15 ต.ค. 2021 เวลา 13:00 • บันเทิง

เรื่องเล่าที่ 20 : ห้องปิดตาย

เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นเมื่อ 12-13 ปีมาเเล้ว ขออนุญาตไม่เอ่ยชื่อสถานที่นะคะ
ตอนนั้นเราเรียนอยู่ที่วิทยาลัยเเห่งหนึ่ง ระดับ ปวส. สาขาการโรงเเรม เเล้วก่อนจบจะมีการฝึกงานในเทอมสุดท้าย
ก่อนฝึกงานจะมีวิชาเกี่ยวกับโครงงานสร้างอาชีพ เราเลือกทำร้านน้ำชาหุ้นกับเพื่อน เสร็จเเล้วจะต้องทำพรีเซนต์ เเละเนื่องจากร้านยังมีผลตอบรับดี เลยเปิดร้านต่อเนื่อง ทำให้กลุ่มเราไปเลือกโรงเเรมที่จะฝึกงานไม่ทัน เหลือก็เเค่โรงเเรมสุดท้ายที่ไม่มีใครเลือก อาจารย์เลยจับกลุ่มให้เรา 4 คน ลงเเผนกห้องอาหาร เเละเพื่อนอีกกลุ่มที่มี 3 คน ลงเเผนกครัว
เดือนเเรกเราลงกะบ่าย ประกบกับรุ่นพี่พนักงานอีก 2 คน ส่วนเพื่อน ๆ โดนจับเเยกให้อยู่คนละห้องอาหาร คนละกะ บรรยากาศห้องอาหารที่เราอยู่ ช่วงกลางวันจะคึกคัก เพราะอยู่ริมสระว่ายน้ำ เเต่พอตกค่ำ บรรยากาศจะเงียบเเละวังเวงเหมือนห้องอาหารร้าง
โรงเเรมนี้ตั้งอยู่บนเนิน ด้านหน้าจะมีห้องอาหารติดถนน ส่วนห้องอาหารที่เราอยู่จะอยู่จุดสูงสุด รับเเค่ลูกค้าภายใน ถัดไปอีก 2 ตึก จะมีบาร์สระน้ำ ซึ่งตรงนี้จะคึกคักตลอดทั้งวันทั้งคืน การที่จะเดินไปจุดนี้เลยไม่ค่อยมีปัญหา เพราะมีคนพลุกพล่าน เเต่ถ้าต้องลงไปห้องอาหารด้านล่างเราจะไม่อยากไป เพราะต้องลงบันไดที่ทั้งสูงชันเเละไกลมาก ที่สำคัญต้องเดินผ่านสระว่ายน้ำที่ถูกปิดไว้ ซึ่งอยู่ติดกับศาลงูเจ้าที่
ศาลนี้ถูกตั้งขึ้นเพื่อล้างอาถรรพ์ที่มาสร้างโรงเเรมทับที่ ทำให้เกิดเหตุการณ์คนงานเสียชีวิตหลายคน พนักงานเกิดอุบัติเหตุเสียชีวิตทุกปี ปีละหลายคน ช่วงที่เราฝึกงานก็มีพนักงานเสียชีวิต เเต่ถูกปิดข่าวไว้ รุ่นพี่เล่าให้ฟังว่า ถ้าใครได้เห็นงูเผือกตัวใหญ่ คนนั้นจะเป็นคนต่อไปที่ต้องเสียชีวิต พอต้องผ่านตรงนี้ทุกครั้งเลยกลัวเเละระเเวง
ตลอดระยะเวลา 1 เดือน ที่อยู่ห้องอาหารด้านบน ก็ไม่ได้มีอะไรเกิดขึ้น เดือนต่อมาก็หมุนเวียนไปบาร์สระน้ำ อีกเดือนก็ไปห้องอาหารด้านล่าง เเละเพื่อหลีกเลี่ยงการเดินผ่านศาล พอเราสเเกนนิ้วเข้างานเสร็จก็ลักไก่ขี่มอไซค์ลงทางด้านหน้าเเทน เเต่ก่อนหน้านั้นเราได้เอาผลไม้มาเซ่นไหว้เเละบอกท่านเจ้าที่เรียบร้อยเเล้ว เเต่เดือนสุดท้ายนี่สิคะ จำได้ว่าช่วงนั้นเราเข้างานกะเช้า ประมาณตี 5.30 ถึง บ่าย 3 เเละต้องกลับมาเข้าเวรที่ห้องอาหารเเรก ช่วงนี้จะมีกิจกรรมบ่อย เราเลยได้ทำโอบ่อย
วันนั้นหลังจากเบรคเพื่อต่อโอที เราต้องสเเกนนิ้วอีกรอบ เเล้วด้วยความที่ขี้เกียจลงบันไดทางห้องใต้ดินเพราะใส่กระโปรงเเคบกับส้นสูง เลยเเอบใช้ทางเดินลูกค้า พอเดินมาถึงตึกห้องอาหาร มันจะเป็นชั้นพักทางขึ้นบันไดไปชั้นสอง เป็นปีกซ้าย - ขวา พอเดินถึงตรงนั้นจะมีห้องเก็บของเเม่บ้านอยู่ 2 ฝั่ง ห้องทางซ้ายจะเปิดเเง้มไว้ ส่วนห้องทางขวาจะเป็นประตูเหล็ก ตอกหมุดเล็กไว้รอบ ๆ ดูเก่า ๆ โบราณ ๆ เเถมมีสายโซ่เส้นเบ้อเร่อกับเเม่กุญเเจสนิมเขรอะคล้องอยู่
ที่สำคัญด้านบนจะมียันต์สีเเดงเเปะอยู่ 3 ผืน เห็นเเค่นั้นก็รู้สึกขนลุกตั้งชัน หนาว ๆ ร้อน ๆ อึดอัดหายใจไม่ออกเเล้ว เหมือนโดนมนต์สะกดให้ยืนนิ่งอยู่อย่างนั้น นานเท่าไหร่ไม่ทราบได้ เเล้วอยู่ ๆ เราก็ได้ยินเสียงร้องว่า “ช่วยด้วย ๆ ช่วยเราด้วย เราติดอยู่ในนี้ เราโดนขังอยู่ในนี้” เป็นเสียงผู้หญิงพูดเนิบ ๆ เย็น ๆ เราเดินเข้าไปใกล้ประตู เห็นประตูเหมือนโดนเขย่าจากด้านในเบา ๆ
ในตอนนั้นเรามีความรู้สึกเชื่อเจ้าของเสียงนั้น อยากที่จะเปิดประตูทั้ง ๆ ที่ไม่มีกุญเเจ พอเดินเข้าไปอีกนิดก็มีน้องเเม่บ้านชาวเมียนมาร์มาดึงเเขนเราเเล้วถาม “พี่ พี่คะ พี่จะทำอะไร เดินไปไหน” เราถึงมีสติขึ้นมา น้องคนนี้ชื่อน้องเล็ก น้องเล็กพยายามพูดหยอกเรา เเต่เรายัง งง ๆ อยู่ สักพักก็มีเสียงทุบประตูอย่างเเรง ‘ปั้ง ปั้ง ปั้ง !’ เรากับน้องเล็กถึงกับกระโดดกอดกัน น้องเล็กกลัวมาก พยายามจะพูดว่าผีหลอกเเต่เราห้ามไว้ น้องเลยกรี๊ดออกมา เราบอกให้น้องวิ่ง เเต่น้องไม่วิ่ง ได้เเต่ยืนขาเเข็ง ก้าวขาไม่ออก
จังหวะที่เรากระชากน้องเล็กให้วิ่งก็มีเสียงร้อง “ฮือ ฮือ ฮือ” ดังลอยออกมาพร้อมกับเสียงตบประตูดังขึ้นมาอีกครั้ง ‘ปั้ง ปั้ง ปั้ง !’ เเล้วน้องเล็กก็กรี๊ดขึ้นมา ตอนนั้นเป็นเวลาที่เเม่บ้านกำลังเดินตรวจงานพอดี เเกเดินมาเพราะได้ยินเสียงกรี๊ด ถามว่าทำอะไรกัน น้องเล็กก็บอกผีหลอก ๆ เเกก็บอกให้เงียบไว้ เเละให้เราพาน้องเล็กออกไปพร้อมทั้งสั่งว่าห้ามเล่าให้ใครฟัง
ค่ำนั้นเราต้องอยู่ทำโอทีเพราะมีงานลอยกระทง ต้องใส่ชุดไทย เราได้ใส่ชุดสีเขียว ผ้าถุงสีเขียวเข้ม สไบสีตอง เข้าเซ็ทกับเครื่องประดับที่เราเตรียมมา ส่วนเพื่อน ๆ เราได้ชุดสีเเดง ม่วง น้ำเงิน
เราได้รับหน้าที่ให้ไปเบิกเหล้าที่สโตร์เครื่องดื่ม เเล้วมันจะไม่มีอะไรเลยถ้าห้องนั้นไม่ได้อยู่ใต้บันไดห้องที่เราเจอเมื่อตอนกลางวัน เรารีบไขกุญเเจเข้าไปเอาเหล้าให้ครบทุกรายการใส่รถเข็น จังหวะที่ปิดประตูล็อคกุญเเจ เราเหลือบไปเห็นชายผ้าถุงกับสไบสีชมพูเข้มไหว ๆ เดินขึ้นบันไดขั้นสุดท้ายขึ้นไป เราก็ไม่ได้เอะใจอะไร คิดว่าคงเป็นพนักงานคนอื่น
ตอนอยู่ในงาน เราก็พยายามมองหาว่าใครที่ใส่ชุดสีชมพู จนเวลางานเลิกราว ๆ ตี 1 กลับไม่เห็นใครใส่ชุดนี้เลย เราเก็บความสงสัยไม่ไหวเลยถามหัวหน้า เเกบอกว่า “ชุดนั้นไม่มีใครเบิกมาใช้ ยังเก็บอยู่ในห้องของเเผนก เป็นของกัปตันห้องอาหาร เเกประสบอุบัติเหตุเสียชีวิตวันลอยกระทงเมื่อหลายปีก่อน” เรานี่ถึงกับขนลุกเลย เเล้วก็อดที่จะถามเรื่องห้องปิดตายไม่ได้ เเต่สุดท้ายก็ไม่ได้รับคำตอบกลับมา
คืนนั้นหลังจากกลับบ้าน เราฝันว่า เรายืนอยู่ในที่มืด ๆ เเล้วมีมือที่ยื่นนิ้วชี้ทาเล็บสีเเดงชี้หน้าเรา ด่าว่า “ทำไมมึงไม่ช่วยกูออกไป กูทรมาน กูไม่อยากอยู่ มึงอยากมาอยู่เป็นเพื่อนกูมั้ย” เเล้วเราก็ตกใจตื่น เเต่กลับพบว่าตัวเราเองยังติดอยู่ในความฝัน เราวิ่งจนเหนื่อย พอเหมือนจะตื่นก็ยังติดอยู่ในฝันอีก
ครั้งนี้มีเเต่ความมืด เราเดินอยู่ในฝันไปเรื่อย ๆ คือท้อมาก คิดว่าต้องติดอยู่ในฝันจนตายเหรอ เเล้วทีนี้เหมือนเราคว้าชายผ้าลื่น ๆ ได้ เเล้วผ้าผืนนั้นก็กระชากเราไปหาที่สว่าง เราเลยตื่นขึ้นมาจริง ๆ เราฝันเเบบนั้นอยู่ 3-4 คืน เเต่กลับหาเรื่องราวจากห้องนั้นไม่ได้เลย เราได้ตักบาตรทำบุญให้กับดวงวิญญาณในห้องเเละคนที่มาช่วยในความฝัน
พอฝึกงานเสร็จ หัวหน้าเเผนกได้ขอให้เราฝึกงานรอบสองต่อที่นี่ เราก็รับปากว่าจะกลับไปทำอีก จนเราเรียนจบ เค้าก็ขอให้เราทำงานต่อเลย รอบนี้เราปฏิเสธไป เพราะไม่อยากเสี่ยงที่จะเจอสิ่งลี้ลับเเบบตอนฝึกงานรอบเเรกอีก

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา