐสัปดาหวิจารณ์ ช่วง พ.ศ. 2507 - 2509
2
อุษณา เพลิงธรรม เขียนไว้ในคำนำว่า “ขอบอกกล่าวไว้เสียด้วยว่า เป็นเรื่องอ่านเล่นซึ่งไม่ใช่ของสำหรับเด็ก และเป็นของแสลงอย่างยิ่งสำหรับบุคคลประเภทมือถือสากปากถือศีล”
เรื่องของจัน ดารา                                                    หลายชีวิต
แม้แต่นักเขียนชั้นครู เช่น ม.ร.ว. คึกฤทธิ์ ปราโมช ก็เคยเขียนบทเซ็กซ์ แต่ฉากเซ็กซ์ในงานของท่านละเมียดละไม คมปากกาบาดความรู้สึก ที่เห็นชัดที่สุดน่าจะเป็นเรื่อง เจ้าลอย ในรวมเรื่องสั้น หลายชีวิต
เรื่องสั้นชุดนี้กำเนิดจากครั้งหนึ่งกลุ่มนักเขียนเดินทางไปต่างจังหวัด เห็นอุบัติเหตุรถชน คนตายไปมาก จึงคิดแต่งเรื่องสั้นคนละเรื่อง ชื่อ หลายชีวิต คนต่างอาชีพ ต่างฐานะ เช่น เจ้านาย พระ ชาวนา โสเภณี ฯลฯ มาเสียชีวิตพร้อมกัน
3
ทั้งกลุ่มยกให้ ม.ร.ว.คึกฤทธิ์เขียนเรื่องแรก คือเรื่อง เจ้าลอย ปรากฏว่าเมื่อทุกคนได้อ่าน ก็ถอย ไม่ยอมเขียนต่อ อาจเพราะเรื่องเจ้าลอยแม้จะเป็นเรื่องเล่าชีวิตคนคนหนึ่ง แต่มีฉากเซ็กซ์ที่บรรยายสวยงาม แต่แรงมาก ฝีมือล้วน ๆ นักเขียนเองก็เคยให้สัมภาษณ์ขำ ๆ ว่า ก็เขียนเรื่องนี้ให้อ่านแล้วเกิดอารมณ์ไง!
1
เหล่านี้เป็นตัวอย่างงานที่ใช้ฝีมือประพันธ์ สามารถยกระดับงานขึ้นไปอีกเกรดหนึ่ง
1
นักเขียน ’รงค์ วงษ์สวรรค์ เคยบอกว่า เขียนเรื่องให้เกิดอารมณ์นั้นง่าย ใคร ๆ ก็ทำได้ แต่เขียนให้เป็นศิลปะยาก
ผมขอเสริมว่า เขียนให้ไม่เกิดอารมณ์นั้นยากที่สุด! เพราะผมเองก็เคยเขียนเรื่องแนวนี้จนได้รับรางวัลซีไรต์
1
คือเรื่อง ชู้ ซึ่งเป็นเรื่องสั้นแนวทดลอง และ ลั่นทมโรยกลับ
ลองอ่านท่อนหนึ่งของ ชู้ :
1
ราตรี / ความสลัว / ความพิศวาส / วันที่สาม / ความต่อเนื่อง / ความสัมพันธ์ / การตักตวง / ความสุข / เรือนร่าง / ความหนุ่ม / ความสาว / ความเป็นไป / ธรรมชาติ / การสุกงอม / ความไม่ฝืน / การคว่ำ / การหงาย / การตะแคง / การโน้ม / การพลิก / การเกลือกกลิ้ง / การขยับ / การขยัก / การรุก / การเคลื่อน / การไหว / การยัก / การยั้ง / ความระรัว / ความระริก / ความระเริง / ความละเลียด / ความระรวย...
3
งงไปเป็นแถบ ๆ เพราะมันไม่เหมือนงานเขียนเชิงสังวาสที่ไหน
ในเรื่อง ลั่นทมโรยกลับ ซึ่งเขียนถึงผลกระทบของหนังสือโป๊ต่อชีวิตปัจเจก ผมใช้งานเขียนแนวเซ็กซ์เพื่อก่อผลให้เกิดการลดตัณหา
2
นี่แปลว่างานเขียนแนวเซ็กซ์เป็นแค่เปลือก ขึ้นกับผู้เขียนจะเขียนออกมาเป็นเกรดไหน และนำเสนออะไร
ต๊ะ ท่าอิฐ เคยให้สัมภาษณ์ว่า “มันมีเส้นบาง ๆ เพียงนิดเดียวในการเขียนเรื่องอีโรติก ถ้ามือไม่ถึงอาจทำให้คุณกลายเป็นนักเขียนลามกได้ทันที”
มาถึงยุคดิจิตัลและดินเทอร์เน็ต นิตยสารต่าง ๆ ปิดตัวไปทีละฉบับ จนบัดนี้ มองที่แผงนิตยสาร แทบไม่เหลืออะไร รวมทั้งนิตยสารโป๊ เหตุหนึ่งเพราะสามารถหาดูได้ง่ายดายจากโลกออนไลน์ แค่กระดิกนิ้ว
1
ดังที่ ปกรณ์ พงศ์วราภา เคยพูดถึงวงการนิตยสาร ช่วงฤดูใบไม้ผลิของวงการนิตยสารผ่านไปแล้ว ตอนนี้สถานการณ์ของนิตยสารหรือสื่อสิ่งพิมพ์ทั่วไป “อยู่ในช่วงฤดูใบไม้ร่วง”
1
เป็นสัจธรรมของความเปลี่ยนแปลง
2
ทั้งภาพโป๊ นิยายโป๊ อีโรติกไทยตั้งแต่ยุค กล่อมครรภ์ จนวันนี้ เป็นบันทึกหมุดหมายเส้นทางสื่อพิมพ์ไทย
1
[ติดตามข้อเขียนของ วินทร์ เลียววาริณ ได้ทุกวันที่เพจ https://bit.ly/3amiAvG และ blockdit.com]

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา